โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

มากกว่าความโหยหา (Nostalgia) ใฝ่ชีวิตภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ (ที่รุ่นเราไม่มีใครจำได้)

The101.world

อัพเดต 09 พ.ย. 2566 เวลา 00.15 น. • เผยแพร่ 08 พ.ย. 2566 เวลา 17.11 น. • The 101 World

“ฉันให้เวลาพวกบอลเชวิกหนึ่งปี อย่างมากก็สองปี”

เป็นคำกู่ตะโกนของตัวละครที่ชื่อ ยินดรชีค เคราส์ (Jindřich Kraus) ในภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก” (Cosy Dens) ผู้เป็นบิดาและหัวหน้าครอบครัวตระกูลเคราส์ (Kraus) ครอบครัวชาวเช็กชาตินิยมที่ต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ อันเป็นระบอบที่ถือครองอำนาจในเชโกสโลวาเกียยาวนานตั้งแต่ค.ศ. 1948

“ช้อนพลาสติกนี้มีเรื่องราว” ฉากที่ตราตรึงในความทรงจำหมู่ของชาวเช็กและสโลวักคือฉากที่ตัวละครผู้รักระบอบคอมมิวนิสต์อย่างสุดจิตสุดใจจนอวยสินค้าและเทคโนโลยีของระบอบอย่างไม่ลืมหูลืมตาต้องมาหน้าแตกซ้ำซากตอนสินค้าต่าง ๆ นั้นไม่ได้มีสรรพคุณอย่างที่ทางการโฆษณาไว้ เฉกเช่นโฆษณาชวนเชื่อและความยึดมั่นอย่างมืดบอด ช้อนพลาสติกละลายเหลวไปเป็นขยะ ใช้การอะไรไม่ได้ ความย้อนแย้งอยู่ในข้อความจริงที่ว่าระบอบคอมมิวนิสต์นั้นมิวายจรรโลงระบบทุนนิยมและการแบ่งชนชั้น โปสเตอร์นี้ ได้รับรางวัล Czech Lion สาขาการออกแบบโปสเตอร์ยอดเยี่ยมในปี 2000 (ที่มาภาพ)

เคราส์ ผู้เป็นทหารผ่านศึกและเคยถูกพวกนาซีทรมานและจองจำมาก่อนนี้ ตั้งใจตะโกนเพื่อกระทบกระเทียบเพื่อนบ้าน นั่นคือ โบโฮว์ช เชเบ็ก (Bohouš Šebek) บิดาและหัวหน้าครอบครัวตระกูลเชเบ็ก (Šebek) ที่เป็นทหารในกองทัพประชาชนเชโกสโลวัก (Československá lidová armada หรือ ČSLA) ใต้อาณัติบัญชาของ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเชโกสโลวาเกีย (Komunistická strana Československa หรือ KSČ) ภาพยนตร์ที่ฉายครั้งแรกเมื่อปี 1999 แต่มีเนื้อหาที่ย้อนยุคกลับไปปี 1967 (ไม่นานก่อนเหตุการณ์การบุกครองเชโกสโลวาเกียของฝ่ายกติกาสัญญาวอร์ซอในปีถัดมา) นี้ เริ่มเปิดฉากมาไม่ทันไร เราก็เห็นความขัดแย้งระหว่างครอบครัวเพื่อนบ้านสองครอบครัวที่บิดาต่างมีจุดยืนทางการเมืองตรงข้ามกัน เคราส์มีพื้นเพมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง เขาฝักใฝ่ตะวันตก (พี่ชายหรือน้องชายไปร่วมรบกับ RAF หรือกองทัพอากาศสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลเชโกสโลวักเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นที่ลอนดอน) และต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ในช่วงเวลาที่ระบอบนี้เรืองอำนาจท่ามกลางเสียงเรียกร้องปฏิรูปให้เสรีหรือมี “ใบหน้าเป็นมนุษย์” มากกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนเชเบ็กนั้นมีพื้นเพจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน เขาเป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งของระบอบคอมมิวนิสต์ผู้ฝักใฝ่ในวาทกรรมการต่อสู้กับ “จักรวรรดินิยมตะวันตก” และเชื่อมั่นในความก้าวหน้าของความคิดและเทคโนโลยีของระบอบ ภาพยนตร์มิเพียงเปิดฉากมาพร้อมกับการไม่ลงรอยทางการเมืองของเคราส์กับเชเบ็ก แต่ยังเปิดฉากมาพร้อมกับเสียงเล่าเรื่องและฉากที่ตัวละครชื่อมิคาล เชเบ็ก วัย 16 ปี ผู้เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวเชเบ็กพยายามแขวนคอฆ่าตัวตายเพราะไม่สมหวังในความรัก (แต่ไม่เป็นผล ขื่อแปไม่เป็นใจ พังลงมาหมด) ต้นเหตุของความ “แซดยังบอย/แซดอย่างบ่อย” ของมิคาลคือความผิดหวังที่ ยินดรชิชกา (Jindřiška) ลูกสาวคนเดียวของครอบครัวเคราส์ ไม่รับรักตน

ทุกครั้งที่ผู้เขียนบทความได้นั่งชมภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ฉายในสาธารณรัฐเช็กและสาธารณรัฐสโลวักช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ของทุกปี (เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ทั้งครอบครัวจะนั่งชมกันจริงจังจนเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์cultประจำเทศกาลประหนึ่ง Home Alone หรือ Harry Potter ภาคต่าง ๆ) หรือเมื่อได้ใคร่ครวญถึงแค่ฉากเปิดเรื่อง ก็นึกฉงนใจเสมอว่าเหตุใดภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก” นี้ได้รับขนานนามว่าเป็นภาพยนตร์ coming of age ที่ตลกโปกฮา เพราะเมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้วจะเห็นว่าเป็นภาพยนตร์มีฉากพยายามฆ่าตัวตายของวัยรุ่นและมีฉากหลักเป็นบริบทประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดอย่างการปราบปรามประชาชนโดยกองทัพโซเวียต จะว่าตลกหรือไม่ คิดมุมนี้ก็ขำไม่ออก คงกล่าวได้ว่าเป็นตลกร้ายที่สะท้อนอารมณ์ขันประเภทที่เห็นในงานของนักเขียนเช็กหลายคนอย่าง มิลาน คุนเดรา (Milan Kundera) หรือ โบฮุมิล ฮราบัล (Bohumil Hrabal) ยิ่งเมื่อผู้เขียนบทความมาทราบว่าภาพยนตร์ดัดแปลงจากรวมเรื่องสั้นของ เป็ตร ชาบัค (Petr Šabach) ชื่อ โฮฟโน โฮรชี (Hovno Hoří) แปลเป็นไทย (อย่างตลกร้ายสไตล์เช็ก) ได้ว่า “อุจจาระที่ติดไฟ” ก็ยิ่งเข้าใจว่าจุดขายของภาพยนตร์เรื่องนี้มิใช่เพียงเสื้อผ้าหน้าผมของตัวละคร ข้าวของและเฟอร์นิเจอร์ที่ชวนให้นึกย้อน และ – สำหรับรุ่นที่เกิดไม่ทันและไม่ได้เกิดในประเทศนั้นอย่างเรา ๆ – ชวนให้จินตนาการถึงชีวิตช่วงระบอบคอมมิวนิสต์เชโกสโลวาเกียในช่วงปลายทศวรรษ 1960s เท่านั้น

จุดขายของภาพยนตร์เรื่องนี้คือบทสนทนา การเล่นคำ มุกตลก และพล็อตเรื่องที่แม้ไม่สมจริง (ในโลกความเป็นจริง เคราส์ที่ด่าระบอบอย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้นคงไม่มีทางรอด น่าจะถูกเพื่อนบ้านหรือใครสักคนฟ้องตำรวจลับให้มาอุ้มหรือเก็บเสียก่อน) แต่ก็ชวนติดตาม ที่สำคัญก็คือ ข้อที่ว่าลูกหลานของสองครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นมิคาล หรือ ยินดรชิชกา (ชื่อในรูป diminutive ของยินดรชิชกา คือ ยินดรา Jindra เพื่อความง่ายและกระชับ ขอเรียกชื่อนี้) นั้นไม่มีใครสนใจการเมือง และไม่ “อิน” การเมืองเหมือนบิดาของตน เฉกเช่นวัยรุ่นทั่วไป พวกเขาสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่างเดียว สนใจเรื่องกิจกรรมในโรงเรียนและครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งล้วนเป็นชีวิตหรือ “รังพำนัก” ที่ดูจะห่างไกลจากความเป็นจริงทางการเมืองที่กำลังแปรปรวนในสมัยนั้น

เน้นแต่เรื่อง “ปากท้อง” คือครรลองอำนาจนิยม

ความไม่อินการเมืองและไม่เห็นความสำคัญของฤดูใบไม้ผลิแห่งปราก (Prague Spring) ในรุ่นลูกของครอบครัวเคราส์และเชเบ็กนั้น สะท้อนความเป็นจริงของประชาชนเชโกสโลวักส่วนใหญ่ในสมัยนั้นที่ยุ่งกับการใช้ชีวิตของตนหรือพากันเสาะหาช่องทาง “อยู่เป็น” เพื่อเอาตัวรอดในระบอบอำนาจนิยมอันสุดแสนจะเส็งเคร็ง ข้อที่ว่าการเน้นแต่เรื่องปากท้องมิเพียงเป็นครรลองของระบอบอำนาจนิยม หากยังเป็นผลกระทบที่ก่อความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในระยะยาวนี้ วาตซลัฟ ฮาเวล ได้เขียนบรรยายไว้ในจดหมายเปิดผนึกถึง ดร.กุสตาว ฮุสาก (ชื่อ “กุสตาว”ถอดเสียงจากภาษาสโลวัก เนื่องจากฮุสากเกิดที่ดินแดนสโลวาเกีย หากถอดเสียงจากภาษาเช็กต้องอ่านว่า “กุสตาฟ”) ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์หลังเหตุการณ์การบุกครองเชโกสโลวาเกียของฝ่ายกติกาสัญญาวอร์ซอ ซึ่งได้ลิดปลิดหวังของประชาชนและนำพาเชโกสโลวาเกียสู่ “ภาวะการทำให้เป็นปกติ” (normalisation) อันหมายถึงการละทิ้งความพยายามปฏิรูปทั้งมวลและหันกลับมาเชื่อฟังและเชื่องต่อมอสโคว์ ดังนี้

33. ยิ่งปัจเจกชนคนหนึ่งสลัดทิ้งความหวังในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงสังคม ละทิ้งความสนใจในเป้าหมายและคุณค่าที่อยู่เหนือประโยชน์สุขส่วนตัว หรือละทิ้งโอกาสที่จะกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง “ภายนอก” ไปมากเท่าไหร่ พลังงานของเขาคนนั้นก็จะยิ่งถูกเบนเข็มให้มุ่งไปในทิศทางของการขัดขืนที่น้อยที่สุดเท่านั้น เช่น เบนทิศทางพลังงานและความสนใจของปัจเจกเข้าสู่ “ภายใน” ตัวเอง สู่การนิ่งนอนใจ อนึ่ง ทุกวันนี้ผู้คนหมกมุ่นกับตัวเอง ครอบครัวตัวเอง และบ้านตัวเองมากกว่าเดิม การหมกมุ่นอยู่กับตัวเองที่กล่าวมาเป็นพื้นที่ที่เขาได้พักผ่อนหย่อนใจ ลืมความโง่เขลาของโลก และได้ใช้พรสวรรค์สร้างสรรค์ของตนได้อย่างอิสระ ผู้คนแต่งเติมบ้านของตนด้วยข้าวของเครื่องใช้และสิ่งสวย ๆ งาม ๆ สารพัน พยายามปรับปรุงที่พัก พยายามสร้างชีวิตเพื่อความสุขสบายของตัวเอง ผู้คนสร้างกระท่อม ดูแลรถ หันมาสนใจเรื่องอาหาร ใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์และความสะดวกสบายภายในบ้านมากกว่าสิ่งอื่น หรือกล่าวสั้น ๆ คือ ผู้คนพุ่งความสนใจไปยังเรื่องวัตถุสิ่งของในชีวิตส่วนตัวนั้นเอง

(จาก จดหมายเปิดผนึกถึงดร.ฮุสาก จากวาตซลัฟ ฮาเวล สำนักพิมพ์สำนักนิสิตสามย่าน หน้า 42-43

กล่าวได้ว่าทัศนคติและการกระทำของตัวละครต่างรุ่นในภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก” เป็นนิมิตหรือลางบอกอนาคต (ซึ่งกลายมาเป็นปัจจุบันกาลของฮาเวลและของผู้ชมภาพยนตร์ในปี 2023) ภาพยนตร์ย้อนเวลากลับไปหาอดีตก็จริง แต่เป็นอดีตที่ประกอบสร้างขึ้น เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับอดีตคือสิ่งประกอบสร้าง อดีตและความทรงจำจึงมักถูกนำมาใช้เพื่อไขความกระจ่างให้เราเข้าใจตัวเราเองในปัจจุบันกาล ความทรงจำหมู่ย่อมเป็นวิธีการตอบโต้ปมปัญหาและความท้าทายที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ความทรงจำที่กลุ่มคนหนึ่งมีเกี่ยวกับระบอบคอมมิวนิสต์นั้นไม่มีสารัตถะที่คงที่ประหนึ่งก้อนหินที่ไม่ถูกกัดกร่อนโดยกาลเวลา ต่างคนต่างใช้ชีวิต ประสบ และเข้าใจระบอบนี้ต่างกันไป ดังนั้น จะขนานนามภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นความโหยหาอาวรณ์ (nostalgia) ในลัทธิคอมมิวนิสต์เฉกเช่นภาพยนตร์ที่โหยหาเยอรมนีตะวันออก (Deutsche Demokratische Republik) จำพวกที่นักวิจารณ์และนักวิชาการจัดประเภทและเรียกว่า Ostalgie – เรื่องที่หลายคนอาจรู้จักคงเป็นเรื่อง Good Bye Lenin! (2003) – ก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะสิ่งที่ภาพยนตร์นำมาเป็นจุดขายให้เกิดความโหยหาอาวรณ์ได้บ้าง (แม้ในกลุ่มผู้ที่เกิดไม่ทัน) คือเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของชีวิตสมัยนั้นที่มักจะได้รับการจารึกในวัตถุสิ่งของ เสื้อผ้าหน้าผม เฟอร์นิเจอร์ บทสนทนาและมุกตลกขำขันในห้องเรียนและในครอบครัวที่รวมตัวกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีใหม่

การที่พล็อตของภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นความทรงจำภายในครอบครัวถึงสำคัญมากกว่าการถ่ายทำฉากรถถังกองทัพโซเวียตบุกปราก และแทนที่จะมีฉากปราศรัยของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในวาระสมัยต่าง ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับคงไว้แต่ซึ่งฉากในห้องเรียนที่การผันผ่านของระบอบรับรู้ได้จากภาพของผู้นำพรรคคอมนิสต์ (ที่มีอยู่ในทุกโรงเรียนและห้องเรียน) ที่เปลี่ยนไป เช่น ภาพของเคลเมนต์ ก็อตวัลด์ (Klement Gottwald) ถูกโละและแทนที่ด้วยภาพของอันโตนีน โนว็อตนี (Antonín Novotný) ซึ่งต่อมาถูกโละและแทนที่ด้วยภาพของ ลุดวีก สโวโบดา ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีช่วงปี 1968-1975 ประวัติศาสตร์การเมืองเป็นเพียงฉากหลังของรักสามเส้า/เศร้าที่มิคาลต้องเผชิญเมื่อเห็นยินดราตกหลุมรักเพื่อนร่วมชั้นเรียนของตน แน่นอนว่า “การเมือง” ในเรือนพักรังพำนักของครอบครัวดูจะสลักสำคัญกว่าการเมืองนอกบ้าน… จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้แม้แต่ผู้ที่ซื่อตรงต่อระบอบคอมมิวนิสต์อย่าง โบโฮว์ช เชเบ็ก บิดาของมิคาล หยิบเชือกมาหมายจะผูกคอตายเหมือนลูกชายตอนต้นเรื่อง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเช่นเดียวกัน

การโหยหาอดีตในภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นหมุดหมายแห่งจุดเปลี่ยนในวงการภาพยนตร์เชโกสโลวาเกียช่วงปลายทศวรรษ 1990s ที่ผู้กำกับและนักเขียนบทต่างผลิตงานที่แตกต่างจากต้นทศวรรษอย่างเห็นได้ชัด เหตุผลก็เพราะช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 1990s การปฏิวัติกำมะหยี่ (Velvet Revolution) เพิ่งเกิดขึ้นหมาด ๆ ภาพยนตร์และงานเขียนที่เคยถูกแบน อีกทั้งไฟล์ข้อมูลตำรวจลับได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณชน ผู้ผลิตต่างเลี่ยงที่จะจัดทำภาพยนตร์ที่นำเสนอภาพระบอบที่เพิ่งล้มล้างไปในทางที่ “feel good”

ภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก” นับเป็นดัชนีชี้ความเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1998 อันเป็นวันที่นักร้องนามมิคาล ดาวิด (Michal David) ผู้เคยแต่งเพลงให้ระบอบคอมมิวนิสต์ในอดีตไปร้องเพลงในเวทีกลางเมืองเก่าปรากต้อนรับทีมนักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งที่คว้าชัยโอลิมปิกจากนากาโน (Nagano) วันนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเสียงตอบรับนักร้องที่เคยเชียร์ระบอบอย่างสุดจิตสุดใจอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ กลไกของตลาดโอบรับเทรนด์ดังกล่าวอย่างฉับพลัน ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนอยู่ในภาพยนตร์ช่วงปลายทศวรรษ 1990s อย่าง “รังพำนัก” นี่เอง แม้นักร้องสมัยคอมมิวนิสต์หลายคนจะเคยเซ็นต่อต้านกฎบัตร 77 แต่ดูเหมือนว่าหลัง 1989 ชีวิตและอาชีพของพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบจากการกระทำในอดีต คอนเสิร์ตของมิคาล ดาวิดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่ล่าแม่มดและไม่รังเกียจเพลงของนักร้องที่เคยเป็นหรือถูกบังคับให้ทำหน้าที่ลิ่วล้อให้ระบอบในอดีต อย่างที่กล่าวมาแล้ว การโหยหาอดีตและชีวิตภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์คือการโหยหา (หรือจินตนาการถึง) เพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของชีวิตในสมัยนั้น การโหยหาอดีตในบริบทของสาธารณรัฐเช็กไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกับความปรารถนาให้ระบอบนั้นกลับคืนมาเสมอไป จึงไม่น่าแปลกใจที่เพลงป็อปเป็นองค์ประกอบสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก”

เราจะเห็นว่าตัวละครใน trailer พากันเต้นรำเพลง “Trezor” (แปลว่า “กรุ”) ของ กาเร็ล ก็อต (Karel Gott) ฉากสำคัญ ๆ จะมีเพลง “Sluneční hrob” (แปลว่า “สุสานแสงแดด”) ของ Blue Effect เปิดคลอ และมีเพลงของนักร้อง Diva ชาวสโลวัก ตำนานเพลงประเภท chanson อย่างฮานา เฮเกโรวา (Hana Hegerová) อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก” ให้เกียรตินักแสดงและนักร้องอย่างวาตซลัฟ เน็ตซการ์ช (Václav Neckář) ผู้เป็นนักแสดงคนสำคัญในขบวนการภาพยนตร์เชโกสโลวักคลื่นลูกใหม่ช่วงฤดูใบไม้ผลิแห่งปราก เพลงเปิดเรื่องของเน็ตซการ์ชคือเพลง “Tu kytaru jsem koupil kvůli tobě” (แปลว่า “ฉันซื้อกีตาร์ตัวนั้นเพราะเธอ”) อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับชายหนุ่มที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อคนรักแม้ถึงขั้นต้องผลาญค่าแรงของพ่อไปกับกีตาร์เพียงเพื่อให้คนรักรู้สึกประทับจิตประทับใจ (เช่นเดียวกับ มิคาล เชเบ็กในเรื่อง)

ภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก” ยังให้เกียรตินักร้องอย่าง วัลเดมาร์ มาตุชกา (Waldemar Matuška) นักร้องชาวสโลวักระดับตำนาน (เทียบเท่า แฟรงค์ ซินาตรา -Frank Sinatra) ที่ต้องลี้ภัยไปสหรัฐอเมริกาในปี 1986 ทันทีที่เขาหนีออกจากประเทศ รางวัลและเกียรติยศต่าง ๆ ของเขาถูกทางการริบไปสิ้น และผลงานเพลงของเขาถูกแบนไม่ให้เปิดในรายการวิทยุและโทรทัศน์

“รังพำนัก” จึงเป็นภาพยนตร์ย้อนยุคซึ่งดูเผิน ๆ เล่นกับความโหยหาอดีตและอาจถูกกล่าวหาว่า romanticise ระบอบและสะท้อนความปรารถนาให้ระบอบนั้นหวนคืนมาอีกครา แต่หากพิจารณาดี ๆ เราจะเห็นว่า “รังพำนัก” เป็นภาพยนตร์ที่แสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับระบอบคอมมิวนิสต์เป็นพื้น ที่เพิ่มเติมมาคือข้อที่ว่าภาพยนตร์ยังแสดงให้เห็นว่าเราสามารถแยกทัศนคติที่มีต่อระบอบออกจากความนิยมชมชอบผลผลิตทางวัฒนธรรมในสมัยนั้น (เพราะล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำหมู่และวัฒนธรรมเช็กและสโลวักไป แยกออกจากชีวิตผู้คนแต่ละรุ่นไม่ได้) หากปราศจากบรรยากาศของระบอบคอมมิวนิสต์ในอดีตเพลงที่ยกตัวอย่างมาคงไม่บังเกิด และเสื่อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ตึกรามบ้านช่อง ประเพณีต่าง ๆ คงไม่มีให้เห็น ทุกอย่างเป็นการเมือง และความไม่อินการเมืองก็ถือว่าเป็นจุดยืนทางการเมืองหรือ – อย่างที่ฮาเวลอธิบายไว้ – ถือว่าเป็นภาพสะท้อนของสภาพการเมืองด้วยเช่นกัน

ระบอบ “ชายเป็นใหญ่” อยู่ยั้งยืนยงและยาวนานกว่าระบอบการเมืองใด

ทั้งในครอบครัวที่โอบรับระบอบคอมมิวนิสต์และในครอบครัวชาตินิยมที่ต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ ตัวละครผู้หญิงใน “รังพำนัก” ต่างอดทนอดกลั้นกับคุณค่าชายเป็นใหญ่และ “ความรู้สึกสำคัญตัวเป็นวีรบุรุษ” อันแสนกระจอก (petty heroism) ของเหล่าสามีและบิดาในระนาบและระดับต่าง ๆ กัน วิลมา (Vilma) ภรรยาของยินดรชิค เคราส์ ผู้เป็นมารดาของยินดราถึงขั้นเสียชีวิตด้วยโรคร้าย ผู้ชมอาจเห็นด้วยกับผู้เขียนบทความว่าวิลมาเสียชีวิตด้วยความเหนื่อยและความเครียดที่เกิดจากการต้องอยู่กับสามีที่บ่นและต้องการความสนใจตลอดเวลาเช่นกัน ยินดราตอนแรกดูจะไม่ทนบิดาของตน แต่หลังจากที่สูญเสียมารดาและเห็นว่าบิดานั้นทำอะไรไม่เป็นก็หันมาเข้าครัว กลายเป็นแม่บ้านแทนมารดา (จะเห็นว่าแรงงานในครัวเรือนที่ผู้หญิงทำให้โดยไม่ได้รับค่าจ้างนั้นมีอยู่ทั่วไปใต้ระบอบคอมมิวนิสต์) ยินดราเองต้องบอกลาแฟนที่ย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาตามพ่อแม่ของเขา โดยรู้ดีว่าจะไม่ได้พบกันอีก (อย่างน้อยธีม coming of age นี้เป็นของวัยรุ่นชายและหญิงอย่างเสมอกัน) ส่วนมาเรีย (Marie) ภรรยาของโบโฮว์ช เชเบ็กนั้นอาจดูจะเชื่อฟังคำบัญชาของสามีผู้เป็นทหาร แต่จริง ๆ เป็นขบถ และพร้อมรับความคิดก้าวหน้าใหม่ ๆ ของคนรุ่นลูก ส่วนเอวา (Eva) ตัวละครที่เป็นน้องสาวของมาเรียนั้นเป็นครูและแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้พยายามเฟ้นหาผู้ที่เหมาะจะเป็นบิดาให้ลูกชายของตน (แม้ระบอบคอมมิวนิสต์สัญญาว่าสหายชายและสหายหญิงนั้นมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวยังถูกมอิงว่าเป็น stigma อยู่ดี) สุดท้ายปฏิเสธทุกคนจนมาพบยินดรชีค เคราส์ผู้เป็นหม้าย (และทำตัวดีขึ้นเพราะสำนึกว่าตนได้เคยสร้างความทุกข์ให้กับภรรยาที่เสียชีวิตไปเพียงใด) จนได้แต่งงานกัน มิคาลจึงเกี่ยวดองกลายเป็นญาติของยินดราโดยที่เขาไม่เต็มใจ เมื่อทั้งเอวาและยินดรชีคไปฮันนีมูนที่ลอนดอนหลังเกิดเหตุการณ์การบุกครองเชโกสโลวาเกียของฝ่ายกติกาสัญญาวอร์ซอ ทั้งคู่ก็ไม่ได้กลับมาที่ประเทศบ้านเกิดอีกเลย เช่นเดียวกับประชาชนเชโกสโลวักจำนวนมากในสมัยนั้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จบด้วยบทอุทิศแด่ผู้ที่ต้องอยู่อย่างลำพังเพราะได้สูญเสียสมาชิกในครอบครัว สหาย หรือคนรักไปกับสถานการณ์ทางการเมืองไปชั่วข้ามคืน สุดท้ายรังพำนักก็ต้องแตกไปเพราะการเมือง ไม่มีใครอยู่เหนือและนอกการเมือง อาจกล่าวได้ว่าภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก” ท้าทายเฟรดริก เจมสัน (Fredric Jameson) ที่วิพากษ์วิจารณ์ความโหยหาอดีต (nostalgia) ว่าความโหยหาอดีตแบบโพสต์โมเดิร์นที่เรามักเห็นในภาพยนตร์นั้นไร้ซึ่งแก่นสารทางประวัติศาสตร์เพราะมุ่งแต่จะประดิษฐ์สร้างอดีตที่ไม่ตรงกับความเห็นจริงทางประวัติศาสตร์เป็นสำคัญ ในการณ์กลับกัน “รังพำนัก” อาจชี้ให้เห็นว่าการตั้งใจละฉากและเลือกที่จะไม่เน้นเรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกการเมือง แต่หันมาโฟกัสที่ฉากและเรื่องเล่าในหน่วยชีวิตย่อย ๆ อย่างครอบครัวและโรงเรียนแทนนั้นก็มีนัยทางการเมืองที่สำคัญได้เช่นกัน การทำเช่นนั้นสะท้อนว่าผู้คนพยายาม “ปรองดอง” กับอดีตอย่างเข้าใจ และสามารถแยกแยะผลผลิตทางวัฒนธรรมออกจากความโหดร้ายของระบอบ แทนที่จะแคนเซิลอดีตอันมืดมน ภาพยนตร์จากสาธารณรัฐเช็กเรื่องนี้กลับโอบกอดและยอมรับอดีตอันแสนเจ็บปวด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการเดินไปข้างหน้าต่อไป

คำเชื้อเชิญ

สุดท้ายนี้ขอเชิญชวนผู้สนใจมางานฉายภาพยนตร์และเสวนาหลังฉายภาพยนตร์เรื่อง “รังพำนัก” หรือ “Cosy Dens” (Pelíšky) ในวันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 เวลา 16.00 น. ณ หอประชุม ดร.เทียม โชควัฒนา ชั้น 4 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานนี้เป็นงานสาธารณะ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนหน้างานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

งานฉายภาพยนตร์ครั้งนี้เป็นผลพวงจากความร่วมมือระหว่างคณะนิเทศศาสตร์และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกทั้งสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กประจำประเทศไทย และจัดเนื่องในโอกาสครบรอบ 55 ปี เหตุการณ์การบุกครองเชโกสโลวาเกียของฝ่ายกติกาสัญญาวอร์ซอ

หลังชมภาพยนตร์ ขอเชิญมาร่วมเสวนาหลังฉายภาพยนตร์ในหัวข้อ “ปี 1968 บนจอและในบริบทของโลกปัจจุบัน” (“1968 on Screen and Parallels in the Current World”) กับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กประจำประเทศไทย รองหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตสาธารณรัฐเช็ก คณาจารย์ และนิสิต

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...