โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

“อเบอร์ดีน” ชี้ “Stagflation” ทำ “หุ้นสหรัฐ” หมอง-ผลตอบแทนไม่น่าสนใจ... ชู 2 ธีม “Income-Quality” ปั้นผลตอบแทน ส่วน “หุ้นไทย” ปีนี้ให้เป้า 1,300 จุด !!!

Wealthy Thai

อัพเดต 16 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 21 พ.ค. เวลา 09.41 น. • สรวิศ อิ่มบำรุง

สาระ Fund วันละนิด: ไม่มีตลาดหุ้นไหนที่จะให้ผลตอบแทนดีได้ทุกปี “ตลาดหุ้นสหรัฐ” ก็เช่นกัน ในช่วงที่ผ่านมา “หุ้นสหรัฐ” เป็นตลาดที่ Outperform ตลาดอื่นๆ และทำให้มีเงินลงทุนไหลเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก
แต่ปัจจุบัน “หุ้นสหรัฐ” เองไม่น่าสนใจเท่าในอดีตแล้ว ปัจจุบันดัชนี S&P500” ซื้อขายที่ Forward 12m P/E ที่ 22.70 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 19.15 เท่า และยัง “แพง” กว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยเปรียบเทียบอีกด้วย (ที่มา: Bloomberg, วันที่ 19 พ.ค. 25)
ผลกระทบจากนโยบาย “ภาษี Trump” และบริบทของเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับ Stagflation” ที่เศรษฐกิจโตช้า ในขณะที่เงินเฟ้อยังสูง จะทำให้ “หุ้นสหรัฐ” ไม่ Perform เช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป ที่สำคัญตลาดส่วนใหญ่ถูกกำหนดด้วย “หุ้น 7 นางฟ้า” อีกด้วย
นั่นทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า…นักลงทุน ยังควรให้น้ำหนักหุ้นสหรัฐในพอร์ตมากเช่นในอดีตอีกหรือ?
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ มีมุมมองที่น่าสนใจจาก “บลจ.อเบอร์ดีน” มาอัปเดตให้ฟังกัน

สถิติฟ้อง “หุ้นสหรัฐ” ช่วง “Stagflation” ผลตอบแทนไม่ดี…แนะ 2 วิธีคว้าโอกาสเพิ่มผลตอบแทน 1) คัดหุ้นสหรัฐที่ผลตอบแทนชนะตลาด 2) ออกไปลงทุน “หุ้นตลาดเกิดใหม่”

โดย Blair Couper” Investment Director, Developed Market Equities, Aberdeen บอกว่า ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. ที่ประกาศ Liberation Day” ของสหรัฐนั้น ความไม่แน่นอนของมาตรการ “ภาษี Trump” กดดันการลงทุนในตลาดหุ้น และยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะมีความชัดเจนสุดท้ายอย่างไรในอีก 3 เดือนข้างหน้าจนกว่าจะมีบทสรุปที่ชัดเจนออกมา ประกอบกับมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดภาวะStagflation” ขึ้น คือเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือความคาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐจะลดลง
ปัจจุบัน “หุ้นสหรัฐ” (S&P500) มูลค่าก็สูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในโลก และยังมีน้ำหนักส่วนใหญ่กระจุกตัวใน “หุ้น 7 นางฟ้า” (Magnificent 7) อีกด้วย ซึ่งมองไปข้างหน้าประมาณการณ์กำไรของกลุ่ม “หุ้น 7 นางฟ้า” มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่หุ้นที่เหลืออีก 493 ตัวนั้น มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกัน ทำไมยังจะต้องลงทุนหุ้นสหรัฐเป็นสัดส่วนที่มากในพอร์ต ทั้งที่ส่วนใหญ่นั้นก็เป็น “หุ้น 7 นางฟ้า” อีกด้วย

“ปัจจุบัน ‘หุ้นสหรัฐ’ แพงกว่าตลาดอื่นโดยเปรียบเทียบ และเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะ ‘Stagflation’ ซึ่งในอดีต (ปี1970 – 1980) ดัชนี ‘S&P500’ จะให้ผลตอบแทนไม่ดี แต่มี 2 วิธีสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ 1) เลือกหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีชนะตลาด 2) ออกไปลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่”
ทั้งนี้แนวทางการลงทุนของ “กองทุนหุ้นทั่วโลก” ที่บริษัทดูแลอยู่มีการปรับลดน้ำหนัก “หุ้นสหรัฐ” ลงต่ำกว่าดัชนี MSCI World ประมาณ 15 – 16% พร้อมกับมีการกระจายการลงทุนไปในภูมิภาคและประเทศที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน-การคลังของตัวเอง เช่น หุ้นยุโรป, จีน และอินเดีย
“ส่วนหุ้นสหรัฐก็ยังลงทุนได้ แต่เน้นการคัดเลือกหุ้นคุณภาพดีรายตัว ในมูลค่าและราคาที่เหมาะสมที่สามารถจะเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจจะเป็น “หุ้นสหรัฐขนาดกลาง-เล็ก”
ในส่วนของธีมการลงทุนระยะยาวที่เป็น Megatrend” ของโลก ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็น่าสนใจลงทุนเช่นเดียวกัน โดยจะมีธีมหลัก ได้แก่ Transformation Technology”, “Health, Wealth & Demographics” และ Energy Evolution” ซึ่งจะมีธีมย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมากก็น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวเช่นเดียวกัน

ชู 2 ธีมหุ้น “Income – Quality” ฝ่ามรสุม “Trade War”…ส่วนกลยุทธ์ “ตราสารหนี้” เน้นคุณภาพ “Investment Grade” ไม่เล่นกับ “Duration”

ด้าน “พงค์ธาริน ทรัพยานนท์” Head of Fixed Income and Asset Allocation, Aberdeen บอกว่า สภาพตลาดตอนนี้ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและยังยากที่จะประเมินมูลค่าสินทรัพย์ต่างๆ ชัดๆ ได้ เพราะเรื่องของ “ภาษี Trump” ยังไม่มีความชัดเจนออกมา ซึ่งต้องรอจนกว่าจะมีความชัดเจนตรงนั้นตลาดก็จะมีการประเมินทิศทางกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามภายใต้ความไม่แน่นอนที่มีอยู่ บริบทของทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐที่อาจจะไม่ได้ลงมากอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าและอาจจะมีการลงที่ค่อนข้างจำกัดเช่นนี้ แต่ดอกเบี้ยก็ยังทรงตัวในระดับสูง
“ดอกเบี้ยสหรัฐยังทรงตัวสูงและโอกาสปรับลงค่อนข้างจำกัด ธีม (Theme) ที่จะขับเคลื่อนผลตอบแทนที่ดีได้ในช่วง 3 – 6 เดือนข้างหน้า สำหรับ ‘หุ้น’ คือ 1) Income เน้นเรื่องปันผลและการเก็บเกี่ยวปันผล 2) Quality เน้นหุ้นที่มีคณภาพ ส่วน ‘ตราสารหนี้’ก็เน้นคุณภาพ ‘Investment Grade’ เป็นหลัก”
ดอกเบี้ยที่ลงได้ค่อนข้างจำกัด กลยุทธ์ในการสร้างผลตอบแทนจึงเน้นในเรื่อง “คุณภาพเครดิต” เป็นหลัก โฟกัสไปที่ที่ Investment Grade” ซึ่งยังคงให้ผลตอบแทนที่สูง โดยไม่จำเป็นต้องไปเล่นกับ Credit ที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น ในส่วนของกลยุทธ์ด้าน “อายุตราสารหนี้” นั้นเรา Neutral” ให้น้ำหนักเท่าตลาดและไม่ไปเล่นในเรื่องของ Duration ในภาวะตลาดเช่นนี้ สำหรับนักลงทุนทั่วไปวางอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ระยะ 1 – 4 ปี ถือว่าโอเค ไม่จำเป็นต้องขยายอายุตราสารหนี้ยาวเกินไปแต่ประการใด

“ภาษี Trump” กระทบศก.ไทย หั่นเป้าปีนี้เหลือ 1.5 – 2.0%…ส่วน “หุ้นไทย” ให้เป้า 1,300 จุด ชี้ “จังหวะลงทุน” สำหรับระยะยาว

ปิดท้ายกันด้วย “ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย” Head of Equities - Thailand, Aberdeen ที่ยอมรับว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างมากทั้งจาก “ภาษี Trump” รวมถึงปัจจัยภายในประเทศเองด้วย เพราะ 3 เสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้รับผลกระทบหมด ทั้ง การส่งออก, การลงทุน และท่องเที่ยว โดยเฉพาะตัวเลขที่ลดลงทั้งจากนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปและผลกระทบจากแผ่นดินไหวด้วย อย่างไรก็ตามยังมีเสาที่4 มาช่วยไว้ คือ นโยบายการเงิน-การคลัง โดยคาดว่าดอกเบี้ยจะลงได้อีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มาอยู่ที่ระดับ 1.5% ซึ่งยังมีรูมให้ลดลงได้อีกหากจำเป็นเพราะดอกเบี้ยในช่วงวิกฤติ COVID-19 ต่ำกว่านี้
ด้านนโยบายการคลังก็มีการปรับโยกเงินดิจิทัลเฟซ3 ไปใช้จ่ายดูแลเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ “ภาษี Trump” รวมถึงยังจะมีมาตรการอื่นๆ ตามมาก็จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง สุดท้ายคงต้องดูว่าภาษีสุดท้ายของไทยที่เจอจะเป็นเท่าไร และเทียบกับเพื่อนบ้านแล้วเป็นยังไงด้วย
“ปีนี้เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะโต 1.5 – 2.0% (เดิม 2.7%) โดย 3 เสาขับเคลื่อนเศรษฐกิจถูกกระทบทั้งส่งออก, การลงทุน และท่องเที่ยว แต่ยังมีเสาที่4 นโยบายการเงิน-การคลังเป็นตัวช่วย ส่วน ‘หุ้นไทย’ base case 1,300 จุด, Bull case1,400 จุดและ Bear case 900 – 1,000 จุดซึ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้วก็ถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าลงทุนได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มกองทุน ‘Thai ESGX’ ซึ่งมีระยะเวลาลงทุน 5 ปี ข้างหน้า”
สำหรับธีมการลงทุนใน “หุ้นไทย” ขณะนี้บริษัทให้ความสำคัญในการคัดเลือกการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง มีฐานเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงการจ่ายเงินปันผลสูงอย่างสม่ำเสมอ โดยหุ้นกลุ่มที่มีความน่าสนใจประกอบด้วย ธนาคาร, โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด, สื่อสาร และกลุ่มโรงพยาบาล-ธุรกิจสุขภาพ ส่วน “หุ้นขนาดขนาดเล็ก” เน้นหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ กับเฮลแคร์
สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่าจะปรับพอร์ตรับมือมรสุม “Trade War” ที่ทำตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนยังไง เชื่อว่ามุมมองจาก “บลจ.อเบอร์ดีน” น่าจะช่วยไขรหัสการลงทุนให้ได้ไม่มากก็น้อย เรียกว่า ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสการลงทุนอยู่เสมอ แค่มองหาให้เจอและพาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมให้ได้เท่านั้นเอง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...