โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

แอมะซอนใกล้ถึงจุดเปลี่ยน ภายในปี 2050 นี้

Environman

เผยแพร่ 18 ก.พ. 2567 เวลา 00.00 น.

‘อาจไม่มีป่าฝนอีกแล้ว’ นักวิทยาศาสตร์เตือนแอมะซอนอาจถึง 'จุดเปลี่ยน' ภายในปี 2050 ผลจากขาดความชุ่มชื้น ปรับเปลี่ยนที่ดิน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ป่าฝนกลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา

รายงานที่เผยแพร่ในวารสาร Nature ซึ่งได้วิเคราะห์ผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ รวมกันไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมของมนุษย์ในพื้นที่ และวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ระบุว่าป่าฝนแอมะซอนได้ผ่านเซฟโซนออกมาแล้ว และกำลังเดินทางไปสู่จุดเปลี่ยนที่ย้อนกลับไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้มีฟื้นฟูพื้นที่และปรับปรุงความยืดหยุ่นของระบบนิเวศอย่างเร่งด่วน

Bernardo Flores จากมหาวิทยาลัย Federal University of Santa Catarina ประเทศบราซิล ผู้เขียนหลักของการศึกษานี้ กล่าวว่า เขารู้สึกตกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งเคยคิดกันว่าแอมะซอนอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ แต่ที่จริงแล้วมันเร็วกว่าที่พวกเขาคาดไว้อย่างมาก

ป่าเริ่มอ่อนแอลงและเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้นแล้ว ทั้งที่ปกติควรจะหลากหลายกว่านี้ “ภายในปี 2050 จะมีการเร่งอย่างรวดเร็ว เราต้องตอบสนองตั้งแต่ตอนนี้ หากเราผ่านจุดเปลี่ยนนั้นแล้ว เราจะสูญเสียการควบคุมว่าระบบจะทำงานอย่างไร” Bernardo Flores บอก

เป็นเวลากว่า 65 ล้านปีแล้วที่ป่าฝนแอมะซอนสามารถทนต่อความแปรปรวนของภูมิอากาศได้ แต่ในปัจจุบันภูมิภาคนี้ต้องเผชิญกับความเครียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งจากความแห้งแล้ง ความร้อน ไฟไหม้ และการปรับที่ดิน ซึ่งส่งผลกระทบไปไกลถึงงบริเวณใจกลางส่วนลึกของแอมะซอน

แล้วก็ส่งผลกระทบต่อไปเป็นลูกโซ่ ทำให้ในหลายพื้นที่มีฝนตกน้อยลงกว่าเดิมแล้ว และเปลี่ยนแหล่งกักเก็บคาร์บอนให้กลายเป็นตัวปล่อยคาร์บอนแทน ทีมวิจัยประเมินว่าภายในปี 2050 ป่าอเมซอน 10-47% จะได้รับการรบกวนและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งระบบนิเวศจากป่าฝนกลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาที่แห้งแล้ง

ขณะเดียวกันพวกเขาก็พบว่า 15% ของป่าแอมะซอนถูกทำลายไปแล้ว และอีก 17% ที่เหลือก็เสื่อมโทรมลงโดยกิจกรรมของมนุษย์ ไม่เพียงเท่านั้นพื้นที่แอมะซอนอีก 38% ก็กำลังอ่อนแอจากภัยแล้งต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งหมดเกิน 10% ที่ว่าไปแล้ว

อุณหภูมิในฤดูแล้งสูงกว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้วถึง 2°C ในพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของป่า ทีมงานคาดว่าในปี 2050 จะมีวันที่แห้งแล้งมากกว่าปัจจุบันมากถึง 10-30 วัน และอุณหภูมิสูงสุดต่อปีจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 2-4°C

“ปรากฏการณ์เอลนีโญเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด” Flores กล่าว “เราจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยแนวทางที่ระมัดระวังอย่างยิ่ง เราจะต้องบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์และการตัดไม้ทำลายป่าสุทธิเป็นศูนย์โดยเร็วที่สุด มันจำเป็นต้องทำตอนนี้ ถ้าเราสูญเสียป่าแอมะซอนไป มันจะเป็นปัญหาสำหรับมนุษยชาติ”

และหากเราไปถึงจุดนั้น เราคงจะไม่ได้เห็นเวอร์ชั่นเดิมของแอมะซอนอีกแล้ว

ที่มา

https://www.nature.com/articles/s41586-023-06970-0

https://www.theguardian.com/…/amazon-rainforest-could…

https://www.wionews.com/…/amazon-rainforest-to-reach…

Photo : danilemurillom/Envato

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...