โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

คนอเมริกันแปรพักตร์ไปรักแอปจีน เพราะว่า Land of the Free มันไม่มีอยู่จริง!

The Better

อัพเดต 19 ม.ค. เวลา 09.52 น. • เผยแพร่ 19 ม.ค. เวลา 04.50 น. • THE BETTER

ผมเคยเขียนไว้ในบทความหนึ่งว่า การต่อสู้ระหว่างฝ่ายจีนกับสหรัฐ (รวมถึงรัสเซียกับยุโรป) จะทำให้โลกตะวันตกกลายสภาพเป็นระบอบ "อำนาจนิยม" มากขึ้น หรืออย่างน้อยก็จะต้องเป็น "ขวา" มากขึ้น

นั่นเพราะการเป็นเสรีประชาธิปไตยไปเรื่อยๆ ในภาวะสงครามที่เริ่มก่อตัวจะทำให้การควบคุมเอกภาพของชาติเป็นไปได้ยากลำบาก ตรงกันข้ามกับจีนที่มีเอกภาพในชาติสูงด้วยค่านิยมเดียวกันและชาตินิยมที่แกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปะทะกัน ประเทศที่ไร้เอกภาพจะถูก "ตีแตก" ได้ง่าย ดังนั้นพวกฝ่ายการเมืองจึงเริ่มเอียงไปทางขวาและกุมอำนาจเข้าศูนย์กลางทีละน้อยๆ

ประชาชนที่รักเสรีภาพจอมปลอมและภักดีกับฝ่ายขวาจะ "ยอมหยวนๆ" ให้รัฐบาลริบเสรีภาพของตนไปเพราเชื่อว่า "รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องเราเรามีหน้าที่จ่ายภาษีและเสียเสรีภาพบางส่วนให้"

แต่การทำแบบนี้ ประชาชนที่รักเสรีภาพอย่างแท้จริงจะขัดขืนอย่างรุนแรง

กรณีตัวอย่างคือการแบน "ติ๊กต็อก" ทำให้คนอเมริกันรู้สึกว่าประเทศตัวเองกำลังทรยศหลักการเสรีภาพในการแสดงความเห็น และริดรอนสิทธิของประชาชน

ยูสเซอร์อเมริกันรายหนึ่งจึงบอกว่า "มีแต่ประเทศฟาสซิสต์เท่านั้นที่แบนเว็บไซต์ มีแต่ประเทศฟาสซิสต์เท่าน้นที่แบนแอป"

ในเมื่อประเทศตัวเองกลายเป็นฟาสซิสต์ที่ทรยศหลักการแห่งเสรีประชาธิปไตย คนอเมริกันพวกนี้เลย "ทรยศ" บ้างด้วยการแห่ไปใช้แอปเสี่ยวหงชูของจีน ทำให้ยอดดาวน์โหลดแอปนี้ขึ้นอันดับหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน

ปรากฏการณ์นี้ผมว่าอยู่ไม่ยืด เพราะเสี่ยวหงชูออกแบบมาเพื่อให้คนในจีนใช้เป็นหลักและมีมาตรฐานที่ใช้กับโลกภายนอกไม่ได้ ดังนั้น เมื่อคนแห่ไปใช้มากๆ สักพักจะมีการละเมิดข้อห้ามในอัตราสูง (ตอนนี้ก็มีคนล้อเล่นกับระบบเยอะแล้ว เช่น โพสต์เรื่องกรณีเทียนอันเหมิน) แล้วจะต้องปะทะกันในที่สุด เว้นว่าเสี่ยวหงชูจะผลิตแอปจำเพาะให้คนนอกจีนใช้ เหมือนโต่วอินผลิตติ๊กต็อกออกมา

แต่เรื่องนั้นต้องรอดูกันต่อไป แต่ตอนนี้เราจะเห็นคนอเมริกัน "ตาสว่าง" กับประเทศตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะมันถูกควบคุมโดยรัฐและทุนมาโดยตลอด ตราบใดที่ "อะไรก็ตาม" ไม่เป็นภัยต่อรัฐและทุนอเมริกัน ตราบนั้นมันจะมีเสรีภาพต่อไป

ตามหลักการที่สหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตกชอบโพนทะนา ธุรกิจและการลงทุนจะต้องเคลื่อนย้ายอย่างเสรีใช่ไหม? แน่นอนว่า มันจะเสรีสำรับพวกเขาเท่านั้น เมื่อธุรกิจของคู่แข่งทำท่าจะไปได้ดีกว่า เมื่อนั้นหลักการนี้จะถูกริดรอนโดยใช้ข้ออ้างสารพัด

การแบนติ๊กต็อกครั้งนี้อ้างเรื่องความมั่นคงจากการเก็บข้อมูลโดย "แอปจีน"

แต่เอาจริงๆ "แอปอเมริกัน" เก็บข้อมูลผู้ใช้มากกว่าอีก

คนอเมริกันบางคนก็เลยทำคอนเทนต์ประกาศว่า ต่อให้ "จีนแดง" ล้วงข้อมูลไปถึงโคตรเหง้าเหล่ากอ พวกเขาก็ยอม ขอแค่มีติ๊กต็อกใช้เหมือนเดิมก็พอ - จากนั้นก็ตามด้วยการแห่ไปใช้เสี่ยวหงชูกัน

แน่นอนว่ามันเป็นการประชดด้วย แต่บางคนไม่ใช่แค่ประชด เพราะใจอาฆาตรุนแรงขนาดขุดเบื้องหลังนักการเมืองที่กระเหี้ยนกระหือรือกับการแบนแอปจีน แล้วเปิดโปงว่าพวกที่สนับสนุนการแบนบางคนไปกว้านซื้อหุ้นแอปอเมริกันบางตัวหลายครั้ง

นัยว่าเมื่อแอปจีนไป คนจะแห่ไปใช้แอปอเมริกันแน่ๆ

แอปที่ว่านั้นก็สนองด้วยการเปลี่ยนหน้าตาให้เหมือนติ๊กต็อกเมื่อไม่กี่วันก่อน ส่วนบอสของแอปนี้ก็ออกมาแอ็กทีฟด้วยการออกมาแสดงทัศนะตามสื่อดัง ซึ่งทัศนะนั้นทำให้คนยิ่งดูถูกเขาว่าเป็น "พวกไม่มีกระดูกสันหลัง" เพราะจู่ๆ ก็เปลี่ยนจุดยืนจากซ้ายนิดๆ (เพราะจะสนับสนุนความหลากหลาย) มาเป็นขวาจะตกขอบ (ออฟฟิศเรานี่มันออกสาวเกินไปหน่อยแล้วนะ) และน่าจะเปลี่ยนท่าที่เพื่อเอาใจรัฐบาลใหม่ที่เป็นฝ่ายขวา ซึ่งในสมัยที่แล้วผู้นำคนนี้เป็นตัวการเริ่มแบนติ๊กต็อกคนแรก

เพราะมัน "อั๊กลี่ อเมริกัน" แบบนี้เอง ดังนั้น โปเจกต์ต่อมาหลังจากหันไปใช้เสี่ยวหงชู ก็คือการทำแคมเปญลบแอปอเมริกันของบริษัทนั้นทุกตัว ผลก็คือหุ้นของแอปนั้นร่วงหนัก ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำลายมูลค่าหุ้นที่นักการเมืองพวกนั้นถือไว้นั่นเอง

กรณีนี้สะท้อนว่าคนอเมริกันไม่เชื่อถือ "วาทกรรมการเมือง" ที่พวกนักการเมืองและนายทุนเป่าหูพวกเขาอีกไป "วาทกรรม" ที่ว่านั้นคือ "เราเป็นประเทศเสรี แต่ต้องควบคุมเสรีภาพเอาไว้บ้าง เพื่อความมั่นคง" แต่ประชาชนเห็นว่าพวกนี้โป้ปดชัดๆ เพราะนักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อน บางคนซื้อหุ้นแอปอเมริกันรอไว้ บางคนมีข่าวว่าได้เงินสนับสนุนจากแอปอเมริกัน และมีโอกาสที่แอปอเมริกันจะทุ่มเงินเพื่อ "ล็อบบี้" นักการเมืองเพื่อให้แบนแอปคู่แข่งจากจีนที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนแอปของพวกเขานั้นคนเบื่อหน่ายเต็มที

ได้วาทกรรมที่ว่า "เราเป็นประเทศเสรี แต่ต้องควบคุมเสรีภาพเอาไว้บ้าง เพื่อความมั่นคง" มันเป็นคำพูดที่เอาไว้หลอกประชาชนได้ในยุคสงครามเย็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นประชาชนเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารและคิดเองไม่ค่อยจะเป็น ดังนั้นจึงถูกหลอกจากโฆษณาชวนเชื่อได้ง่าย

ดังนั้น ในยุคสงครามเย็นครั้งแรก รัฐบาลอเมริกันป่าวประกาศว่า "เราคือโลกเสรี" ก็ประกาศแต่ปาก เพื่อที่จะวางหมากกันประเทศคอมมิวนิสต์เอาไว้ จึงสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยมที่เลวร้ายพอๆ กับพวก "แดง" ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการในไทย ในเกาหลีใต้ ในอินโดนีเซีย ในชิลี และอีกมากมายแม้แต่การหนุนรัฐบาลฝ่ายขวาในยุโรปที่ทำลายความกินดีอยู่ของประชาชน แต่เป็นสมุนที่ดีของ "กลุ่มโลกเสรี"

แต่ในยุคสงครามเย็นครั้งที่สอง ประชาชนมีจิตวิเคราะห์สูง และเข้าถึงข้อมูลได้ทุกทิศทุกทาง นักการเมืองอเมริกันก็ยังใช้สูตรเดิมสมัยสงครามเย็นครั้งแรก ดังนั้น พอประชาชนล่วงรู้ข้อมูลจึงตาสว่างว่า "พวกนี้มันทรราชย์ดีๆ นี่เอง" แต่ซ่อนรูปว่าเป็นวีรบุรุษแห่งเสรีภาพ

ผมเชื่อว่าคนอเมริกันไม่ได้หลงรักติ๊กต็อกขนาดยอมถวายดาต้าส่วนตัวได้ไม่จำกัด เพียงแต่พวกเขาเห็นว่าการแบนแอปที่ไม่มีพิษมีภัยอะไรในสายตาพวกเขา คือการ "กลั่นแกล้ง" ประชาชน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของนายทุนสายเทค

คนอเมริกันจึงแปรพักตร์ไปทางจีนยิ่งขึ้น แม้ผมจะบอกว่าเป็นแค่การประชด และไม่น่าจะยั่งยืน แต่มันสะท้อนว่า "การกบฏ" ได้ก่อตัวขึ้นมาแล้วในสหรัฐอเมริกา

บางคนบอกวานี่คือการก่อตัวอีกครั้งของ "การปฏิวัติ" เช่นเดียวกันเมื่อบิดาผู้ก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรเผด็จการอังกฤษด้วยการเอาชาไปทิ้ง คราวนี้คนอเมริกันที่รักชาติก็ต้องก่อกบฏกต่ออำนาจนิยม+นายทุนไร้หัวใจ ด้วยการไม่ใช้ของอเมริกันมันซะเลย

ยูสเซอร์อเมริกันบางคนถึงขนาดปลุกเร้าให้เพื่อร่วมชาติอย่าไปยอมพวก "อีลีท" ที่ใช้อำนาจข่มเหงประชาชนมากขึ้นทุกวัน และลงมือทำอะไรที่จริงจังมากกว่านี้เพื่อ "สำเร็จโทษ" นักการเมืองและนายทุน

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงการสังหารซีอีโอของบริษัทประกันอเมริกันแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าแทนที่จะมีคนเห็นใจคนตาย กลับมาแต่คนสาปส่งเห็นเห็นดีเห็นงามกับการสังหารนายทุนคนนี้ โทษฐานที่บริษัทของเขาปฏิเสธเงินประกันให้คนอเมริกันที่ต้องตกทุกข์ได้ยาก โดยอาศัยกลเม็ดของระบอบทุนนิยมที่อออกแบบโดยรัฐซึ่งเข้าข้างภาคธุรกิจแต่เอาเปรียบคนธรรมดา

คนธรรมดาเหล่านี้แหละที่บอกว่า พวกเขามี "แอปจีนแดง" เป็นที่ระบายความคับแค้นใจมาโดยตลอดเพราะไม่แบนความเห็นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ผิดกับแอปอเมริกันมักจะแบนคอนเทนต์ที่สะเทือนไปถึงพวกอีลีทโดยอ้าง "ความมั่นคง" เช่น หากมีการเปิดเผยการละเมิดสิทธิมนุษยชนของหรืออาชญากรรมสงครามโดยอิสราเอล แอปอเมริกันจะก็จะแอบๆ คอนเทนต์พวกนี้ไว้ หรือไม่ก็แบนไปเลย ส่วนติ๊กต็อกนั้นเต็มไปด้วยการเปิดโปงความชั่วร้ายพวกนี้

กลายเป็นว่า แอปจีนให้เสรีภาพในการแสดงความเห็นแก่คนอเมริกันมากกว่าแอปที่ผลิตโดยนายทุนอเมริกัน (เชื้อสายยิว) เสียอีก

และคนอเมริกันก็เริ่มตระหนักว่า ในขณะที่พวกนักการเมืองโจมตีทางการจีนว่าควบคุมแอปอยู่เบื้องหลัง แต่ตัวเองก็รับเงินจากนายทุนทั้งหลายที่เป็นเจ้าของสื่อเดิมและสื่อใหม่ ซึ่งสามารถใช้อำนาจเงินและการเมืองเพื่อควบคุมวาระต่างๆ ได้ดีพอๆ กับการควบคุมของรัฐบาลอำนาจนิยม

คนอเมริกันจึงสิ้นหวังกับระบอบที่ผุพังของประเทศ

เกรงว่า "สงครามกลางเมืองอเมริกัน" ครั้งต่อไป จะไม่ใช่แค่การปะทะกันของอุมดการณ์ขวาและซ้าย แต่จะเป็นการโค่นล้มระบอบทุนนิยมแบบอเมริกันด้วย

ผมไม่ได้เกลียดระบอบทุนนิยมและเห็นว่ามันมีคุณอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เวอร์ชั่นอมเริกันของระบอบนี้มันเลงร้ายมาก ทำให้คนอเมริกันอยู่กันแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง ระบอบสาธารณสุขถ้วนหน้าก็ไม่มีเพราะต้องทำประกันเอา แล้วระบบทุนมันก็ทำให้สถาบันการเงินเอาเปรียบประชาชนไปทุกทาง

ผมนึกถึงเรื่องที่เคยเขียนไว้ว่า "โลกเสรี" (ที่่จริงมันไม่ได้เสรีอะไรขนาดนั้น) จะกลายเป็นอำนาจนิยมมากขึ้น เพราะทุนมีอำนาจเหนือเสรีภาพ ประชาชนเป็นแค่ลูกจ้างของบริษัทข้ามชาติที่ทรงพลัง และเอาเงินซื้อนักการเมืองเอาไว้หมด

คนอเมริกันมาถึงจุดที่พวกเขาตระหนักแล้วว่า Land of the Free มันไม่มีอยู่จริง

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo by Chris DELMAS / AFP

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...