โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

รัฐบาลไทยไม่ประสบความสำเร็จในการปกป้องสิทธินักกิจกรรมโดยเฉพาะผู้หญิงและLGBTI

TODAY

อัพเดต 16 พ.ค. 2567 เวลา 15.40 น. • เผยแพร่ 16 พ.ค. 2567 เวลา 08.37 น. • workpointTODAY

นักสิทธิมนุษยชน ชี้ กฎหมายในการปกป้องและคุ้มครองผู้ถูกละเมิดมีแต่ในทางปฏิบัติจริงพบปัญหา แนะแก้กฎหมายและฟังเสียงผู้เกี่ยวข้อง

วันนี้ (16 พ.ค. 67) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดข้อค้นพบจากรายงาน “อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง” (Being Ourselves is Too Dangerous) พบว่าในช่วงหลังจากมีการรัฐประหารในปี 2557 มีนักกิจกรรมที่ต้องอยู่แนวหน้าของการชุมนุมประท้วง และมีนักกิจกรรมที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และแสดงความคิดเห็น เพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนผ่านออนไลน์

แต่กลับพบนักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย ที่ออกมาเคลื่อนไหวถูกสอดส่องติดตามโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยการเฝ้าติดตามทางดิจิทัล รวมถึงถูกพุ่งเป้าโจมตีด้วยการใช้สปายแวร์เพกาซัสและการคุกคามทางออนไลน์ เพื่อจะปิดปากนักกิจกรรม ซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้นักกิจกรรมเหล่านี้ปิดกั้นตัวเอง และหวาดกลัว และพบว่ากลไกในการเข้าถึงการปกป้อง คุ้มครองคนเหล่านี้ยังมีน้อย และมีช่องโหว่ จนนำมาสู่การเปิดวงเสวนาคุยเรื่อง “อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง”: ความรุนแรงในโลกดิจิทัลและการปิดปากนักกิจกรรมผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อหาทางออกร่วม อังคณา นีละไพจิตร อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนและสมาชิกคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติหนึ่งในผู้ร่วมเสวนา กล่าวว่า ตนถูกคุกคามทางออนไลน์ตั้งแต่ปฏิบัติหน้าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เนื่องจากว่าในช่วงที่ตนทำงานมีการออกมาให้ความคิดเห็นในพื้นที่ข่าวอยู่ตลอดเวลา และได้มีการเขียนความคิดเห็นส่วนตัวลงในเฟซบุ๊ก หรือในทวิตเตอร์ เพื่อรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัว เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในฐานะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติคนหนึ่ง จึงเลือกที่จะแสดงความคิดเห็นส่วนตัวอย่างอิสระ และเปิดเผยมาโดยตลอด

“เวลาที่เราออกมาพูดเรื่องผู้ลี้ภัย เราออกมาพูดเรื่องโทษประหารชีวิต อย่างพอพูดเรื่องผู้ลี้ภัย ก็จะมีคนที่ไม่เปิดเผยตัวตน แล้วบอกว่ามึงก็เอามันไปทำผัวสิอะไรแบบนี้ เอามันไปอยู่ที่บ้านมึงอะไรประมาณแบบนี้ ดิฉันคิดว่าในความเป็นผู้หญิงเรื่องเพศจะถูกหยิบยกมาในการที่จะทำลาย และมันไม่ได้ทำลายศักดิ์ศรีนะคะ ไม่ได้ทำลายชื่อเสียงอย่างเดียว แต่มันทำลายความเป็นตัวเรา ซึ่งเรื่องแบบนี้มันเป็นความเจ็บปวดมาตลอด”

ที่ผ่านมาตนแจ้งความมาตลอดแต่พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เข้าใจเรื่องความอ่อนไหวทางเพศสภาพเนื่องจากในขบวนการขั้นตอนการสอบสวนจะมีคำถามย้ำการถูกละเมิด ซึ่ง อังคณาให้ความเห็นว่า ในทางปฎิบัติจริงเจ้าหน้าก็เป็นคนที่ทำให้เกิดการละเมิดซ้ำอีก

นาดา ไชยจิตต์ อาจารย์สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ กล่าวว่า การคุกคามทางเพศเกิดขึ้นง่าย จากวาจา สายตา สามารถที่จะทำให้เกิดการคุกคามทางเพศได้ ซึ่งความน่าตกใจคือคนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ เมื่อมองไปถึงกฎหมายตนมองว่าไม่มีกฎหมายที่จะช่วยเรื่องการคุกคามในลักษณะนี้เลย ในทางกฎหมายอาญาเป็นลหุโทษ อย่างมากคือจำคุก 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ระบุความเสียหายยาก

“เวลาไปแจ้งความตำรวจไม่ค่อยรับดำเนินคดี จะรับแค่บันทึกประจำวันเพราะว่าจะรับดำเนินคดียาก โทษน้อย ทำไปเสียเวลาจะทำไปทำไม เราเคยพาเคสไปแจ้งความเราเห็นการเลือกปฏิบัติเลย คือมีผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากเดินไปแจ้งความ ทั้งที่เรามาก่อนเคสเราไม่ได้รับและเราไปแจ้งความโดนหลอก โดยการปริ้นใบบันทึกประจำวันมาให้ เราต้องบอกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราต้องการบันทึกการดำเนินคดี ตำรวจก็ถามว่าเรารู้กฎหมายด้วยหรอ ต้องมาทำให้ใหม่ เราจะเจออะไรแบบนี้ในกระบวนการยุติธรรมเสมอ ตลอดระยะเวลาทำงานเรื่องการพยายามปกป้องสิทธิความหลากหลายทางเพศในโลกออนไลน์ และชีวิตจริง ”จากเวทีเสวนา ค้นพบข้อเสนอว่าการแก้ปัญหานี้จะต้องอาศัยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งใน และต่างประเทศ ทั้งในเรื่องการผลักดันกฎหมายและนโยบาย”

  • ประเทศไทยต้องรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่องนักสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง
  • ต้องมีการสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง กับคนที่บูลลี่ คุกคาม
  • ต้องมีกระบวนการเยียวยา ฟื้นฟูสภาพจิตใจของคนที่ถูกคุกคาม
  • เจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องเคารพหลักการธุรกิจและสิทธิมนุษยชน และต้องไม่ยอมให้ใช้พื้นที่ทางออนไลน์ละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการเสนอแก้กฎหมาย ม.248 ในกฎหมายอาญาที่ว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และฟังเสียงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ขณะที่ ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยระดับภูมิภาคประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ให้ความเห็นว่า รัฐบาลไทยยังไม่ประสบความสำเร็จ ในการคุ้มครองและปกป้องนักสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะผู้หญิงและLGBTI ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญ แม้รัฐบาลมีเจตจำนงทำให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศ ทั้งในผู้หญิงและผู้ที่มีความหลายทางเพศ แต่ไทยคงไม่สามารถเป็นได้ หากปัญหาความความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี กับนักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลายทางเพศยังไม่หมดไปจากประเทศนี้ จึงมีข้อเสนอถึงรัฐบาล

  • คุ้มครองนักปกป้องสิทธิฯ ที่เป็นผู้หญิงและ LGBTI ที่ต้องการดำเนินคดีทางกฎหมายเกี่ยวกับความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศรูปแบบอื่นๆ ผ่านการใช้เทคโนโลยี (Technology Facilitated Gender Based Violence – TfGBV)เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะปลอดภัยจากการล้างแค้นเอาคืน
  • ยุติการดำเนินคดีอาญาทั้งหมดต่อทุกคน รวมถึงนักปกป้องสิทธิฯ ที่เป็นผู้หญิงและ LGBTI ที่ถูกฟ้องร้องเพียงเพราะมีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วงอย่างสงบ หรือใช้สิทธิของการมีเสรีภาพในการแสดงออก
  • ใช้แนวทางปฏิบัติเฉพาะทาง สำหรับเจ้าหน้าที่ ที่บังคับใช้กฎหมายในการจัดการกับ TfGBVโดยยึดถือวิถีการ รับมืออย่างมีความละเอียดอ่อน ต่อเรื่องเพศภาวะ และคำนึงถึงบาดแผลทางจิตใจ
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...