โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

[นิยายแปล]วาดชะตา ทวงบัลลังก์รัชทายาทหญิง

นิยาย Dek-D

เผยแพร่ 29 มี.ค. 2567 เวลา 09.07 น. • Jinovel
แม้ต้องแสร้งแกล้งเป็นชาย ใช้สถานะองค์รัชทายาท นางยอมแลกทุกอย่างเพื่ออำนาจและบัลลังก์!

ข้อมูลเบื้องต้น

เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ :Beijing IQIYI Science & Technology Co., Ltd.

ประพันธ์โดย :端木摇

ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Public Co.,LTD

แปลและเรียบเรียงโดย :เสาวลักษณ์ เรืองศรี

พิสูจน์อักษร :มานา ขำสังข์

บรรณาธิการ : วลีรัตน์ แทนคง

เพราะความจำเป็นบางอย่าง “มู่หรงฉือ” องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นต้าเยี่ยน
จำใจต้องซ่อนตัวอยู่ในคราบองค์รัชทายาทผู้อ่อนแอ
เพื่อบัลลังก์และอำนาจ คนที่นางควรกำจัดคือ “มู่หรงอวี้”
เขาคือท่านอ๋องผู้เก่งกาจ สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้จนเป็นที่โปรดปรานยิ่ง
.
แต่ทุกอย่างกลับผิดแผน! ในคืนลอบสังหาร
นางกลับเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำและมีค่ำคืนอันเร่าร้อนกับท่านอ๋องที่ชิงชังแทน
เพื่อไม่ให้ความลับถูกเปิดเผย องค์หญิงในคราบนักฆ่าจึงรีบหนีมาในทันทีที่แสงอุษามาเยือน!!
.
ไม่รู้ว่าน้ำเข้าสมองของมู่หรงอวี้จนใช้งานไม่ได้หรืออย่างไร
เขาถึงเอาแต่เฝ้าตามหาหญิงสาว คนที่หลับนอนกับเขาในคืนนั้น!
กระทั่งแววตาที่เคยขุ่นมัวกับเปลี่ยนเป็นวาบหวาม ยามชายตามองนางในฐานะองค์รัชทายาท
ไม่จริงนะ!! หรือเขาจะรู้แล้วว่าคืนนั้น เป็นนาง!!
หากมีคนรู้ว่าองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยี่ยนเป็นผู้หญิง..
อำนาจและบัลลังก์จักไปสิ้นสุดลงที่ใดกัน!?


ขอแนะนำนิยายสนุกๆ คัดสรรค์มาเพื่อคุณท่านโดยเฉพาะ
อยากอ่านเรื่องไหน จิ้มได้เลย

เซียวกุ้ยเฟยหายตัวไป

มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนรุดมาถึงตำหนักชิงหลวน เถาจือที่ร้อนใจจนแทบคลั่งรีบเข้ามาทำความเคารพ พร้อมรายงาน “องค์รัชทายาท กุ้ยเฟยหายตัวไปเพคะ”

เสิ่นจือเหยียนมองไปรอบๆ แล้วถาม “หายไปเมื่อใด? เจ้าเล่ามาให้ละเอียด”

“ราวครึ่งชั่วยามก่อน หนูปี้ไปที่โรงครัวเพื่อดูว่าอาหารในงานเลี้ยงเตรียมการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ในตอนนั้นกุ้ยเฟยอยู่รอที่ตำหนักคนเดียวเพคะ” เถาจือตอบกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจและกังวล “หนูปี้กำลังคอยจับตาดูคนงานที่โรงครัว รั้งอยู่ประมาณครึ่งชั่วยามถึงได้กลับมา หนูปี้วางแผนว่าจะกลับมารายงานกุ้ยเฟย แต่ว่าหากุ้ยเฟยจนทั่วตำหนักใหญ่ รวมถึงตำหนักบรรทมก็หานางไม่พบเพคะ”

“หลังจากเจ้าไปแล้ว ไม่มีคนคอยปรนนิบัติกุ้ยเฟยหรือ?” มู่หรงฉือไม่ได้สนใจว่าเซียวกุ้ยเฟยจะไปไหน จะเป็นหรือจะตาย กลับอยากจะรู้ว่าเมื่อมู่หรงอวี้ได้ยินเรื่องนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

“หนูปี้ไม่ทราบ กุ้ยเฟยไม่ค่อยชอบให้ข้าหลวงอยู่ข้างกายเพคะ” เถาจือร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ “อีกอย่างวันนี้เป็นวันเกิดของกุ้ยเฟย ข้าหลวงของตำหนักชิงหลวนต่างยุ่งง่วนกันไปหมด ก่อนหน้านี้ข้าหลวงทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการจัดงานเลี้ยงที่นี่เพคะ”

มู่หรงฉือมองไป ด้านหน้าโถงตำหนักจัดวางโต๊ะจัดเลี้ยงอยู่หลายตัว ราวหนึ่งร้อยโต๊ะได้ นับว่ายิ่งใหญ่พอสมควร

เสิ่นจือเหยียนสบตากับนางก่อนเอ่ยว่า “เจ้าไปเรียกข้าหลวงที่คอยปรนนิบัติข้างกายกุ้ยเฟยมาที”

เถาจือหมุนตัวไปกวักมือ ขันทีคนหนึ่งกับนางกำนัลอีกคนหนึ่งก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามา ก่อนจะทำความเคารพพวกเขา

วันนี้พระอาทิตย์ยังคงร้อนแรง เสิ่นจือเหยียนหรี่ตาถาม “สองชั่วยามมานี้พวกเจ้าทำอะไรบ้าง?”

นางกำนัลคนนั้นตอบ “ตอนบ่ายหนูปี้ไม่ได้ดูแลกุ้ยเฟยแต่คอยช่วยจัดงานเลี้ยงอยู่กับทุกคนด้านนอกเจ้าค่ะ”

ขันทีเองก็ตอบเช่นเดียวกัน

“พวกเจ้าไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวจากตำหนักใหญ่เลยหรือ?” มู่หรงฉือถาม

“ไม่เลยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” นางกำนัลกับขันทีส่ายหน้าพร้อมกัน

“เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น หนูปี้คาดเดาว่าหลังจากหนูปี้ออกมา กุ้ยเฟยก็พักผ่อนอยู่ในตำหนัก ไม่ได้ออกมาเรียกข้าหลวงให้ไปปรนนิบัติเพคะ” เถาจือกล่าว “ก่อนหน้านี้หนูปี้ได้ส่งคนไปตามหาทั่วทั้งตำหนักชิงหลวนแล้วรอบหนึ่ง แต่หากุ้ยเฟยไม่พบ จะทำอย่างไรดีเพคะ?”

เสิ่นจือเหยียนสั่งขันทีกับนางกำนัลคนนั้น “พวกเจ้าแยกกันไปสอบถามข้าหลวงคนอื่นๆ ถามตำหนักข้างเคียงว่าในชั่วเวลาหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมามีผู้ใดพบเห็นกุ้ยเฟยบ้าง”

ขันทีกับนางกำนัลคนนั้นรับคำสั่งแล้วรีบจากไป

มู่หรงฉือพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “จือเหยียน พวกเราไปดูในตำหนัก บางทีอาจพบเบาะแสอะไร”

เถาจือรีบพาพวกเขาเข้าไปในตำหนักใหญ่ วันนี้เป็นวันมงคลของเซียวกุ้ยเฟย ในตำหนักใหญ่และตำหนักบรรทมประดับตกแต่งเอาไว้อย่างเป็นมงคลยิ่ง ผ้าสีแดงพลิ้วไหว ประดับด้วยดอกไม้สด ส่งกลิ่นหอมจรุง

ตอนนี้พวกเขาตรวจสอบตำหนักใหญ่ทุกซอกทุกมุม ไม่มีสักจุดเดียวที่ปล่อยผ่านไป

ผ่านไปได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันก่อนจะส่ายหน้า แสดงออกว่าไม่พบสิ่งใด

จากนั้นพวกเขาก็พากันไปตรวจสอบตำหนักบรรทม

มู่หรงฉืออดเดาะลิ้นไม่ได้ ตำหนักบรรทมของเซียวกุ้ยเฟยหรูหรามากจริงๆ ข้าวของทุกอย่างล้วนเป็นของมีค่า ดูเหมือนว่าหลายปีนี้เสด็จพ่อจะโปรดปรานนางมากจริงๆ พระราชทานของให้นางไม่น้อยเลย

“ตำหนักใหญ่และตำหนักบรรทมปกติทุกอย่าง ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน”

“เถาจือ เจ้าดูว่ามีตรงไหนบ้างที่ไม่เหมือนเดิม” เสิ่นจือเหยียนออกคำสั่ง

“เจ้าขบคิดให้ละเอียดสักหน่อย อย่ามัวแต่หวาดหวั่นร้อนใจ” มู่หรงฉือกำชับ

“เพคะ” นางกวาดตามองไปทุกที่เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำ

มู่หรงฉือเดินไปยังหน้าต่างฝั่งตะวันตก แววตาเจือความสงสัย ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย “เจอแล้ว”

เถาจือกับเสิ่นจือเหยียนรีบเดินไปพลางถามด้วยความดีใจ “หาอะไรเจอหรือ?”

มู่หรงฉือชี้ไปที่รอยเท้าบนหน้าต่าง “รอยเท้านี่คงจะเป็นรอยเท้าของคนที่พาเซียวกุ้ยเฟยไปทิ้งเอาไว้”

เสิ่นจือเหยียนใช้มือทาบวัดขนาด “รอยเท้าไม่ใหญ่นัก ไม่น่าจะใช่รอยเท้าของบุรุษ”

เถาจือเบิกตาด้วยความตกใจ “หรือว่าคนที่พากุ้ยเฟยไปจะเป็นสตรี?”

มู่หรงฉือยื่นตัวออกไปดูด้านนอก “ด้านล่างหน้าต่างเป็นพื้น ไม่มีรอยเท้า คนที่ลักพาตัวเซียวกุ้ยเฟยไปคงจะใช้เท้าเหยียบหน้าต่าง จากนั้นก็ทะยานตัวออกไป”

เสิ่นจือเหยียนพูดต่อ “คนผู้นั้นมีวิทยายุทธ์”

เถาจือยิ่งร้อนใจทั้งยิ่งหวาดกลัวขึ้นไปอีก “เหตุใดคนผู้นั้นจะต้องพากุ้ยเฟยไปด้วยเล่า คนผู้นั้นจะทำร้ายกุ้ยเฟยหรือไม่เพคะ?”

มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนเดินออกไปด้านนอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เถาจือเหม่อลอยเล็กน้อยก่อนจะรีบตามไป

พวกเขามายังด้านนอกของหน้าต่างฝั่งตะวันออกของตำหนักบรรทม แล้วหมอบหาของไปตามพื้นราวกับกำลังมองหาทอง

“เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น พวกท่านกำลังหาอะไรหรือ?” เถาจืออดถามไม่ได้

“ที่นี่มีรอยเท้าอยู่รอยหนึ่ง ขนาดใกล้เคียงกับรอยเท้าที่หน้าต่าง” มู่หรงฉือชี้ไปยังจุดหนึ่งบนพื้น

“ทางนี้เองก็มีรอยเท้าอยู่รอยหนึ่ง คงจะเป็นสิ่งที่คนร้ายทิ้งเอาไว้” เสิ่นจือเหยียนยืนพูดอยู่อีกทาง “รอยเท้าที่คนร้ายทิ้งเอาไว้น้อยมาก จากเตี้ยนเซี่ยจนถึงตรงนี้ ห่างกันหนึ่งจั้งพอดี เห็นได้ว่าวิชาตัวเบาของคนร้ายไม่ธรรมดา”

“คนของตำหนักชิงหลวนมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งยังมีการป้องกันแน่นหนา แต่ผู้ร้ายคนนั้นกลับสามารถพาคนๆ หนึ่งไปกลางวันแสกๆ ได้เช่นนี้ อีกทั้งไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนไว้อย่างรอบคอบ การลงมือก็รัดกุม” มู่หรงฉือยอมรับว่าตนมีวิชาตัวเบาที่นับว่าไม่ธรรมดา เทียบกันแล้ว ตัวผู้ร้ายเองก็ถือว่ามีวิชาตัวเบาที่ใกล้เคียงกัน

เสิ่นจือเหยียนเดินไปเดินมา ลูบคางพลางพูด “องครักษ์ในวังมากมาย มีการตรวจตราหนาแน่น คนร้ายพากุ้ยเฟยออกจากตำหนักชิงหลวนไป จะหลบหูตามากมายไปได้อย่างไร?”

นางพูดตัดสินออกมา “มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือคนร้ายคุ้นเคยกับวังหลวงเป็นอย่างมาก รู้จักเส้นทางหลบหลีกองครักษ์เป็นอย่างดี”

เถาจือฟังพวกเขาวิเคราะห์เบาะแส ในความหวาดกลัวเจือไว้ด้วยความตื่นตระหนก “ผู้ร้ายคนนั้นพากุ้ยเฟยไปที่ไหนหรือ?”

แปะแปะแปะ

ทั้งสามได้ยินเสียงปรบมือจึงหันไปมองต้นเสียงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เห็นมู่หรงอวี้สาวเท้าเดินมาด้วยท่วงท่าองอาจ

ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา ทั้งร่างของเขาอาบไล้ไปด้วยแสงตะวันสีทองอร่าม อาภรณ์สีดำสนิทเมื่อถูกแสงอาทิตย์ส่องกระทบเช่นนี้ก็ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป กระทั่งดวงหน้าของเขาก็ยังพร่าเลือน

เถาจือราวกับเห็นฟางช่วยชีวิต จึงรีบเข้าไปรายงาน “ท่านอ๋อง กุ้ยเฟยถูกคนลักพาตัวไปแล้วเพคะ”

มู่หรงอวี้พยักหน้าน้อยๆ มองไปยังอีกสองคนทางด้านหลังของนาง “พบเบาะแสอะไรหรือไม่?”

เสิ่นจือเหยียนเห็นเตี้ยนเซี่ยไม่พูดไม่จาจึงเอ่ยขึ้นว่า “จากการสันนิษฐานเบื้องต้น คนร้ายที่ลักพาตัวเซียวกุ้ยเฟยไปน่าจะเป็นสตรีที่มีวิชาตัวเบาไม่ธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งคนผู้นี้ยังคุ้นเคยกับวังหลวงเป็นอย่างมาก คาดว่าผู้ร้ายคงจะเป็นคนในวัง”

มู่รงฉือมองมู่หรงอวี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างเต็มเปี่ยม มู่หรงอวี้ ในใจของเจ้าคงร้อนรนมากสินะ

มู่หรงอวี้มองนางนิ่ง แล้วหมุนตัวไป

เสิ่นจือเหยียนหันไปมองเตี้ยนเซี่ย รู้สึกแปลกใจอยู่ข้างใน เตี้ยนเซี่ยดูแปลกพิกล

ครั้นเดินมาถึงทางเดินของตำหนักใหญ่ มู่หรงอวี้สั่งองครักษ์ด้วยสีหน้าเย็นชา ให้ค้นหาตัวผู้ร้ายจนทั่ววัง

มู่หรงฉือพูดเสียงใส “อย่าเคลื่อนไหวเอิกเกริกที่ตำหนักชิงหยวนเล่า”

องครักษ์รับคำสั่งแล้วออกไป

ในตอนนี้เองขันทีกับนางกำนัลก็กลับมารายงานว่าในชั่วเวลาหนึ่งชั่วยาม ไม่มีใครพบเห็นเซียวกุ้ยเฟยเลย

เถาจือคุกเข่าลงทันที ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำด้วยความร้อนรน “ท่านอ๋อง กุ้ยเฟยถูกจับตัวไป ท่านจะต้องช่วยกุ้ยเฟยนะเพคะ”

มู่หรงฉือประคองนางขึ้นมาด้วยตนเอง “เจ้าวางใจเถิด กุ้ยเฟยเป็นเฟยชั้นสูงแห่งวังหลัง ท่านอ๋องจะยอมให้เกิดเรื่องกับกุ้ยเฟยได้อย่างไร?”

เสิ่นจือเหยียนจะอย่างไรก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของเตี้ยนเซี่ย…แปลกมากจริงๆ

“ใต้เท้าเสิ่น เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” ดวงหน้าขาวของมู่หรงอวี้ไม่เผยความรู้สึกใด

“ท่านอ๋อง เรื่องนี้แปลกอยู่บ้างจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทำได้เพียงสันนิษฐานเบื้องต้น คนที่ลักพาตัวเซียวกุ้ยเฟยไปเป็นคนในวัง อีกทั้งยังเป็นสตรี” เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างรู้สึกผิด “ในวังมีตำหนักมากมาย หากจะตรวจสอบไปทีละตำหนัก ทีละห้อง พูดไปแล้วก็เสียเวลามาก”

“บางทีเซียวกุ้ยเฟยอาจมีปัญหากับผู้ใด แล้วคนผู้นั้นต้องการแก้แค้น” มู่หรงฉือพูด

ระหว่างที่มู่หรงอวี้หมุนตัวสายตาก็เหลือบมองไปที่นาง แล้วเดินเข้าไปในตำหนัก “เตี้ยนเซี่ยตามเปิ่นหวางเข้ามา”

นางยิ้มน้อยๆ “แต่เปิ่นกงอยากไปตามหากุ้ยเฟย จือเหยียน พวกเราไปกันเถิด”

มู่หรงอวี้ชะงักฝีเท้า จากนั้นพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทยังต้องถนอมพระวรกายให้ดี หรือเจ้าอยากจะให้ฝ่าบาทเป็นกังวลด้วยเรื่องนี้หรือ?”

สำหรับนางแล้ว นี่เป็นการตำหนิที่รุนแรงอย่างยิ่ง

นางลอบกัดฟัน แล้วเดินตามเขาเข้าไปในตำหนักใหญ่อย่างอารมณ์เสีย

เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเตี้ยนเซี่ยกับอวี้หวางกลับไปเป็นเช่นแต่ก่อนแล้วหรือ?

แบบที่เจอหน้ากันก็ไม่ถูกกัน

มู่หรงฉือเห็นมู่หรงอวี้เดินไปทางตำหนักบรรทม นางไม่อยากเข้าไปในตำหนักบรรทมของเซียวกุ้ยเฟยอีก จึงยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าพลางหัวเราะเสียงใส “ท่านอ๋องมีอะไรจะชี้แนะหรือ?”

“เจ้าดีใจมากหรือ?” เขาเดินเข้ามาหา ในดวงตาปรากฏเงาดำเล็กน้อย

“เปิ่นกงมีอะไรให้ดีใจ?” นางเหมือนถูกจับได้ จึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงเย็น

“เปิ่นหวางเหมือนได้กลิ่นเปรี้ยวฉุนจัด” เขาเลิกคิ้วเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“กลิ่นเปรี้ยวอะไร? กลิ่นก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่า” นางปรายตามองเขา

“กลิ่นเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู” มู่หรงอวี้โน้มตัวลงมา แล้วสูดดมไล่ไปตามกรอบหน้าของนาง “มันออกมาจากตัวเจ้า”

มู่หรงฉือขยับไปด้านข้างสองก้าว “มีที่ไหนกัน? วันนี้เปิ่นกงไม่ได้กินน้ำส้มสายชูสักหน่อย”

ครั้นพูดออกมาแล้วนางถึงได้รู้สึกว่าวาจาประโยคนี้มีปัญหาอยู่บ้าง นางตกหลุมพรางของเขาเสียแล้ว จึงอดโมโหไม่ได้

ริมฝีปากบางของเขายกยิ้ม “หากไม่ได้กินน้ำส้มแล้วเหตุใดเจ้าถึงได้โมโหอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้เล่า?”

นางพูดด้วยความโมโห “เปิ่นกงบอกว่าไม่ก็คือไม่!”

พูดจบแล้วนางก็สาวเท้าเดินออกไป ไม่อยากจะอยู่ในห้องบรรทมของเซียวกุ้ยเฟยพูดเรื่องแปลกๆ กับเขาอีก

มู่หรงอวี้คว้าข้อมือของนางเอาไว้ ดึงเพียงเบาๆ นางก็หมุนตัวกลับเข้าไปในอ้อมกอดของเขา เนื่องจากยังยืนได้ไม่มั่นคงร่างทั้งร่างจึงเอนพิงไปด้านหน้าเล็กน้อย นางกำลังพยายามจะรีบยืนให้มั่นจึงไม่ได้ระวังยามที่เขาก้มลงมาจุมพิต

การกระทำนี้ใช้เวลาเพียงชั่วลมหายใจทั้งยังไหลลื่นราวสายน้ำ

ริมฝีปากของเขาประกบริมฝีปากนุ่มของนาง ความคิดถึงหลายวันนี้เหมือนจะได้รับการบรรเทาลงมาเล็กน้อย แต่ก็เป็นเช่นน้ำที่ล้นทะลักไหลบ่าอย่างรุนแรง เขายิ่งจูบยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งลึกซึ้งก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นกว่าเดิม อยากจะกลืนกินริมฝีปากของนางเข้าไป

นางผลักเขาออกอย่างแรงด้วยความโกรธปนขวยเขิน “ปล่อยข้า!”

มู่หรงอวี้เองก็ไม่ได้ฝืนใจนาง แต่ยังคงกอดนางเอาไว้ แล้วกระซิบเสียงเบาข้างหูนาง “เจ้าหน้าแดงไปหมดแล้ว ช่างงามเหลือเกิน”

นางโกรธจนแทบจะระเบิด ฝ่ามือกำแน่น แล้วปล่อยหมัดไปยังดวงหน้าหล่อเหลาที่น่ารังเกียจนั้นอย่างแรง

จะที่ไหนก็ไม่ไป ดันเลือกมาที่ห้องบรรทมของเซียวกุ้ยเฟย!

เขาหยุดหมัดของนางไว้ด้วยมือเดียวอย่างคล่องแคล่ว แล้วดึงนางเข้ามาหาก่อนจะกอดนางไว้อีกครั้ง “หลายวันมานี้คิดถึงเปิ่นหวางหรือไม่?”

“คิด! คิดแน่นอน!” นางกัดฟัน “เปิ่นกงอยากจะได้ศีรษะของท่านมาตลอด!”

“ก็ดี ไม่มีอะไรแข็งแกร่งไปกว่านี้แล้ว” เขายิ้มอ่อนโยน

มีคนมา!

มู่หรงฉือผลักเขาออกทันที รีบจัดการตัวเองก่อนจะเดินออกไป

เสิ่นจือเหยียนเห็นเตี้ยนเซี่ยหน้าแดงระเรื่อก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋อง เหมือนองครักษ์จะหาตัวเซียวกุ้ยเฟยพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้นมองไปทางอวี้หวางอีกครั้ง สีหน้าของอวี้หวางกลับสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นเหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงได้เป็นเช่นนี้? หรือว่าถูกอวี้หวางยั่วโมโหมา?


ตำหนัก Jinovel ยังมีนิยายสนุกๆ อีกเพียบ!
พร้อมโปรโมชันสุดคุ้ม บุฟเฟ่ต์อ่านไม่อั้น
ในราคาสมาชิก 99 บาท/เดือนอ่านจุกๆ ทุกเรื่อง! ทุกเล่ม!
อ่าน วาดชะตา ทวงบัลลังก์รัชทายาทหญิง>>> http://jinovel.co/czAd

คนที่อยากจะฆ่าเปิ่นหวางมากที่สุด

“เตี้ยนเซี่ยอย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ” หรูอี้พูดปลอบใจเสียงอ่อนโยน

“เตี้ยนเซี่ยโปรดทรงวางพระทัยเถิดเพคะ นักฆ่าหมายเลขสามคงจะไม่ปล่อยให้ข้อมูลของเราแพร่งพรายออกไป” ฉินรั่วพูดออกมาอย่างระมัดระวัง การลงมือในครั้งนี้องค์รัชทายาททรงวางแผนมาอย่างดีเป็นระยะเวลาหนึ่งปี คิดไม่ถึงว่าแผนการจะล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า ผู้คนล้มตายไปมากขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงโทสะขององค์รัชทายาทเลย แม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

“ต่อให้นางจะให้ข้อมูลอะไรไป เปิ่นกงก็ไม่กลัว” นัยน์ตาของมู่หรงฉือฉายแววเย็นยะเยือก

“เช่นนั้นหนูฉายจะไปบอกคนของตรอกหลิวเย่ให้พวกนางสลายตัวไปที่ตรอกเถาฮวานะเพคะ”

“อืม เรื่องนี้เจ้าไปจัดการเถิด”

“หนูฉายทูลลาเพคะ” ฉินรั่วถอยออกไปจากตำหนักอย่างเงียบเชียบ

“เตี้ยนเซี่ย เตรียมน้ำร้อนเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ”

หรูอี้พูดเสียงเบา ถึงว่า เหตุใดเตี้ยนเซี่ยจึงมีโทสะเพียงนี้ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นั้นกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว

เมื่อมาถึงตำหนักสรงน้ำ มู่หรงฉือยืนอยู่ในบ่อน้ำร้อนขนาดกว้างขวางด้วยท่าทางครุ่นคิด

หรูอี้เห็นดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าหมองจึงไม่กล้าเอ่ยปากกล่าววาจาใด แล้วเช็ดตัวให้อีกฝ่ายเงียบๆ

ครั้นนึกถึงผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังหารไปอย่างโชคร้าย มู่หรงฉือก็โกรธจนกัดฟันกรอด อยากจะฉีกทึ้งเนื้อกระชากผิวหนังแล้วดื่มเลือดของเขาเสีย

“เจ้าออกไปเถิด เปิ่นกงอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

“เพคะ” แม้หรูอี้จะเป็นกังวล ทว่านางก็ไม่เอ่ยถามอะไรแล้วถอยออกจากตำหนัก

ตอนนั้น เตี้ยนเซี่ยแต่งกายเป็นนักฆ่าออกไป ทว่านางรออยู่ด้านนอกจวนอวี้หวางอยู่ค่อนคืนถึงจะเห็นเตี้ยนเซี่ยออกมา ระหว่างช่วงสองยามนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับองค์รัชทายาทกัน? มู่หรงอวี้พบตัวนางหรือไม่?

มู่หรงฉือถูแขนขาและเนื้อตัวของตนอย่างแรง หวังจะทำลายกลิ่นอายของมู่หรงอวี้ที่ติดอยู่บนร่างออกให้หมดสิ้น

เมื่อหวนนึกถึงภาพความอัปยศที่ไม่อาจทนรับได้นั้น ความโกรธของนางก็ได้แต่สุมอยู่เต็มอกอย่างไร้ทางระบาย

มู่หรงอวี้ หัวของเจ้า เปิ่นกงจะเอามันมาให้จงได้!

เที่ยงของวันต่อมา มู่หรงฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเกียจคร้าน

นางปวดร้าวไปหมดทั้งตัว รู้สึกเหมือนแขนถูกหักไป ขาทั้งสองข้างร้าวระบม พอยกขาจะก้าวเท้าก็จะเจ็บแปลบขึ้นมา

นางมองบรรดาอาหารเลิศรสที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะแล้วกลับไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่นิด

“ท่านอ๋อง เข้าไปไม่ได้นะเพคะ! ท่านอ๋อง องค์รัชทายาทยังไม่ตื่น… ท่านอ๋อง…”

ด้านนอกตำหนักมีเสียงร้องห้ามของนางกำนัล

นางส่งสัญญาณให้กับหรูอี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับรู้ว่าเตี้ยนเซี่ยไม่อยากจะพบท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน ดังนั้นจึงไปห้ามเขาอยู่ที่ด้านหน้าตำหนัก

มู่หรงอวี้ก้าวเดินอย่างองอาจ ชุดคลุมสีดำที่ปักด้วยดิ้นทองเป็นลายเมฆายิ่งทำให้เจ้าตัวดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามขึ้นไปอีก ขากางเกงสีดำขยับตามจังหวะก้าวเดิน

“ท่านอ๋องโปรดหยุดเถิด” หรูอี้มายืนขวางอยู่ตรงหน้าประตู ยกแขนขึ้นมากางขวางกั้นเอาไว้ “องค์รัชทายาททรงประชวรอยู่ ไม่ให้ใครเข้าพบทั้งนั้นเพคะ”

“เจ้าคิดว่าเจ้าจะขวางเปิ่นหวางได้หรือ?” เขาปรายตามองอย่างไม่ยี่หระ

นางใจหายวาบ รู้สึกราวกับถูกเข็มเงินนับพันเล่มทิ่มแทง เมื่อถูกสายตาดุดันของเขาจ้องมองมา

มู่หรงฉือที่อยู่ด้านในส่งเสียงออกมา “ให้ท่านอ๋องเข้ามาเถิด”

มู่หรงอวี้ก้าวเข้าไปในตำหนักแล้วนั่งลงตรงข้ามนาง เขามองไปทางองค์รัชทายาทด้วยสายตาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

“เมื่อคืนท่านอ๋องเจอนักฆ่าที่งานเลี้ยง เปิ่นกงตกใจแทบแย่” นางพูดออกมาด้วยท่าทางหวาดกลัวและขี้ขลาด เป็นเหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยที่ตื่นตูมจากการพบเจอเรื่องอันน่าตกใจมาอย่างหนัก

“ทำให้องค์รัชทายาทตกใจเสียแล้ว เป็นความผิดของเปิ่นหวางเอง” ถึงแม้จะเอ่ยคำขอโทษออกมา แต่ในน้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วไม่ได้มีความรู้สึกผิดอยู่เลยสักนิด

“ทำไมถึงมีนักฆ่าหญิงลอบเข้ามาทำร้ายท่านอ๋องกัน?”

“คงจะเป็นโจรที่อยากจะได้ชีวิตของเปิ่นหวาง”

“ได้ยินมาว่าเมื่อคืนท่านจับเป็นนักฆ่าหญิงมาได้หนึ่งคน…” มู่หรงฉือจงใจหยุดพูด แสดงท่าทางหวาดกลัวออกมา

“เปิ่นหวางได้สั่งให้คนทรมานนักฆ่าหญิงผู้นั้นอย่างหนัก เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะจับผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังนางได้” นัยน์ตาดำของมู่หรงอวี้ฉายแววเย็นเยียบ “เมื่อเปิ่นหวางจับคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังนางผู้นั้นได้ เปิ่นหวางจะให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติการถูกทรมานสิบแปดชนิด”

“เปิ่นกงเองก็หวังว่าท่านอ๋องจะรีบจับคนที่บงการอยู่เบื้องหลังออกมาได้โดยเร็ว”

“คนที่อยากจะสังหารเปิ่นหวางมากที่สุดผู้นั้น อยู่ไกลสุดขอบฟ้าอยู่ใกล้เพียงตรงหน้า”

“ท่านอ๋อง ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

เมื่อเจอสายตาอันโหดเหี้ยมของเขา จิตใจของนางก็สั่นไหว สีนัยน์ตาเข้มขึ้นมาหลายส่วน

ก่อนที่จะเริ่มลงมือ นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาคงจะคาดเดาได้หลายส่วน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

มู่หรงอวี้สมควรตาย คนผู้นี้จะฉลาดเกินไปแล้ว

มู่หรงอวี้ยกยิ้มร้ายกาจ “ความหมายของเปิ่นหวาง ต่อไปองค์รัชทายาทก็จะเข้าใจเอง ความจริงแล้วเปิ่นหวางเคยสงสัยมาก่อนว่าการลอบสังหารเมื่อคืน อาจเป็นคนใกล้ตัวที่เป็นผู้ลงมือ”

หัวใจของมู่หรงฉือกระตุก คลี่ยิ้มแห้ง “ท่านอ๋องนี่ก็ช่างล้อเล่นเสียจริง”

นัยน์ตาดำของเขายิบหยี “แต่ทว่า เปิ่นหวางเชื่อว่าเตี้ยนเซี่ยไม่มีความกล้านั้น”

นางลอบถอนหายใจ “ท่านอ๋องพูดถูกต้อง”

หลังจากมู่หรงอวี้กลับไปแล้ว นางก็สั่งหรูอี้ “เจ้าจงนำเสื้อคลุมสีดำที่เปิ่นกงเอากลับมาเมื่อคืนไปเผาทิ้งเสีย”

หรูอี้เห็นเค้าความดุดันฉาบอยู่บนใบหน้าขององค์รัชทายาทก็พูดอย่างจนใจ “เพคะ”

องค์รัชทายาทเก็บซ่อนความสามารถอยู่ในตำหนักบูรพามาห้าปี คิดไม่ถึงว่าการลงมือครั้งแรกจะล้มเหลว ทั้งยังมีผู้คนล้มตายมากมาย เช่นนี้จะไม่กริ้วได้อย่างไร?

ในยามนี้ องค์ฮ่องเต้เฉยชา ไม่สนใจบ้านเมือง ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนกุมอำนาจของราชสำนักทั้งหมดเอาไว้อย่างยโสจองหอง ขุนนางในราชสำนักส่วนมากคือผู้ที่จะทำอะไรก็ต้องดูสีหน้าคนอื่นเสียก่อน นอกจากคนประจบประแจงแล้วก็มีแต่พวกสอพลอ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือว่าประชาชน ล้วนไม่มีใครกล้าเอ่ยคำว่า “ไม่” กับท่านอ๋องผู้นี้ แม้แต่องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาผู้เป็นว่าที่ฮ่องเต้แห่งแคว้นนี้ในภายภาคหน้า ก็ไม่อาจพูดคำว่า “ไม่” กับเขาได้เช่นกัน แล้วเตี้ยนเซี่ยจะไม่อัดอั้น จะไม่ทรงกริ้วได้อย่างไร?

วันนี้ มู่หรงฉือนั่งเอื่อยเฉื่อยพิงอยู่ที่ตั่งคนงาม ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ จนกระทั่งอาทิตย์อัสดง ฉินรั่วก็เดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน สีหน้าหวาดหวั่น “เตี้ยนเซี่ย เกิดเรื่องแล้วเพคะ”

มู่หรงฉือกระเด้งตัวขึ้นมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“ตรอกหลิวเย่กับตรอกเถาฮวาทั้งสองที่ถูกทำลายแล้วเพคะ” ฉินรั่วพูดเสียงหนัก

“ว่าอย่างไรนะ?” มู่หรงฉือลุกยืนขึ้นทันที ในดวงตามีประกายไฟลุกโชน “เป็นมู่หรงอวี้หรือ?”

ฉินรั่วพยักหน้าหนักแน่น

มู่หรงฉือสะบัดแขนเสื้อขึ้นอย่างแรง “หรูอี้ มาช่วยเปิ่นกงเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”

ฉินรั่วพูดโน้มน้าว “เตี้ยนเซี่ย เหตุการณ์ไม่สงบเช่นนี้ จะทรงออกไปตอนนี้ไม่ได้นะเพคะ”

หรูอี้ส่งสายตาไปทางนาง ความหมายก็คือ เรื่องที่เตี้ยนเซี่ยตัดสินใจแล้ว ใครเล่าจะสามารถห้ามหรือเปลี่ยนใจได้?

ผ่านไปไม่นาน มู่หรงฉือก็แต่งกายเป็นสตรี สวมหน้ากากหนังเดินไปทางห้องตำรา ที่ห้องมีทางลับเชื่อมต่อกับด้านนอกตำหนัก ทุกครั้งที่นางออกนอกตำหนักก็มักจะอาศัยเส้นทางลับนี้เสมอ

เรือนที่ตรอกเถาฮวานั้นธรรมดามาก มองจากด้านนอกไม่มีทางพบว่าด้านในซุกซ่อนอะไรไว้ เช่นนั้นมีอยู่เพียงความเป็นไปได้เดียว ก็คือแม่นางนักฆ่าหมายเลขสามเป็นคนบอก

ภายในเรือนเละเทะ แน่ชัดว่าเคยเกิดการปะทะกันมาก่อน แต่ว่าศพได้ถูกจัดการออกไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงคราบเลือดที่เจิ่งนองอยู่เท่านั้น

สถานที่นี้เป็นผลลัพธ์การจัดการห้าปีของนาง เช่นเดียวกับเรือนที่ตรอกหลิวเย่ที่ใช้เพื่อการฝึกฝนนักฆ่าหญิง

นางคิดไม่ถึงว่าวางแผนพลาดไปเพียงครั้งเดียวจะทำให้ผู้คนมากมายต้องตาย

ทันใดนั้นน้ำตาพลันเอ่อขึ้นมาที่ขอบตา

นางกำหมัดแน่นจนเสียงกระดูกดังลั่น

มู่หรงอวี้!

มีเสียงอะไรบางอย่าง!

มู่หรงฉือกระโจนตัวขึ้นไปบนหลังคา ในตอนนี้เองนางพลันมองเห็นคนยืนอยู่บนกำแพงด้านล่าง

เสื้อคลุมสีดำพลิ้วไหวไปตามสายลมหนาวของเดือนสาม ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสนิทดั่งเหล็กกล้า

มู่หรงอวี้!

เขาไม่ขยับและสงบนิ่ง นางเองก็ไม่ขยับเช่นกัน

นางอดยอมรับไม่ได้ว่าเครื่องหน้าของเขาหล่อเหลา ครึ่งชีวิตที่อยู่ในสนามรบทำให้เขากลายเป็นคนโหดเหี้ยมดุดัน เป็นความดุดันร้ายกาจแบบทหารกล้าที่นางไม่อาจมีได้

มู่หรงอวี้จดจำใบหน้าของนางได้ นางก็คือสตรีหน้าตางดงามที่โรมรันพันตูกับเขาเมื่อคืน

ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา นางยิ่งดูงดงามกว่าเมื่อคืนเสียอีก

“แม่นาง โปรดแจ้งนามของเจ้าได้หรือไม่?”

พอคิดถึงเรื่องกัดกร่อนวิญญาณเมื่อคืน กล้ามเนื้อของเขาพลันอ่อนยวบ หัวใจพองโต

เขาหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเขาเองก็จะมีวันนี้

“เจ้าจงจำไว้เพียงอย่างเดียว สักวัน พวกเราจะเอาหัวเจ้ามาสังเวย” มู่หรงฉือแค่นสีหน้าราวยิ้มแต่ไม่ยิ้ม หัวใจเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ

“เป็นเกียรติของเปิ่นหวางอย่างยิ่ง” นัยน์ตาดำของมู่หรงอวี้ทอประกายดุจตาเหยี่ยว “เจ้าคือคนของแคว้นตงฉู่หรือ?”

“ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?” นางเข้าใจแล้ว นักฆ่าหมายเลขสามบอกสถานที่อย่างตรอกหลิวเย่กับตรอกเถาฮวาสองที่นี้ก่อน ต่อมาก็บอกว่าตัวเองเป็นคนของแคว้นตงฉู่ เขาคงจะเชื่อถึงได้มาที่นี่

“ทำไมแม่นางไม่ลองพิจารณามาเป็น…”

“หากเจ้ามอบศีรษะของตัวเองมา บางทีข้าอาจจะลองพิจารณาดูเสียหน่อย”

มู่หรงอวี้หัวเราะเสียงต่ำ “หากเจ้าตั้งครรภ์ลูกของเปิ่นหวาง เจ้าก็มาหาเปิ่นหวางที่จวนอวี้หวางได้”

มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็น “หากในร่างของข้ามีเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า เช่นนั้นเจ้าคงต้องลงไปหาลูกของเจ้าที่นรก”

เขาหัวเราะออกมา “เป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เปิ่นหวางยิ่งถูกใจขึ้นไปอีก”

นางกำลังจะกระโจนตัวออกไป จู่ๆ ก็เห็นเขาทะยานตัวเข้ามาหาราวกับลูกธนู จึงอดตกใจไม่ได้ ทั้งยังเจือไปด้วยความกรุ่นโกรธ นางจึงเพิ่มแรงการทะยานตัวขึ้นไปอีก

เพียงแต่นางประเมินเขาต่ำเกินไป เพียงไม่นานนางก็ถูกเขาไล่ตามทัน

มู่หรงอวี้จับไหล่ขวาของนางก่อนจะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นเขาก็พานางไปในถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง

“ปล่อยข้า!” เมื่อถูกเขาหยอกเย้ากลางถนนแบบนี้ มู่หรงฉือโกรธเสียจนแทบกระอักเลือด

“หากแม่นางไม่ทิ้งชื่อเอาไว้ วันนี้ก็ไปไหนไม่ได้” เขาจับคางของนาง แววตาของเขาฉายแววร้ายกาจและคมกริบดั่งกระบี่ “เมื่อคืนมองเห็นไม่ชัด วันนี้เปิ่นหวางขอมองดีๆ เสียหน่อยแล้วกัน”

นางยกขาขึ้นถีบที่ด้านล่างเอวของเขาอย่างแรง

ปฏิกิริยาของเขาว่องไวมาก เขาถอยหลบไปด้านหลัง หัวเราะเสียงต่ำอย่างชั่วร้าย “แม่นางไม่คิดถึงเรื่องราวอันงดงามที่ทำกับเปิ่นหวางหรือ? ขอแค่เจ้ากลับจวนกับเปิ่นหวาง…”

“คนลามก! หน้าไม่อาย!” มู่หรงฉือพ่นถ้อยคำด่าทอด้วยความอับอาย ถึงจะเคยเจอคนหน้าหนามาก่อน แต่กลับไม่เคยเห็นใครที่ไร้ยางอายเช่นเขา

‘ฟิ้ว ฟิ้ว!’

อาวุธสองชิ้นปรากฏขึ้นในอากาศพุ่งตรงไปยังมู่หรงอวี้ เขารีบเบี่ยงหลบทันที

ต่อมาเสียง ‘ปัง’ ก็ดังขึ้น ก่อนที่หมอกควันจะขยายอาณาเขตปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด

เขาพูดเสียงเบา “แย่แล้ว” ก่อนจะรีบทะยานตัวขึ้นไป ทว่าไร้เงาของแม่นางผู้นั้นเสียแล้ว

เขายกยิ้มเย็น เดิมทีแม่นางผู้นั้นยังมีเพื่อนร่วมสำนักด้วย

ใช้การทรมานเพียงไม่กี่วิธี นักฆ่าสาวผู้นั้นก็ยอมสารภาพ แต่คนที่ลงมือฆ่านั้นเป็นคนที่แคว้นตงฉู่ส่งมาจริงๆ หรือ?

หรือว่าเรื่องการลอบสังหารจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทจริงๆ

เป็นฉินรั่วที่มาช่วยมู่หรงฉือไว้ได้ทันการ

มู่หรงฉือเพิ่งจะกลับไปถึงตำหนักบูรพา หรูอี้ก็เข้าไปต้อนรับ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความร้อนรน “เตี้ยนเซี่ย นางกำนัลของตำหนักชิงหยวนมารายงาน ฮ่องเต้กระอักเลือด ทรงประชวรหนักเพคะ”

“อะไรนะ?” มู่หรงฉือตกใจมาก ในหัวขาวโพลนไปชั่วครู่ “เมื่อใดกัน?”

“มากราบทูลเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนเพคะ”

“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เปิ่นกงเร็วเข้า”

นางเข้าไปยังห้องบรรทม โดยมีหรูอี้เดินตามเข้ามา

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นายบ่าวก็รีบร้อนไปที่ตำหนักชิงหยวน

ตำหนักชิงหยวนเป็นตำหนักของโอรสสวรรค์ ซึ่งมีระยะห่างกับตำหนักบูรพาไม่น้อย

ตำหนักชิงหยวนในเวลานี้มีขันทีและนางกำนัลจำนวนมากคอยดูแลอยู่ด้านนอกตำหนัก หมอหลวงทั้งหกกำลังหารือกันอย่างเร่งด่วน เซียวกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานทางทิศเหนือ ดื่มชาด้วยท่าทีนิ่งสงบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางยังแสดงท่าทีร้อนใจออกมา

“องค์รัชทายาทเสด็จ”

นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกตำหนักชิงหยวนเอ่ยรายงาน

ทุกคนในตำหนักรวมถึงหมอหลวงทั้งหกต่างพากันโค้งคำนับ นางกำนัลคนสนิทของเซียวกุ้ยเฟยเข้ามาพยุงนาง ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไป ใบหน้ารูปไข่งดงามค่อยๆ มีความกังวลฉายอยู่

ประหารเซียวกุ้ยเฟย

มู่หรงฉือพูด “ไม่ต้องมากพิธี” นางเอ่ยให้พวกเขาลุกขึ้น ก่อนจะถามด้วยความร้อนใจ “ตอนนี้เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”

หมอหลวงเสิ่นคือหัวหน้าสำนักหมอหลวง มีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง เขาโค้งตัวตอบ “ฝ่าบาทหมดสติไปยังไม่ฟื้นเลยพ่ะย่ะค่ะ…”

“พวกเจ้าไม่ใช่หมอที่มีความสามารถที่สุดหรอกหรือ? เสด็จพ่อทรงประชวรด้วยโรคอะไร เหตุใดจึงยังไม่ฟื้น? พวกเจ้าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วจริงหรือ?”

นางต่อว่าหมอหลวงด้วยน้ำเสียงโกรธจัดเพียงเพราะเป็นกังวลมากเกินไป

หมอหลวงเสิ่นตกใจจนเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก เอ่ยตอบมู่หรงฉือ “เตี้ยนเซี่ยทรงอย่าร้อนใจ พวกกระหม่อมกำลังหารือกัน ที่ฮ่องเต้กระอักเลือดแล้วหมดสติไปในครั้งนี้เป็นเพราะว่าอวัยวะภายในอ่อนล้า หัวใจอ่อนแอ…”

ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของฮ่องเต้ได้ถูกยาอายุวัฒนะที่ว่ากันว่าทำให้มีอายุยืนยาวไม่แก่เฒ่ากัดกินจนกลวงไปแล้ว ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่ง จะสามารถรอดพ้นจากความตายนี้ได้หรือไม่คงต้องแล้วแต่ลิขิตสวรรค์

“ไร้ความสามารถ! ไม่ได้เรื่อง!”

มู่หรงฉือโกรธมากกว่ายามปกติ เสียงตวาดของนางดังราวกับสายฟ้าฟาด

หมอหลวงทั้งหกต่างพากันคุกเข่าก้มหน้า “พวกกระหม่อมไร้ความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวกุ้ยเฟยคอยมองอยู่ด้านข้าง ก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง “องค์รัชทายาทอย่าได้ทรงพิโรธไปเลย พวกเขาได้ทำการช่วยเหลือฝ่าบาทอย่างสุดความสามารถแล้วเพคะ”

มู่หรงฉือจ้องนางด้วยสายตาเย็นชา สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินเข้าไปในห้องบรรทม

เซียวกุ้ยเฟยไม่ได้เก็บการกระทำนั้นมาใส่ใจ นางยกยิ้มเย็น อย่างไรเสียองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาผู้นี้ก็เป็นบุคคลไร้ความสามารถที่แสนขี้ขลาด ไม่มีทางที่จะมาขัดขวางนางให้เสียเรื่องได้

หรูอี้ที่ติดตามเตี้ยนเซี่ยเดินมาตรงหน้าเตียง เห็นหยวนซุ่นข้าหลวงที่ดูแลข้างกายฮ่องเต้ยืนอยู่ จึงเข้าไปสะกิดเขาแล้วพูดคุยกันเสียงเบา

มู่หรงฉือมองพระบิดาที่นอนดวงหน้าขาวซีด ไร้สีสันของการมีชีวิตอยู่ หยดน้ำตาร้อนที่เอ่อคลออยู่พลันไหลออกมา

“เสด็จพ่อ…”

ความจริงแล้วในใจของนางก็รู้ดี ร่างกายของเสด็จพ่อย่ำแย่ลงทุกวัน สิ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะพวกนั้นทำให้ร่างกายของเสด็จพ่อว่างเปล่า แต่นางพูดโน้มน้าวไปก็ไม่มีประโยชน์ เสด็จพ่อไม่มีทางฟังนาง

ไม่รู้ว่าเซียวกุ้ยเฟยให้เสด็จพ่อดื่มยาเสน่ห์อะไร เหตุใดเสด็จพ่อจึงอยากมีอายุยืนยาวไม่แก่เฒ่า คอยตามหานักพรตที่หลอมยาอายุวัฒนะที่ทำให้อายุยืนได้ เมื่อสี่ปีก่อน ไม่รู้ว่าเซียวกุ้ยเฟยไปเสาะหานักพรตจากไหนมาให้เสด็จพ่อ ชายผู้นี้เรียกตนเองว่านักพรตเทียนเฟิง เขามาหลอมยาอายุวัฒนะให้เสด็จพ่ออยู่เป็นประจำ

ตั้งแต่ตอนนั้นเสด็จพ่อก็ลุ่มหลงอยู่กับยาอายุวัฒนะ วันทั้งวันเอาแต่ขลุกอยู่กับเซียวกุ้ยเฟย ฝันหวานว่าอายุของตนจะยืนยาวไม่แก่เฒ่า

เสด็จพ่อไม่สนใจราชสำนัก เลอะเลือนไร้ความสามารถ ทั้งยังลุ่มหลงในกามารมณ์ คำตำหนิมากมายถูกพูดต่อกันไปอย่างลับๆ ท่ามกลางเหล่าขุนนางในราชสำนัก หากไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนที่ควบคุมอำนาจทั้งหมด แคว้นต้าเยี่ยนคงจะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว

มู่หรงฉือไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร แต่ว่านางไม่มีทางปล่อยให้เสด็จพ่อเป็นเช่นนี้ต่อไปเป็นแน่

“องค์รัชทายาท ก่อนที่ฝ่าบาทจะกระอักเลือด ฝ่าบาทได้ทานยาอายุวัฒนะของนักพรตเทียนเฟิงลงไป บอกว่าเป็นกุยหยวนตัน” หยวนซุ่นกล่าวเสียงเบา

“ตอนนั้นเซียวกุ้ยเฟยก็อยู่ด้วยหรือ?” นางถามเสียงเย็น

“กุ้ยเฟยก็อยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ นักพรตเทียนเฟิงบอกว่า ขอแค่เสวยกุยหยวนตันเข้าไปก็จะมีกำลังวังชาดุจมังกรพยัคฆ์ แข็งแกร่งเหนือคนหนุ่มพ่ะย่ะค่ะ”

“หลังจากนั้นเล่า?”

“หลังจากฝ่าบาทเสวยกุยหยวนตันเข้าไป ก็อุ้มกุ้ยเฟยขึ้นเตียง… จากนั้นหนูฉายจึงถอยออกมาจากตำหนักใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” หยวนซุ่นก้มหน้าลงอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” แววตาของมู่หรงฉือทอประกายสังหาร

หรูอี้เห็นองค์รัชทายาทแผ่ไอสังหารออกมาก็รีบปลอบ “เตี้ยนเซี่ยอย่ากริ้วไปเลยเพคะ เราจะประมาทไม่ได้นะเพคะ”

มู่หรงฉือเดินออกไปด้านนอกด้วยความเร็วราวกับสายลม เมื่อมาถึงด้านนอกตำหนักใหญ่ก็ตวาดออกมา “องครักษ์อยู่ที่ใด?”

ตอนนั้นเอง กลุ่มองครักษ์ที่คอยเฝ้ารักษาการณ์อยู่ด้านนอกก็พากันพุ่งเข้ามา คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยถาม “องค์รัชทายาทต้องการรับสั่งสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“นักพรตเทียนเฟิงมีเจตนาชั่ว วางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ จิตใจชั่วช้าคิดแผนการร้าย ประหารเขาเสีย! เซียวกุ้ยเฟยใช้เสน่ห์ยั่วยวนทำให้เสด็จพ่อทอดทิ้งราชสำนัก พระองค์ทำลายกฎหมายของราชสำนักก็เพราะกุ้ยเฟยผู้นี้ ความผิดนี้ใหญ่หลวงนัก ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ประหารนางเสีย!”

เสียงดังฟังชัดขององค์รัชทายาททำให้ใบหน้าหล่อเหลาราวถูกฉาบไว้ด้วยความมืดครึ้มอึมครึม

ทุกคนต่างตกใจจนหน้าถอดสี องค์รัชทายาทที่แสนขี้ขลาดมาตั้งแต่เยาว์วัย ตอนนี้กลับแสดงอำนาจออกมาแล้ว

ในกลุ่มองครักษ์ของตำหนักชิงหยวน มู่หรงฉือได้ส่งคนของตัวเองเข้ามาด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านี้จึงฟังคำสั่งของนาง

องครักษ์ครึ่งหนึ่งรับคำสั่งแล้วไปจับกุมนักพรตเทียนเฟิงมา อีกครึ่งหนึ่งก็เข้าไปยังตำหนักใหญ่จับกุมเซียวกุ้ยเฟย

เซียวกุ้ยเฟยในคราแรกยังตื่นตระหนก แต่เพียงไม่นานนางก็สงบลง แล้วเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ “องค์รัชทายาทมีสิทธิ์อะไรมาสั่งประหารเปิ่นกง?”

“ก็ใช้สิทธิ์ที่เปิ่นกงเป็นองค์รัชทายาทอย่างไรเล่า” มู่หรงฉือหมุนตัวกลับมา ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึง

“เปิ่นกงยังเป็นกุ้ยเฟยอยู่” เซียวกุ้ยเฟยยกริมฝีปากแย้มยิ้มเย็น แอบครุ่นคิดว่า วันนี้องค์รัชทายาทผู้นี้ไม่เหมือนแต่ก่อนเลยจริงๆ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“เอาตัวนางไป!” มู่หรงฉือออกคำสั่งเสียงเข้ม สตรีผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมชั่วร้าย ไม่อาจเก็บนางเอาไว้

“หยุดเดี๋ยวนี้! หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องตัวเปิ่นกงเพียงปลายเส้นผม รอฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาแล้ว เปิ่นกงจะทำให้หัวของพวกเจ้าไม่เหลืออยู่ที่บ่า!”

เซียวกุ้ยเฟยตวาดออกมาด้วยท่าทีดุดัน ทำให้บรรยากาศรอบข้างเครียดขึง

องครักษ์เหล่านั้นไม่กล้าเดินขึ้นไปด้านหน้า มองหน้ากันไปมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

หลายปีมานี้ ในบรรดาเฟยผิน คนที่ฝ่าบาทโปรดปรานเพียงคนเดียวก็คือเซียวกุ้ยเฟย ถึงแม้วังหลังจะไม่มีฮองเฮา แต่นางก็คือฮองเฮาที่คอยดูแลวังหลัง กุมชีวิตของเฟยผินทุกคน คอยปรนนิบัติฝ่าบาทให้เกษมสำราญ ฝ่าบาทเองก็ทรงปกป้องนาง คอยตามใจและเอาอกเอาใจนาง ไม่เคยให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด หลายครั้งคำสั่งของนางก็คือคำสั่งของฝ่าบาท ปากของนางก็คือพระโอษฐ์ของฮ่องเต้

ใบหน้าเล็กของมู่หรงฉือโกรธจนเริ่มดำ “เอาตัวนางไป!”

เซียวกุ้ยเฟยหัวเราะเสียงเย็น “ในวังนี้ใครๆ ก็รู้ว่าฝ่าบาทไม่โปรดองค์รัชทายาท พระองค์อ่อนแอไร้ความสามารถ ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่อาจรับผิดชอบตำหนักบูรพาได้ ช้าเร็วอย่างไรฝ่าบาทย่อมต้องจัดการพระองค์”

ทุกคนตรงนั้นต่างตกตะลึงจนตัวชา เซียวกุ้ยเฟยกล้าหาญชาญชัยเกินไปแล้วหรือไม่ ถึงกับกล้าพูดประโยคที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินออกมาเช่นนี้

เซียวกุ้ยเฟยผู้นี้เองก็กล้าจัดกับการองค์รัชทายาทงั้นหรือ?

จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินแล้วอย่างนั้นหรือ?

แต่ว่า หลายปีมานี้ความสัมพันธ์ของฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทย่ำแย่มาโดยตลอด สองพ่อลูกทะเลาะกันหลายครั้ง คนในวังต่างก็เคยได้เห็นได้ยิน การที่ฝ่าบาทจะจัดการกับองค์รัชทายาทก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

หรูอี้เองก็โกรธจัด รู้สึกน้อยใจแทนองค์รัชทายาท

แต่มู่หรงฉือกลับไม่โกรธ ทั้งยังพูดด้วยท่าทางเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “หากเซียวกุ้ยเฟยคลอดโอรสสักคนก็คงจะดี จะได้หลอกล่อให้เสด็จพ่อมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้กับบุตรชายของเจ้า แต่น่าเสียดายนัก เพราะดูเหมือนท้องของเจ้าจะไม่ได้เรื่องสักเท่าไร”

เซียวกุ้ยเฟยอายุมากกว่านางเจ็ดปี ฝีมือและความคิดของนางย่อมจัดการไม่ได้ง่ายๆ

เซียวกุ้ยเฟยตอกกลับ “หากเปิ่นกงได้เรื่องขึ้นมา องค์รัชทายาทก็คงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วกระมัง”

เสียง ‘ชิ้ง’ ดังขึ้น เป็นเสียงของกระบี่แหลมถูกชักออกจากฝัก

มู่หรงฉือชักกระบี่ออกมาจากเอวทันที แล้วตวัดปลายแหลมไปยังหน้าผากของเซียวกุ้ยเฟย

คนที่ถูกกระบี่จ่อหน้าผากถึงกับตกใจตาค้าง ราวกับไม่กล้าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกระทำเช่นนี้จริงๆ นางกรีดร้องเสียงแหลมออกมา “กรี๊ด…”

ตอนที่ปลายกระบี่ห่างจากหน้าผากของนางเพียงแค่คืบ พลันมีมีดเล็กเล่มหนึ่งที่ไม่รู้บินมาจากไหนโจมตีเข้าที่ปลายกระบี่ของมู่หรงฉือ

เสียงดังเคร้ง ทำให้ปลายกระบี่สั่นไหว

มีดเล่มนั้นแฝงไว้ด้วยกำลังภายในอันแข็งแกร่งจนมู่หรงฉือไม่อาจจับกระบี่ยาวเอาไว้ ได้แต่ปล่อยให้มันร่วงหล่นลงพื้น

วินาทีแห่งความเป็นความตาย อันตรายเหลือเกิน

เมื่อเก็บชีวิตน้อยๆ ของตนกลับมาได้ เซียวกุ้ยเฟยถึงกับหอบหายใจอย่างแรง ดวงหน้างามเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

มู่หรงฉือถลึงตามองด้วยความโมโห ผู้ที่กล้ามาขวางนางสังหารคน อีกทั้งยังสามารถทำได้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

เป็นอย่างที่นางคิดจริงๆ เป็นเขา!

มู่หรงอวี้เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยด้วยท่าทีนิ่งสงบแต่ทรงอำนาจ

“ถวายบังคมท่านอ๋อง”

ข้าราชบริพารทั้งหมดและองครักษ์พากันคุกเข่าลง หมอหลวงทั้งหกโค้งตัวคำนับ แสดงความเคารพแก่มู่หรงอวี้

ที่วังหลวง ในราชสำนักทั้งนอกใน ณ ตอนนี้ไม่มีใครกล้าไม่ให้ความเคารพแก่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน

สีหน้าของมู่หรงฉือห่อเหี่ยว นางพยายามอย่างมากที่จะสะกดกลั้นความเกลียดชังที่ปะทุขึ้นมาให้กลับลงไป

เซียวกุ้ยเฟยมองบุรุษแสนองอาจผู้นั้นด้วยสายตาหลงใหล

มู่หรงอวี้โบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นยืน จากนั้นถามหมอหลวงเสิ่นเสียงต่ำ “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ฝ่าบาทยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเสิ่นเหงื่อแตกพลั่ก ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อด้วยความหวั่นวิตก

“ชายชราผู้นี้คือหมอเทวดาเสวี่ย” มู่หรงอวี้แนะนำชายชราที่อยู่ด้านหลังอย่างให้เกียรติ “ลำบากหมอเทวดาเสวี่ยแล้ว”

มู่หรงฉือดีใจ ชายชราท่านนี้ก็คือหมอเทวดาเสวี่ยผู้เป็นหมอที่เก่งกาจที่สุดในตอนนี้น่ะหรือ?

ข่าวลือบอกว่า ไม่มีใครที่หมอเทวดาเสวี่ยช่วยชีวิตไว้ไม่ได้ เว้นแต่คนที่เขาไม่อยากช่วย

ข่าวลือบอกว่า หากเขาไม่อยากรักษาใคร ถึงจะฆ่าเขาให้ตายเขาก็ไม่รักษาให้

ข่าวลือบอกว่า ทุกปีเขาจะรักษาคนแค่สามคนเท่านั้น อีกทั้งล้วนเป็นคนที่ป่วยหนักใกล้ตายทั้งสิ้น

“หมอเทวดาเสวี่ย โปรดช่วยเสด็จพ่อของเปิ่นกงด้วย” หัวใจของนางเริ่มมีประกายแห่งความหวังขึ้นมา

“เชิญพวกท่านรอด้านนอก กระหม่อมจะเข้าไปดูอาการของฮ่องเต้” หมอเทวดาเสวี่ยเดินช้าๆ เข้าไปในตำหนัก

เซียวกุ้ยเฟยมองไปทางมู่หรงอวี้ด้วยสายตาหลงใหล อ่อนโยนจนแทบจะมีน้ำหยดลงมา

มู่หรงฉือเห็นภาพนี้แล้วก็ครุ่นคิด ดูเหมือนว่าข่าวลือจะไม่ผิด มู่หรงอวี้กับเซียวกุ้ยเฟยแอบมีความสัมพันธ์กันจริงๆ

หาไม่แล้ว เขาก็คงไม่มีทางมาช่วยชีวิตเซียวกุ้ยเฟยเป็นแน่

“ท่านอ๋อง องค์รัชทายาทจะสังหารเปิ่นกงเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยพูดเสียงน้อยอกน้อยใจ ออดอ้อนเสียจนมู่หรงฉือขนลุกขนชัน

นางกลอกตาอย่างหมดคำจะพูด นี่ เสด็จพ่อยังไม่ตาย เจ้าก็มายั่วยวนบุรุษอื่นแล้วงั้นหรือ?

“องค์รัชทายาท เหตุใดเจ้าถึงจะฆ่าเซียวกุ้ยเฟย?” มู่หรงอวี้ถามเสียงเรียบ

“เสด็จพ่อกระอักเลือดจนหมดสติไป เป็นเพราะนางกับนักพรตเทียนเฟิง” นางเล่าเรื่องก่อนที่เสด็จพ่อจะหมดสติไปอย่างง่ายๆ ให้เขาฟังรอบหนึ่ง “เซียวกุ้ยเฟยกับนักพรตเทียนเฟิงร่วมมือกัน วางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ เจตนาที่วางแผนชั่วร้ายของพวกเขาปรากฏชัดเจน กระทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ยังไม่สมควรตายอีกหรือ?”

“ท่านอ๋อง เปิ่นกงจะไปวางแผนลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทได้อย่างไร? ฝ่าบาทเป็นพระสวามีของเปิ่นกง เปิ่นกงถูกใส่ร้ายเพคะ” เซียวกุ้ยเฟยพูดเสียงอ่อน ทำกิริยาใสซื่อน่าสงสารดั่งผู้ถูกกระทำ “แต่ก่อนฮ่องเต้ก็ทรงเสวยยาอายุวัฒนะเช่นกัน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันนี้ฝ่าบาทกระอักเลือดหมดสติไป ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไรเช่นกัน เปิ่นกงกังวลใจแทบแย่เลยนะเพคะ”

“องค์รัชทายาท เรื่องนี้คงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเซียวกุ้ยเฟยอย่างที่เจ้าเข้าใจ” มู่หรงอวี้เอ่ยเสียงเรียบ

มู่หรงฉือโกรธจนแทบกระอักเลือก แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย

หากเขายืนกรานจะปกป้องคนผู้หนึ่งแล้ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ลงมือสังหารคนผู้นั้นไม่ได้

ในตอนนั้นเองที่องครักษ์จับตัวนักพรตเทียนเฟิงมา เมื่อเห็นเซียวกุ้ยเฟย ลูกตาของนักพรตเทียนเฟิงพลันกลอกไปมาก่อนจะเอ่ยวิงวอน “กุ้ยเฟย พระองค์จะต้องช่วยกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะวางแผนลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ได้อย่างไร? กระหม่อมซื่อสัตย์ต่อฝ่าบาทมาโดยตลอด มีใจเพียงจะหลอมยาอายุวัฒนะให้ฝ่าบาทเท่านั้น…”

“ยาอายุวัฒนะที่เจ้าหลอมมาทำให้ฝ่าบาทกระอักเลือดจนหมดสติไป ยังจะกล้าแก้ตัวอีกหรือ?” เพื่อแสดงตัวว่าตนไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเขา เซียวกุ้ยเฟยจึงต่อว่าเขา “เจ้าเติมสิ่งใดลงไปในยาอายุวัฒนะให้ฝ่าบาทเสวย?”

“ไม่ได้เติมอะไรที่ผิดแปลกเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมใส่ส่วนผสมตามปกติพ่ะย่ะค่ะ” เขารู้ว่าเขากลายเป็นแพะรับบาปแล้ว และรู้ว่านางไม่มีทางสนใจความเป็นความตายของตนเป็นแน่ จึงคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนให้ไว้ชีวิต “ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตผู้น้อยด้วย องค์รัชทายาทไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย กระหม่อมไม่ได้ลอบปลงพระชนม์จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”

แน่นอน เขารู้ว่าช้าเร็วอย่างไรฝ่าบาทก็จะต้องกระอักเลือด เพราะว่าเขาค่อยๆ ปรุงยาอายุวัฒนะเพื่อกัดกร่อนร่างกายของฝ่าบาท เดิมทีเขาวางแผนออกจากวังตั้งแต่เมื่อวาน อย่างไรเสียก็ได้เงินทองมามากพอแล้ว แต่เขาคิดว่าวันนี้จะเข้ามาถวายยาอายุวัฒนะเม็ดสุดท้ายให้ฝ่าบาท นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน อยากจะหนีก็หนีไม่พ้นเสียแล้ว

นัยน์ตาของเซียวกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความโศกเศร้า หากแต่แท้จริงแล้วนางไม่ได้สนใจผู้ใดเลย

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...