“The Woman in Me” หนังสืออัตชีวประวัติของ “บริตนีย์ สเปียร์ส” (Britney Spears) เจ้าหญิงเพลงพ็อปที่ใครหลายคนตั้งตารอออกวางขายต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ (24 ตุลาคมนี้)
ในหนังสือเล่มนี้ บริตนีย์ สเปียร์ส เผยให้เห็นถึงชีวิตส่วนตัวของเธอในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในฐานะบุคคลหนึ่งซึ่งได้รับความสนใจมากที่สุดทั้งในหมู่ชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลก และหลายเรื่องเป็นเรื่องที่บริตนีย์เก็บงำไว้ ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
ด้วยความที่มีคนรักบริตนีย์อยู่ทั่วโลก จึงทำให้หนังสือเล่มนี้ได้รับความสนใจและเป็นหนังสือที่หลายคนตั้งตารอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเนื้อหาบางส่วนในหนังสือถูกสื่อมวลชนนำเสนอออกมาในช่วงที่หนังสือใกล้วางแผง ซึ่งเนื้อหาบางเรื่องนั้นทำให้แฟน ๆ ของบริตนีย์ “ช็อก” ไปตาม ๆ กัน
สำนักข่าวเอพี (AP) ที่ได้รับสำเนาหนังสือเล่มนี้ก่อนจะวางจำหน่าย ระบุว่า ด้านในมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัยเด็กของบริตนีย์ สเปียร์ส และการก้าวขึ้นเป็นซูเปอร์สตาร์ ตลอดจนการแต่งงาน การเป็นผู้ถูกพิทักษ์โดยคำสั่งศาลเป็นระยะเวลากว่า 14 ปี ไปจนถึงเหตุการณ์ที่เธอถูกตบหน้าโดยการ์ดของ “วิกเตอร์ เวมบันยามา” (Victor Wembanyama) นักบาสเกตบอล NBA เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
เนื้อหาของ The Woman in Me ส่วนใหญ่เน้นไปที่ พ่อ ลูกชาย สามี รวมทั้งอดีตคนรักของเธอแต่ละคนที่มีส่วนทั้งทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นและแย่ลง หลายบทในหนังสือพูดถึงความสัมพันธ์ของเธอกับ “จัสติน ทิมเบอร์เลก” (Justin Timberlake) อดีตคู่รักดาวรุ่งแห่งวงการเพลง รวมถึงรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การทำแท้ง และการเลิกราที่เจ็บปวด รวมทั้งการต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์เลี้ยงดูลูกกับ “เควิน เฟเดอร์ไลน์” (Kevin Federline) อดีตสามี
ไทม์ไลน์ชีวิต เจ้าหญิงแห่งเพลงป็อป
บริตนีย์ สเปียร์ส เป็นศิลปินเพลงพ็อปหญิงชาวอเมริกัน ปัจจุบันอายุ 41 ปี เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1981 ที่เมืองแม็คคอมบ์ มิสซิสซิปปี สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่มีพ่อ “เจมี สเปียร์ส” (Jamie Spears) เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และแม่ “ลินน์ สเปียรส์” (Lynn Spears) เป็นครู
เธอเรียนร้องเพลงและเต้นบัลเลต์ตั้งแต่อายุ 3 ปี ก่อนที่จะได้เป็นพิธีกรรายการ “มิกกี้เมาส์คลับ” จากการออดิชั่นในวัยเพียง 11 ปี และได้ร่วมงานกับ จัสติน ทิมเบอร์เลก และ “คริสติน่า อากีเลร่า” (Christina Aguilera) ซึ่งทั้ง 3 คนต่างเติบโตมาเป็นนักร้องดังระดับโลก
บริตนีย์ สเปียร์ส เข้าวงการเพลงครั้งแรกในวัย 18 ปี ด้วยการเปิดตัวอัลบัมแรกปี 1999 ในชื่อ “Baby One More Time” ซึ่งทะยานแตะอันดับ 1 บิลบอร์ดชาร์ตในอเมริกาและอีก 15 ประเทศทั่วโลก ทำยอดขายทะลุ 2 ล้านก๊อปปี้ภายในระยะเวลา 1 เดือน และขายได้มากกว่า 10 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก รวมทั้งได้รับ 14 รางวัลแพลตตินัมในอเมริกา กลายเป็นเพลงประจำตัวที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักเธอมาจนทุกวันนี้
บริตนีย์เคยคบหากับจัสติน ทิมเบอร์เลก แล้วเลิกรากันไป ซึ่งเป็นที่มาของเรื่องราวส่วหนึ่งที่เธอเล่าไว้ในหนังสือ The Woman in Me
ต่อมา ในปี 2004 บริตนีย์ สเปียร์ส จดทะเบียนสมรสกับครั้งแรกกับ “เจสัน อัลเลน อเล็กซานเดอร์” (Jason Allen Alexander) เพื่อนในวัยเด็กของเธอ ก่อนจะหย่ากันใน 55 ชั่วโมงต่อมา
จากนั้น บริตนีย์ สเปียร์ส แต่งงานอีกครั้งในปี 2004 กับ “เควิน เฟเดอร์ไลน์” (Kevin Federline) แร็ปเปอร์หนุ่มชื่อดัง โดยมีลูกชายด้วยกัน 2 คนคือ “เพรสตัน เฟเดอร์ไลน์” (Preston Federline) และ “เจย์เดน เฟเดอร์ไลน์” (James Federline) ก่อนที่จะหย่ากันในปี 2007 ซึ่งศาลสั่งให้เควินได้รับสิทธิ์ดูแลและคุ้มครองบุตรเพียงฝ่ายเดียว
ช่วงนี้เป็นมรสุมชีวิตของบริตนีย์ สเปียร์ส จนทำให้เธอต้องเข้ารับการบำบัด ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเสียสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตร นอกจากนี้ศาลยังได้พิจารณาให้เธอเป็นบุคคลที่ไม่สามารถจัดการตัวเองได้ และสั่งให้อยู่ภายใต้การพิทักษ์ของ “ผู้พิทักษ์” ซึ่งได้แก่พ่อของเธอและทนายความ
บริตนีย์ สเปียร์ส ถูกควบคุมแทบทุกอย่างโดยพ่อ ทั้งการกินอยู่ กิจวัตรประจำวัน ตลอดจนรายได้ และการตัดสินใจ โดยเธอต้องอยู่ภายใต้การควบคุมกว่า 14 ปี ก่อนที่ศาลในลอสแองเจลิสจะมีคำสั่งยกเลิกการที่เธอต้องมีผู้พิทักษ์ในปี 2021
หลากเรื่องราวใน “The Woman in Me”
ฟอร์บส (Forbes) ระบุว่า ใน The Woman In Me บริตนีย์ สเปียร์ส ได้เปิดเผยเหตุผลที่เธอโกนศีรษะเมื่อปี 2007 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจเป็นวงกว้างว่าเป็นวิธีที่เธอใช้ต่อต้านการถูก “จับตามอง” จากสาธารณะเกี่ยวกับร่างกายของเธอตั้งแต่ที่เธอเป็นวัยรุ่นเป็นต้นมา
ล่าสุดที่สร้างความ “ช็อก” และกำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้คือเรื่องที่บริตนีย์ สเปียร์ส เคยทำแท้ง ซึ่งเธอให้รายละเอียดไว้ในหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับ จัสติน ทิมเบอร์เลก ซึ่งเคยคบกันระหว่างปี 1999-2002 ว่ามันเป็นการตัดสินใจอัน “เจ็บปวด” ที่จะทำแท้ง เพราะจัสตินไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว และบอกเลิกเธอผ่านข้อความ ทำให้เธอรู้สึก “พังทลาย”
นอกจากนี้ บริตนีย์ สเปียร์ส ยังเขียนว่า เธอรู้ว่าจัสตินนอกใจ แต่เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ แต่ก็ไม่วายถูกสื่อมองว่าเป็น “คู่หูนอกใจ”
สำหรับข่าวสัมพันธ์อื้อฉาวของเธอกับ “เวด ร็อบสัน” (Wade Robson) นักออกแบบท่าเต้นชื่อดัง บริตนีย์บอกว่าเป็นเพียงแค่การจูบครั้งเดียว แม้จัสตินจะออกเพลง “Cry Me a River” ในปี 2002 ซึ่งเกี่ยวกับการถูกนอกใจ ซึ่งทำให้สังคมเข้าใจว่าเธอเป็นฝ่ายนอกใจเขาก็ตาม
สิ่งที่น่าแปลกใจของหนังสือเล่มนี้ คือ บริตนีย์ สเปียร์ส ไม่ได้กล่าวถึงการหย่าร้างกับ “แซม อัสการี” (Sam Asghari) ที่หมั้นกันในเดือนกันยายน 2021 และแต่งงานกันในเดือนมิถุนายน 2022 หลังจากเธอพ้นสถานะการมีผู้พิทักษ์ดูแล แต่เพียงไม่กี่เดือน อัสการีก็ฟ้องหย่าบริตนีย์ในเดือนสิงหาคม 2022
หนังสือบอกเพียงว่า อัสการีจับมือเธอขณะที่เธอพูดกับผู้พิพากษาระหว่างการพิจารณาคดีครั้งสำคัญซึ่งทำให้เธอเป็นอิสระจากการเป็นผู้ต้องได้รับการพิทักษ์ในปี 2021
เธอพูดถึงการแต่งงานกับอัสการีไว้อย่างมีความสุข และมีรายงานด้วยว่า อัสการีได้อ่านแล้วและรู้สึกภูมิใจในตัวบริตนีย์ สเปียร์ส
ภายใต้การพิทักษ์ของพ่อตัวเอง
ฟอร์บสระบุว่า หนังสือ The Woman in Me ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ในฐานะผู้ถูกผู้พิทักษ์ ซึ่งเธอพยายามเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นการส่วนตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะโดยทั่วไปแล้วการถูกพิทักษ์มักใช้กับผู้ที่มีอาการป่วยทางจิตขั้นรุนแรง
บริตนีย์อยู่ภายใต้การพิทักษ์ดูแลมายาวนาน 14 ปี พ่อของเธอควบคุมการเงินและชีวิตประจำวันในหลายด้านตั้งแต่ปี 2008-2021 ซึ่งเธอบอกว่ามันทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็น “หุ่นยนต์เด็ก” และมันพรากเธอจากความเป็นผู้หญิง รวมทั้งความรักที่เธอมีต่อเสียงดนตรี โดยระบุด้วยว่า พ่อเคยบอกกับเธอว่า “ตอนนี้พ่อชื่อ บริตนีย์ สเปียร์ส แล้ว”
เธอเผยต่อไปว่า ความกลัวจะสูญเสียลูกชายทำให้ศาลสั่งให้เธอถูกพิทักษ์ และต้องเผชิญกับมาตรการที่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวและสิทธิมากมาย เช่น การถูกควบคุมการใช้งานไอโฟนโดยผู้ปกครอง, ไม่มีรถยนต์, ไม่สามารถอาบน้ำแบบส่วนตัวได้ และเธอบอกว่าเธอต้องบริจาคเลือดทุกสัปดาห์
นอกจากนี้เธอยังระบุว่า เธอไม่เคยมีปัญหาจากการดื่มสุราหรือยาเสพติดที่ให้โทษรุนแรง เพียงใช้ยาแอดดีรัลล์ (Adderall) ซึ่งเป็นยากรักษาโรคสมาธิสั้น (ADHD) เท่านั้น เพราะมันทำให้เธอรู้สึกหดหู่น้อยลง
ขณะที่อยู่ภายใต้การพิทักษ์ บริตนีย์ สเปียร์ส มีผลงานออกมาถึง 4 อัลบั้ม และทำรายได้ 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการแสดง “Britney: Piece of Me” ที่ลาสเวกัส ซึ่งเป็นโชว์แบบ Residency หรือการแสดงประจำในฮอล โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2013 สิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2017 กับการแสดงกว่า 250 รอบ
จากผลงานดังกล่าวจึงเกิดการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและความจำเป็นที่จะต้องให้ บริตนีย์ สเปียร์ส อยู่ภายใต้การดูแล เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มแฟนคลับกับแคมเปญ #FreeBritney ซึ่งได้รับความนิยมบนโซเชียลมีเดียในช่วงเวลานั้น
บริตนีย์ สเปียร์ส กล่าวสุนทรพจน์ 23 นาทีต่อศาลในลอสแอนเจลิสเมื่อปี 2021 โดยอ้อนวอนว่า เธอต้องการชีวิตของเธอคืน พร้อมระบุว่าเธอ “บอบช้ำทางจิตใจ”
ในที่สุด สถานะผู้ต้องได้รับการพิทักษ์ดูแลก็ยกเลิกในเดือนพฤศจิกายน 2021 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริตนีย์ สเปียร์ส ก็ได้ใช้เสรีภาพในการพูดต่อต้านครอบครัวของเธอผ่านทางโซเชียลมีเดีย และล่าสุดในหนังสือเล่มใหม่ที่เปรียบดั่งบันทึกความทรงจำ
“ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ฉันจะเปล่งเสียงและพูดออกมา ซึ่งแฟน ๆ ก็สมควรที่จะได้ยินมันโดยตรงจากฉัน ไม่มีการสมรู้ร่วมคิดอีกต่อไป ไม่มีการโกหกอีกต่อไป มีเพียงฉันเท่านั้นที่เป็นเจ้าของอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของฉัน”
ความเห็น 0