“อเบอร์ดีน” ชี้ “Stagflation” ทำ “หุ้นสหรัฐ” หมอง-ผลตอบแทนไม่น่าสนใจ... ชู 2 ธีม “Income-Quality” ปั้นผลตอบแทน ส่วน “หุ้นไทย” ปีนี้ให้เป้า 1,300 จุด !!!
สาระ Fund วันละนิด: ไม่มีตลาดหุ้นไหนที่จะให้ผลตอบแทนดีได้ทุกปี “ตลาดหุ้นสหรัฐ” ก็เช่นกัน ในช่วงที่ผ่านมา “หุ้นสหรัฐ” เป็นตลาดที่ Outperform ตลาดอื่นๆ และทำให้มีเงินลงทุนไหลเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก
แต่ปัจจุบัน “หุ้นสหรัฐ” เองไม่น่าสนใจเท่าในอดีตแล้ว ปัจจุบันดัชนี “S&P500” ซื้อขายที่ Forward 12m P/E ที่ 22.70 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 19.15 เท่า และยัง “แพง” กว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยเปรียบเทียบอีกด้วย (ที่มา: Bloomberg, วันที่ 19 พ.ค. 25)
ผลกระทบจากนโยบาย “ภาษี Trump” และบริบทของเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับ “Stagflation” ที่เศรษฐกิจโตช้า ในขณะที่เงินเฟ้อยังสูง จะทำให้ “หุ้นสหรัฐ” ไม่ Perform เช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป ที่สำคัญตลาดส่วนใหญ่ถูกกำหนดด้วย “หุ้น 7 นางฟ้า” อีกด้วย
นั่นทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า…นักลงทุน ยังควรให้น้ำหนักหุ้นสหรัฐในพอร์ตมากเช่นในอดีตอีกหรือ?
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ มีมุมมองที่น่าสนใจจาก “บลจ.อเบอร์ดีน” มาอัปเดตให้ฟังกัน
สถิติฟ้อง “หุ้นสหรัฐ” ช่วง “Stagflation” ผลตอบแทนไม่ดี…แนะ 2 วิธีคว้าโอกาสเพิ่มผลตอบแทน 1) คัดหุ้นสหรัฐที่ผลตอบแทนชนะตลาด 2) ออกไปลงทุน “หุ้นตลาดเกิดใหม่”
โดย “Blair Couper” Investment Director, Developed Market Equities, Aberdeen บอกว่า ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. ที่ประกาศ “Liberation Day” ของสหรัฐนั้น ความไม่แน่นอนของมาตรการ “ภาษี Trump” กดดันการลงทุนในตลาดหุ้น และยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะมีความชัดเจนสุดท้ายอย่างไรในอีก 3 เดือนข้างหน้าจนกว่าจะมีบทสรุปที่ชัดเจนออกมา ประกอบกับมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดภาวะ“Stagflation” ขึ้น คือเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือความคาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐจะลดลง
ปัจจุบัน “หุ้นสหรัฐ” (S&P500) มูลค่าก็สูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในโลก และยังมีน้ำหนักส่วนใหญ่กระจุกตัวใน “หุ้น 7 นางฟ้า” (Magnificent 7) อีกด้วย ซึ่งมองไปข้างหน้าประมาณการณ์กำไรของกลุ่ม “หุ้น 7 นางฟ้า” มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่หุ้นที่เหลืออีก 493 ตัวนั้น มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกัน ทำไมยังจะต้องลงทุนหุ้นสหรัฐเป็นสัดส่วนที่มากในพอร์ต ทั้งที่ส่วนใหญ่นั้นก็เป็น “หุ้น 7 นางฟ้า” อีกด้วย
“ปัจจุบัน ‘หุ้นสหรัฐ’ แพงกว่าตลาดอื่นโดยเปรียบเทียบ และเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะ ‘Stagflation’ ซึ่งในอดีต (ปี1970 – 1980) ดัชนี ‘S&P500’ จะให้ผลตอบแทนไม่ดี แต่มี 2 วิธีสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ 1) เลือกหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีชนะตลาด 2) ออกไปลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่”
ทั้งนี้แนวทางการลงทุนของ “กองทุนหุ้นทั่วโลก” ที่บริษัทดูแลอยู่มีการปรับลดน้ำหนัก “หุ้นสหรัฐ” ลงต่ำกว่าดัชนี MSCI World ประมาณ 15 – 16% พร้อมกับมีการกระจายการลงทุนไปในภูมิภาคและประเทศที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน-การคลังของตัวเอง เช่น หุ้นยุโรป, จีน และอินเดีย
“ส่วนหุ้นสหรัฐก็ยังลงทุนได้ แต่เน้นการคัดเลือกหุ้นคุณภาพดีรายตัว ในมูลค่าและราคาที่เหมาะสมที่สามารถจะเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจจะเป็น “หุ้นสหรัฐขนาดกลาง-เล็ก”
ในส่วนของธีมการลงทุนระยะยาวที่เป็น “Megatrend” ของโลก ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็น่าสนใจลงทุนเช่นเดียวกัน โดยจะมีธีมหลัก ได้แก่ “Transformation Technology”, “Health, Wealth & Demographics” และ “Energy Evolution” ซึ่งจะมีธีมย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมากก็น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวเช่นเดียวกัน
ชู 2 ธีมหุ้น “Income – Quality” ฝ่ามรสุม “Trade War”…ส่วนกลยุทธ์ “ตราสารหนี้” เน้นคุณภาพ “Investment Grade” ไม่เล่นกับ “Duration”
ด้าน “พงค์ธาริน ทรัพยานนท์” Head of Fixed Income and Asset Allocation, Aberdeen บอกว่า สภาพตลาดตอนนี้ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและยังยากที่จะประเมินมูลค่าสินทรัพย์ต่างๆ ชัดๆ ได้ เพราะเรื่องของ “ภาษี Trump” ยังไม่มีความชัดเจนออกมา ซึ่งต้องรอจนกว่าจะมีความชัดเจนตรงนั้นตลาดก็จะมีการประเมินทิศทางกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามภายใต้ความไม่แน่นอนที่มีอยู่ บริบทของทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐที่อาจจะไม่ได้ลงมากอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าและอาจจะมีการลงที่ค่อนข้างจำกัดเช่นนี้ แต่ดอกเบี้ยก็ยังทรงตัวในระดับสูง
“ดอกเบี้ยสหรัฐยังทรงตัวสูงและโอกาสปรับลงค่อนข้างจำกัด ธีม (Theme) ที่จะขับเคลื่อนผลตอบแทนที่ดีได้ในช่วง 3 – 6 เดือนข้างหน้า สำหรับ ‘หุ้น’ คือ 1) Income เน้นเรื่องปันผลและการเก็บเกี่ยวปันผล 2) Quality เน้นหุ้นที่มีคณภาพ ส่วน ‘ตราสารหนี้’ก็เน้นคุณภาพ ‘Investment Grade’ เป็นหลัก”
ดอกเบี้ยที่ลงได้ค่อนข้างจำกัด กลยุทธ์ในการสร้างผลตอบแทนจึงเน้นในเรื่อง “คุณภาพเครดิต” เป็นหลัก โฟกัสไปที่ที่ “Investment Grade” ซึ่งยังคงให้ผลตอบแทนที่สูง โดยไม่จำเป็นต้องไปเล่นกับ Credit ที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น ในส่วนของกลยุทธ์ด้าน “อายุตราสารหนี้” นั้นเรา “Neutral” ให้น้ำหนักเท่าตลาดและไม่ไปเล่นในเรื่องของ Duration ในภาวะตลาดเช่นนี้ สำหรับนักลงทุนทั่วไปวางอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ระยะ 1 – 4 ปี ถือว่าโอเค ไม่จำเป็นต้องขยายอายุตราสารหนี้ยาวเกินไปแต่ประการใด
“ภาษี Trump” กระทบศก.ไทย หั่นเป้าปีนี้เหลือ 1.5 – 2.0%…ส่วน “หุ้นไทย” ให้เป้า 1,300 จุด ชี้ “จังหวะลงทุน” สำหรับระยะยาว
ปิดท้ายกันด้วย “ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย” Head of Equities - Thailand, Aberdeen ที่ยอมรับว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างมากทั้งจาก “ภาษี Trump” รวมถึงปัจจัยภายในประเทศเองด้วย เพราะ 3 เสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้รับผลกระทบหมด ทั้ง การส่งออก, การลงทุน และท่องเที่ยว โดยเฉพาะตัวเลขที่ลดลงทั้งจากนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปและผลกระทบจากแผ่นดินไหวด้วย อย่างไรก็ตามยังมีเสาที่4 มาช่วยไว้ คือ นโยบายการเงิน-การคลัง โดยคาดว่าดอกเบี้ยจะลงได้อีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มาอยู่ที่ระดับ 1.5% ซึ่งยังมีรูมให้ลดลงได้อีกหากจำเป็นเพราะดอกเบี้ยในช่วงวิกฤติ COVID-19 ต่ำกว่านี้
ด้านนโยบายการคลังก็มีการปรับโยกเงินดิจิทัลเฟซ3 ไปใช้จ่ายดูแลเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ “ภาษี Trump” รวมถึงยังจะมีมาตรการอื่นๆ ตามมาก็จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง สุดท้ายคงต้องดูว่าภาษีสุดท้ายของไทยที่เจอจะเป็นเท่าไร และเทียบกับเพื่อนบ้านแล้วเป็นยังไงด้วย
“ปีนี้เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะโต 1.5 – 2.0% (เดิม 2.7%) โดย 3 เสาขับเคลื่อนเศรษฐกิจถูกกระทบทั้งส่งออก, การลงทุน และท่องเที่ยว แต่ยังมีเสาที่4 นโยบายการเงิน-การคลังเป็นตัวช่วย ส่วน ‘หุ้นไทย’ base case 1,300 จุด, Bull case1,400 จุดและ Bear case 900 – 1,000 จุดซึ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้วก็ถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าลงทุนได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มกองทุน ‘Thai ESGX’ ซึ่งมีระยะเวลาลงทุน 5 ปี ข้างหน้า”
สำหรับธีมการลงทุนใน “หุ้นไทย” ขณะนี้บริษัทให้ความสำคัญในการคัดเลือกการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง มีฐานเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงการจ่ายเงินปันผลสูงอย่างสม่ำเสมอ โดยหุ้นกลุ่มที่มีความน่าสนใจประกอบด้วย ธนาคาร, โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด, สื่อสาร และกลุ่มโรงพยาบาล-ธุรกิจสุขภาพ ส่วน “หุ้นขนาดขนาดเล็ก” เน้นหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ กับเฮลแคร์
สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่าจะปรับพอร์ตรับมือมรสุม “Trade War” ที่ทำตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนยังไง เชื่อว่ามุมมองจาก “บลจ.อเบอร์ดีน” น่าจะช่วยไขรหัสการลงทุนให้ได้ไม่มากก็น้อย เรียกว่า ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสการลงทุนอยู่เสมอ แค่มองหาให้เจอและพาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมให้ได้เท่านั้นเอง