ขณะที่กำลังดูซีรีย์จีนแนวย้อนยุคเรื่องหนึ่งอยู่ เห็นนางเอกสวมชุดสีชมพูอ่อนชายกระโปรงยาวลากพื้นพลิ้วไสวในทุกย่างก้าวเพื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้สูงศักดิ์ในตำหนักใหญ่… ช่างเป็นภาพฝันที่คงจะสวยงามน่าดู ถ้าหากไม่ใช่ความฝันล่ะ สถานที่แบบนี้มีอยู่จริงล่ะ และอยู่ในกรุงเทพเสียด้วย… อ่านไม่ผิด สถานแห่งนี้มีอยู่จริง ที่สำคัญงดงามเหมือนเดินเข้าวังหลวงจริงๆ
ถ้าพูดถึงสถาปัตยกรรมจีนในประเทศไทยหลายคนคงจะคิดถึงวัด เช่น วัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ แต่วันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีศิลปะจีนที่สวยงามเหมือนยกวัดจีนมาไว้ในไทย ที่นี่คือ "สถาบันพุทธศาสนาเถรวาท - มหายานฝอกวงซัน ไท่ฮวาซื่อ" ที่จัดสร้างขึ้นตามดำริของพระมหาเถราจารย์ซิงหวัน เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่ศรัทธาชนทั้งหลาย และเพื่อเผยแผ่ธรรม อบรมสั่งสอนคนในท้องถิ่นให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ สถาปัตยกรรมพุทธวิหารของที่นี่ทั้งหมดออกแบบด้วยศิลปะจีน ทำให้ทุกตารางนิ้วที่ก้าวเดินจึงรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในวัดจีนไม่ผิดเพี้ยน
เริ่มตั้งแต่ศาลาพระพุทธรูปหยกประดิษฐานอยู่ที่ฝั่งทิศตะวันตกของทางเข้าประตูบรรพต ซึ่งอยู่ติดกับศาลาด้านหน้าที่มีบันไดกว้างสีน้ำตาลทอดตัวยาวไปยังโถงรับรอง ภายในโถงรับรองเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรยร้อยกุมาร ที่หมายถึงขอให้พุทธสถานแห่งนี้ได้สืบทอดเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะให้งอกงามไม่ขาดสาย เพื่อจะได้มีอริยบุคคลในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไป ประตูทางเข้าโถงรับรองยังประดิษฐานท้าวจตุมหาราชาทางด้านซ้ายและด้านขวา
เมื่อเดินผ่านโถงรับรองมาก็จะพบกับลานกว้าง ขนาบข้างด้วยศาลายาว หลังคามุงแบบจีนโบราณ พื้นทำจากหินอ่อนสีขาวที่ตรงกลางลานใช้หินสีน้ำตาลทอดยาวไปถึงวิหารพระไตรรัตน์ หรือ วิหารกลาง ซึ่งประดิษฐานพระประธานอันศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามถึง 3 องค์ เริ่มจากองค์ที่ประทับอยู่ตรงกลาง มีนามว่า พระโคตมพุทธเจ้า หรือพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ พระปฏิมาจะทรงแก้วมณี รูปทรงกลม หมายถึงพระธรรมรัตนะ เบื้องซ้ายพระนามว่า พระอมิตาภะพุทธเจ้าพระปฏิมาทรงเครื่องเหมือนพระพุทธรูปทั่วไปที่ประดิษฐานในวัดไทย แต่พระหัตถ์ซ้ายจะทรงถือดอกบัว พระหัตถ์ขวาแนบพระวรกาย เบื้องขวามีพระนามว่า พระไภษ์ชยคุรุพุทธเจ้าเชื่อกันว่าบุคคลใดที่ได้บูชาพระองค์ก็จะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ พระปฏิมาจะทรงพระเจดีย์ในพระหัตถ์ พุทธศาสนิกชนชาวไทยรู้จักในลักษณะพระกริ่งนั่นเอง และภายในวิหารกลางนี้ยังมีประดิษฐานพระอรหันต์ไว้อีกหลายพระองค์ รอบๆวิหารกลางยังประดิษฐานพระสกันทโพธิสัตว์ และพระสังฆารามโพธิสัตว์ (เทพกวนอู) เพื่อคุ้มครองวัดให้มีความสงบและเพื่อความเป็นสิริมงคล
อีกทั้งยังมีหอกลองและหอระฆัง จุดประสงค์เพื่อใช้ในการบอกเวลา แต่ความสงสัยเกิดขึ้น ในเมื่อใช้บอกเวลาเหมือนกันแต่ทำไมต้องใช้ต่างกันล่ะ? เสียงที่ได้ยินจากหอกลองและหอระฆัง จะบ่งบอกเวลาที่แตกต่างกัน ทำให้เป็นที่รู้กันในวัดแห่งนี้ 'ค่ำย่ำกลอง เช้าย่ำระฆัง' นั่นเอง
พอเดินออกจากวิหารกลางมาทางฝั่งซ้ายก็จะพบวิหารพระอวโลกิเตศวร (พระโพธิสัตว์กวนอิม) ที่มีความสูงกว่า 30 เมตร บริเวณโดยรอบวิหารประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมอีก 32 ปาง ด้านข้างวิหารนี้จะมีศาลาพระอวโลกิเตศวรที่แกะสลักมาจากหยก และมีศาลาเมตตาที่เป็นสถาปัตยกรรมไทยแห่งเดียวในวัดนี้ ขยับมาทางฝั่งขวาของวิหารกลาง คือ หอกตัญญุตาธรรม สร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อบรรพบุรุษ ดังสุภาษิตไทยที่ว่า 'ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี' บริเวณรอบหอตกแต่งด้วยต้นไผ่สีดำตัดกับลานหินกรวดสีขาวสะอาดตา
ถึงแม้ที่ฝอกวงซัน ไท่ฮวาซื่อ จะมีสถาปัตยกรรมแบบจีน แต่ที่นี่ไม่มีพิธีแก้ปีชงเหมือนวัดมหายานอื่นๆ แต่จะมีการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชน และการกราบไหว้ขอพรเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเองและครอบครัว
นอกจากจะมาเที่ยวชมสถาปัตยกรรมจีนแล้ว ยังได้มาไหว้พระอิ่มบุญ และมีของแถมเป็นภาพถ่ายสวยๆ ที่เหมือนอยู่ประเทศจีนไปอวดเพื่อนๆ ด้วย ยิ่งได้เห็นสถานที่สวยงามแบบนี้ด้วยตาของตัวเอง ยิ่งสัมผัสถึงความแตกต่างจากการดูผ่านจอโทรศัพท์โดยสิ้นเชิง เชิญมาสัมผัสความสวยงามของสถาปัตยกรรมจีนได้ที่วัดฝอกวงซัน ไท่ฮวาซื่อ อยู่ที่ 55 ถนนคู้บอน แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร เปิดทำการทุกวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา09.00 น. - 17.00 น. วันจันทร์ เปิด 10.00 น. - 16.00 น. แล้วจะรู้ว่าจีนอยู่ใกล้แค่กำแพงกั้น… มีอยู่จริง