โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ปูพื้นฐานทำความเข้าใจใน Options

Thairath Money

อัพเดต 16 พ.ค. เวลา 14.46 น. • เผยแพร่ 17 พ.ค. เวลา 02.00 น.
ภาพไฮไลต์

ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือที่นักลงทุนเรียกกันติดปากว่า TFEX ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ โดยสินค้าที่สามารถซื้อขายได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ

  • ฟิวเจอร์ส (Futures)
  • ออปชัน (Options)

สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ใน TFEX คงคุ้นเคยกับ Futures เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้เขียนจะขอเน้นถึงเรื่อง Options เป็นหลัก เพราะคิดว่านักลงทุนหลาย ๆ ท่านน่าจะยังไม่คุ้นเคยกัน

Options คือ ตราสารที่ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อ แต่ไม่ใช่ภาระผูกพันในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ภายในระยะเวลาและราคาที่กำหนด โดยผู้ที่ซื้อ (Long) Options สามารถเลือกที่จะใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้ ตรงข้ามกับผู้ขาย (Short) ที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามถ้าผู้ซื้อต้องการใช้สิทธิ ซึ่งการจะได้มาในสิทธินั้นผู้ Long Options จะต้องจ่ายค่าพรีเมียมให้กับผู้ขาย

สำหรับสิทธิของ Options นั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ สิทธิในการซื้อ (Call Options) และสิทธิในการขาย (Put Options) ขณะที่ปัจจุบัน TFEX เปิดให้มีการซื้อขาย Options ที่อ้างอิงเฉพาะ SET50 Index และเป็นแบบ European (สามารถใช้สิทธิได้ ณ วันสุดท้ายเท่านั้น)

สำหรับ Options ที่เปิดซื้อขายใน TFEX จะมีสัญลักษณ์สัญญา ดังนี้

จากสัญลักษณ์สัญญาของ Options ข้างต้นจะเห็นได้ว่าในส่วนแรก S50M25 นั้นจะเหมือนกับสัญลักษณ์สัญญาของ SET50 Index Futures แต่จะมีส่วนที่เพิ่มขึ้นมาต่อท้ายคือ สิทธิของ Options (C = สิทธิในการซื้อ, P = สิทธิในการขาย) และตามด้วยราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

ดังนั้น S50M25C750 จะหมายถึง Options ที่มีสินค้าอ้างอิงคือ SET50 Index หมดอายุเดือน มิ.ย. ปี 2025 โดยเป็นสิทธิในการซื้อที่ราคา 750 จุด ต่อไปมาดูกันว่าการเทรด Options รูปแบบพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนนั้น มีรูปแบบอะไรกันบ้างและแต่ละรูปแบบเหมาะกับคาดการณ์แนวโน้มสินค้าอ้างอิงแบบไหนกัน

การซื้อขาย Options พื้นฐานมี 4 รูปแบบ คือ

  • Long Call (คาดการณ์สินค้าอ้างอิงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น)
  • Long Put (คาดการณ์สินค้าอ้างอิงมีแนวโน้มปรับตัวลง)
  • Short Call (คาดการณ์สินค้าอ้างอิงมีแนวโน้ม Sideways หรือแนวโน้มปรับตัวลงไม่มาก)
  • Short Put (คาดการณ์สินค้าอ้างอิงมีแนวโน้ม Sideways หรือแนวโน้มปรับตัวขึ้นไม่มาก)

จากกราฟแสดงกำไร/ขาดทุนข้างต้นจะเห็นได้ว่ากรณีที่ Long Options ไม่ว่าจะเป็นการ Long Call หรือ Long Put จะมีความเสี่ยงจำกัด เนื่องจากผลขาดทุนสูงสุดจะเท่ากับค่าพรีเมียมที่ได้จ่ายไป ในส่วนของผลตอบแทนพบว่าถ้าราคาสินค้าอ้างอิงปรับตัวขึ้นหรือลงแรงมีโอกาสได้ผลตอบแทนไม่จำกัด ตรงข้ามกับนักลงทุนที่ Short Options มีความเสี่ยงสูง ถ้าราคาสินค้าอ้างอิงมีการเหวี่ยงขึ้นหรือลงแรง จะทำให้เกิดผลขาดทุนเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผลตอบแทนสูงสุดที่ได้จำกัดแค่ค่าพรีเมียมรับ จึงส่งผลให้นักลงทุนที่ Long Options ไม่ต้องวางเงินหลักประกันเหมือนกับการเทรด Futures แต่นักลงทุนที่ Short Options จะถูกเรียกเงินหลักประกันและมีโอกาสถูกเรียกเงินหลักประกันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าสถานะที่ถือครองมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

มาถึงช่วงท้ายของบทความผู้อ่านทุก ๆ ท่านน่าจะเข้าใจตราสารที่เรียกว่า Options และสัญลักษณ์สัญญาที่ใช้ซื้อขายใน TFEX รวมถึงการซื้อขาย Options พื้นฐานแต่ละรูปแบบ เพราะความเข้าใจดังกล่าวถือเป็นก้าวแรกสำหรับนักลงทุนที่เริ่มสนใจเทรด Options โดยบทความในตอนหน้าผู้เขียนจะมาลงลึกถึงวิธีการเลือก Options กับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากก้าวต่อไปในการเทรด Options เนื่องจากว่า Options ใน TFEX มีให้เลือกกันหลาย Strike Price และแต่ละ Strike Price ก็มีราคาของสิทธิแต่ละแบบที่แตกต่างกันอีกด้วย

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...