โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ทฤษฎีสมคบคิด : บุคลิกลักษณะและมนต์สะกด | เกษียร เตชะพีระ

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 30 มิ.ย. 2566 เวลา 04.47 น. • เผยแพร่ 30 มิ.ย. 2566 เวลา 04.46 น.

ศัพท์คำว่าทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theories) ปรากฏในการรับรู้ของสาธารณชนไทยครั้งแรกเมื่อสามปีก่อนจากข้อวิเคราะห์วิจารณ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวชุมนุมต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของนิสิตนักศึกษาอันสืบเนื่องจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ตอนต้นปีแล้วฟื้นตัวขึ้นใหม่หลังชะงักไปเพราะวิกฤตโควิด-19 ระบาดและมีการพูดและเขียนถึงสถาบันกษัตริย์ในที่ชุมนุม (บีบีซีไทย, 24 กรกฎาคม 2563)

ล่าสุดก็ปรากฏการสาธิตตัวอย่างทฤษฎีทำนองนี้เป็นรูปธรรมอีกครั้งในรายการ sondhitalk

เมื่อสื่อเจ้าเก่าเล่ายี่ห้อ สนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวอ้างสาธยายเชื่อมโยงถึงพรรคก้าวไกลที่เพิ่งได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งทั่วไป 14 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า “อเมริกาเชิดก้าวไกล ใช้ไทยแทรกเพื่อนบ้าน” (sondhitalk, ep.#192, 2 มิถุนายน 2566)

ในแง่การเมืองวัฒนธรรม ข้อที่น่าสนใจย่อมไม่ใช่พยานหลักฐานรองรับข้อกล่าวอ้างสมคบคิดดังกล่าว (ซึ่งเหลือวิสัยจะพิสูจน์ให้ประจักษ์เห็นจริงจนสิ้นความสงสัยที่มีเหตุผลในกระบวนการยุติธรรมหรือวิชาการ)

หากอยู่ตรงผู้คนไม่น้อย (เมื่อดูจากคอมเมนต์ใต้คลิป) ใฝ่ใจอยากเชื่อและด่วนปักใจเชื่อมันโดยมิพักต้องพิสูจน์ทราบมากกว่า

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ผมคิดว่าจะเข้าใจได้ต้องทำความรู้จักบุคลิกลักษณะและมนต์สะกดของทฤษฎีสมคบคิดโดยทั่วไปเสียก่อน

คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ซึ่งประสบกระแสคลื่นทฤษฎีสมคบคิดโหมซัดด้วยเนื้อหาอันตรายและชวนหลงผิดท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ระบาดช่วงกว่าสามปีที่ผ่านมา ได้ออกเอกสารวิเคราะห์แจกแจงปัญหาดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจโดยสังเขปดังนี้ (https://commission.europa.eu/strategy-and-policy/coronavirus-response/fighting-disinformation/identifying-conspiracy-theories_en) :

อะไรคือทฤษฎีสมคบคิด?

– มันคือความเชื่อว่ามีกลุ่มพลังผู้ทรงอำนาจ (เช่น อเมริกา) คอยแอบฉวยใช้ชักเชิดเหตุการณ์ต่างๆ (ให้พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง) อยู่หลังฉากอย่างลับๆ ด้วยเจตนาร้าย (เพื่อใช้ไทยต้านจีน)

อะไรคือบุคลิกลักษณะร่วมของบรรดาทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายแหล่?

– ทฤษฎีสมคบคิดมีลักษณะร่วมอยู่ด้วยกัน 7 ประการ (CONSPIR) ได้แก่ :

1. Contradictory/ขัดแย้งกันในตัวเอง : ทฤษฏีสมคบคิดสามารถเชื่อถือความคิดที่ขัดแย้งกันเอง ได้ในเวลาเดียวกัน (ตัวอย่างเช่น อเมริกาเชิดก้าวไกล & ก้าวไกลเป็นคอมมิวนิสต์เพราะใช้สัญลักษณ์ค้อนเคียว)

ทั้งนี้ก็เพราะเหล่านักทฤษฎีสมคบคิดปักใจหัวชนฝาไม่ยอมเชื่อถือเรื่องปกติที่ขัดกับทฤษฎีของตนอย่างเด็ดขาดสัมบูรณ์เสียจนกระทั่งต่อให้ระบบความเชื่อของตนไม่ผนึกเป็นปึกแผ่นเดียวกันอย่างคงเส้นคงวาก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย

2. Overriding suspicion/ระแวงสงสัยเหนือกว่าอะไรอื่น : วิธีคิดแบบทฤษฎีสมคบคิดระแวงสงสัยอย่างล้นเหลือเฟือฟายเสียจนกระทั่งมันไปทำลายล้างน้ำหนักของข้อเท็จจริงหรือเหตุผลอื่นจนหมดสิ้น

ระดับความหวาดระแวงสงสัยสุดโต่งนี้ทำให้ไม่ยอมเชื่ออะไรก็ตามแต่ที่ไม่สอดรับกับทฤษฎีสมคบคิดของตน (เช่น ไม่ยอมเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายธำรงรักษาสถาบันกษัตริย์ ไว้อยู่เหนือการเมืองและภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ได้คิดล้มเจ้า)

3. Nefarious intent/มีเจตนาร้าย : สันนิษฐานไว้แต่ต้นเลยว่าแรงจูงใจเบื้องหลังแผนการสมคบคิดใดๆ ที่ทึกทักกันว่ามีนั้นย่อมเป็นไปในทางร้าย บรรดาทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายไม่เคยเสนอว่า พวกที่ถูกถือว่าเป็นผู้สมคบคิดนั้นจะมีแรงจูงใจไปในทางที่ดีงามได้ (ดังนั้น ปฏิรูป = ล้มล้างการปกครอง)

4. Something must be wrong/มันต้องมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่แน่ๆ : แม้ว่าเหล่านักทฤษฎีสมคบคิดจะยอมยกเลิกความคิดเฉพาะเจาะจงบางอย่างเป็นครั้งคราวเมื่อเหลือวิสัยจะปกป้องมันไว้ได้อีกต่อไป แต่การปรับแก้ที่ว่านี้หาได้เปลี่ยนข้อสรุปโดยรวมของพวกเขาที่ว่า “มันต้องมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่แน่ๆ” ไปไม่ และเรื่องปกติที่แย้งข้อสรุปของทฤษฎีตน นั้นล้วนโกหกหลอกลวง (เช่น เชื่อว่าสัญลักษณ์ของพรรคเชื่อมโยงกับองค์กรลับอิลลูมินาติ)

5. Persecuted victim/มองตัวเองว่าเป็นเหยื่อถูกเล่นงานรังควาน : เหล่านักทฤษฎีสมคบคิดมองเห็นและนำเสนอตัวเองว่าตกเป็นเหยื่อของการเล่นงานรังควานอย่างเป็นระบบ ทว่า ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เห็นตัวเองเป็นนักร้องผู้วีระอาจหาญที่กล้าเผชิญหน้ากับพวกวายร้ายนักสมคบคิดด้วย

วิธีคิดแบบทฤษฎีสมคบคิดจึงเกี่ยวพันกับการมองและเข้าใจตัวเองว่าเป็นทั้งเหยื่อและวีรชนในเวลาเดียวกัน (ดูคำสัมภาษณ์ของสนธิ ลิ้มทองกุล ในไทยโพสต์แทบลอยด์, 11 ตุลาคม 2552 & ศรีสุวรรณ จรรยา ใน https://www.thairath.co.th/news/politic/2700687)

6. Immune to evidence/คงกระพันชาตรีต่อหลักฐานแย้ง : ทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายมีลักษณะปิดผนึกหูตาตัวเองโดยเนื้อใน กล่าวคือ บรรดาหลักฐานที่สวนทวนท้าทายทฤษฎีจะถูกตีความเสียใหม่ว่าล้วนแต่ถือกำเนิดเผยแพร่มาออกมาจากแผนการร้ายสมคบคิดนั่นเอง

บุคลิกข้อนี้สะท้อนความเชื่อของนักทฤษฎีเหล่านี้ที่ว่า “ยิ่งปรากฏหลักฐานโต้แย้งแผนการสมคบคิดหนักแน่นขึ้นแค่ไหน นั่นย่อมแสดงว่าพวกนักสมคบคิดวางแผนร้ายยิ่งต้องการให้คนหลงเชื่อเรื่องราวที่พวกมันปั้นแต่งขึ้นแทนที่จะเชื่อทฤษฎีของเราแค่นั้นนั่นแหละ” (สนธิท้าดีเบตกับพิธา วิโรจน์ ชูวิทย์ ไอติม ฟูอาดี้, คุยทุกเรื่องกับสนธิ, 31 พฤษภาคม 2566)

7. Re-interpreting randomness/ตีความเรื่องบังเอิญเสียใหม่ : ความระแวงสงสัยอย่างล้นเหลือเฟือฟายในวิธีคิดแบบทฤษฎีสมคบคิดบ่อยครั้งนำไปสู่ความเชื่อว่าไม่มีอะไรหรอกที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ ประดาเหตุบังเอิญปลีกย่อยจิปาถะ (เช่น สัญลักษณ์ของพรรครูปสามเหลี่ยมกลับหัว หรือสัญลักษณ์ค้อนเคียวในโลโก้การ์ตูนของพรรค) ถูกตีความใหม่ว่าเกิดจากแผนการสมคบคิด (องค์การลับอิลลูมินาติหรือลัทธิการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์กับการปกครองฯ)

แล้วเอาไปถักทอปะติดปะต่อกันเข้าเป็นแบบแผนเรื่องเล่าที่เตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่โต

ทำไมทฤษฎีสมคบคิดถึงแพร่หลายนัก?

– เพราะมันนำเสนอคำอธิบายง่ายๆ ให้แก่เหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเข้าใจได้ยาก (เช่น ทำไมแก้ปัญหาความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เสียที? หรือ ทำไมพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งวะ?) มันช่วยให้ผู้เชื่อหลงรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจ-ควบคุม-และกระทำการต่อเหตุการณ์และสถานการณ์เหล่านั้นได้ (อ๋อ เพราะอเมริกาแทรกแซงนี่เอง)

ความอยากจะ “รู้สึก” ดังกล่าวนั้นขึ้นสูงในยามที่สภาพการณ์ไม่แน่นอนเช่นช่วงเกิดโรคโควิด-19 ระบาด (พรรคฝ่ายค้านชนะเลือกตั้งเตรียมตั้งรัฐบาลแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหว่า?)

ทฤษฎีสมคบคิดหยั่งยึดความคิดจิตใจเราได้อย่างไร?

– ทฤษฎีสมคบคิดมักเริ่มต้นด้วยอาการระแวงสงสัย ตั้งคำถามว่าใครได้ประโยชน์จากเหตุการณ์หรือสถานการณ์หนึ่งๆ แล้วชี้ตัวพวกสมคบคิดวางแผนออกมา จากนั้นก็ตัดแต่ง “หลักฐาน” ใดๆ ที่หาได้ให้สอดรับกับทฤษฎี

พอมันหยั่งรากแล้ว ทฤษฎีสมคบคิดก็แผ่ขยายลุกลามได้รวดเร็ว ยากที่จะปฏิเสธล้มล้างทฤษฎีสมคบคิดได้ เพราะใครก็ตามที่พยายามทำเช่นนั้นก็จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในพวกสมคบคิดวางแผนนั่นเอง (เช่น คอลัมน์นี้เป็นต้น แหะๆ)

ทำไมผู้คนจึงพากันป่าวร้องโพนทะนาทฤษฎีสมคบคิดจนมันกระจายกว้างออกไป?

– ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน กล่าวคือ ส่วนมากนักเล่าทฤษฎีสมคบคิดต่อ (ปากต่อปาก ปากสอง ปากสาม…) เชื่อว่ามันจริง แต่ก็มีบ้างที่จงใจยั่วยุปลุกปั่นหรือมุ่งใส่ร้ายเล่นงานบางคนบางกลุ่มบางพรรคด้วยเหตุผลทางการเงินหรือการเมือง

สิ่งพึงตระหนักระวังคือทฤษฎีสมคบคิดแพร่มาได้จากหลายแหล่งไม่ว่ากลุ่มไลน์ ครอบครัว ญาติมิตร รายการทอล์กโชว์ทางยูทูบ ฯลฯ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...