โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘เช็กน้ำ รถไฟ ข่มขืน’ ประสบการณ์จากปาก ‘พลทหาร’ กับการล่วงละเมิดทางเพศซ้ำๆ ในกองทัพไทย

The Momentum

อัพเดต 27 พ.ย. 2567 เวลา 19.32 น. • เผยแพร่ 27 พ.ย. 2567 เวลา 12.25 น. • THE MOMENTUM

“วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ช่วงหลังการเยี่ยมญาติครั้งที่ 2 ทหารเกณฑ์กำลังอาบน้ำรวมกันอยู่ในโรงอาบน้ำ อยู่ๆ มีครูฝึกประมาณ 2-3 คน เดินเข้ามา ตัวผมรู้ พลทหารทุกคนก็รู้ว่า ถ้าเขาเข้ามาแบบนี้แปลว่า กำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเรา”

ในคืนนั้นครูฝึก 3 คน ออกคำสั่งให้ทหารเกณฑ์ราว 50 คน สำเร็จความใคร่พร้อมกันภายในโรงอาบน้ำ รวมถึง ‘ก้อง’ นักศึกษาจบใหม่ชาวอุทัยธานี ที่ต้องยอมทำตามคำสั่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในวันนี้แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่เขายังคงจดจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดี

ในจำนวนทหารเกณฑ์ 19 คน มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่อ้างว่า ไม่มีประสบการณ์พบเห็นหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศภายในค่ายทหาร จากการรายงานชื่อ ประเทศไทย: "เราก็เป็นแค่ของเล่นเขา" การละเมิดทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศต่อทหารเกณฑ์ในกองทัพไทย ในปี 2563 โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุเพิ่มว่า ในจำนวน 17 คน มีอยู่ 3 คนที่ต้องเผชิญหน้ากับการบังคับ ‘ข่มขืน’ ภายในค่ายทหาร

ตัวเลขที่เห็นเป็นเพียง ‘ส่วนหนึ่ง’ ของทหารเกณฑ์ที่เป็นเหยื่อจากการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ยังมีอดีตทหารเกณฑ์ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศเช่นเดียวกับก้อง แต่ยัง ‘ไม่ได้เปิดเผย’ ทั้งนี้ ใช่ว่าเหยื่อไม่อยากบอกกับสังคมถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้น แต่เพราะอำนาจ ความรุนแรง ความกลัว และการไม่คืบหน้าของคดีต่างหาก ที่ทำให้ผู้ถูกกระทำไม่อยากออกมาพูดว่า เขาถูกล่วงละเมิดทางเพศ

[1]

เช็กน้ำ รถไฟ ข่มขืน - การล่วงละเมิดทางเพศในกองทัพ

กิจกรรมที่กลายเป็นขนบธรรมเนียมปฏิบัติในค่ายทหาร มักเป็นที่รับรู้กันผ่านเรื่องเล่าปากต่อปาก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นสิ่งไม่ถูกต้องและขัดต่อกฎหมาย เช่น การทำร้ายร่างกาย การใช้อำนาจ กระทั่งการล่วงละเมิดทางเพศ

The Momentum พูดคุยกับอดีตทหารเกณฑ์ 2 คน ใช้นามสมมติว่า ก้องและตั้มซึ่งจับได้ใบแดงและเข้ารับการเกณฑ์ทหารระหว่างปี 2561-2563 เพื่อหาเบาะแสการล่วงละเมิดทางเพศภายในค่ายทหารที่ทั้ง 2 คนไปประจำการ

หลังเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2563 ก้องถูกส่งตัวไปประจำการ ณ ค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ บรรยากาศภายในช่วงแรกเป็นไปอย่างปกติ ไม่มีคำสั่งที่พิสดารหรือการลงโทษทหารเกณฑ์ด้วยวิธีรุนแรง แต่เมื่อเข้าสู่การฝึกขั้นพื้นฐานซึ่งใช้เวลา 10-12 สัปดาห์ ก้องพบว่า มีบางอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เขาถูกครูฝึกเพิกเฉยกับอาการบาดเจ็บที่เท้าและปฏิเสธนำตัวส่งโรงพยาบาล อาการบาดเจ็บที่มากขึ้นจึงทำให้ก้องไม่สามารถวิ่งได้ เป็นเหตุให้ถูกลงโทษรุนแรงเข้าข่ายย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

“ผมโดนแกล้งจนถึงมืดค่ำ จำได้ว่าช่วงก่อนขึ้นโรงนอนครั้งหนึ่ง ครูฝึกสั่งให้ผมกระโดดลงบ่อเกรอะหลังห้องน้ำ เหมือนเขา (ครูฝึก) เล็งจะเล่นผมมาตลอดทั้งวันแล้ว”

การลงโทษพลทหารอย่างรุนแรง มักเกิดขึ้นในยามวิกาล ณ สถานที่ลับตา เพื่อป้องกันการพบเห็นจากข้าราชการระดับสูง และอาศัยช่วงที่พลทหารห่างจากความดูแลของครอบครัว ในสภาพการณ์แบบนี้ ครูฝึกมีอำนาจสั่งการพลทหารทำตามคำสั่ง นับเป็นช่องโหว่ให้เกิดการกลั่นแกล้งแบบหมู่ เช่น สั่งให้ออกกำลังกายเกินสมรรถภาพร่างกาย ทำร้ายร่างกาย รวมไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศด้วย

“จำได้ว่าหลังการเยี่ยมญาติคืนที่ 2 วันนั้นเราเจอญาติกันทั้งวันจนถึงเย็น พอตกเย็นก็มาอาบน้ำในโรงอาบน้ำรวมก่อนจะขึ้นโรงนอน แต่อยู่ๆ มีครูฝึกเดินเข้ามาตรงที่พวกเราอาบน้ำประมาณ 2-3 คน เขาจะสั่งให้เราช่วยตัวเอง บางคนก็ทำตามนั้น แต่บางคนก็ไม่ได้ช่วยตัวเองจริงๆ แต่ทำท่าทางเหมือนว่าทำอยู่ เพราะอารมณ์ไม่มีเลยในตอนนั้น มันทำให้เสร็จไม่ได้” ก้องเล่า

คำสั่งคล้ายกันๆ ของครูฝึกยังเกิดขึ้นกับตั้ม ทหารเกณฑ์ที่ประจำการในจังหวัดลพบุรี เมื่อปี 2561 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ‘เช็กน้ำ’

“ที่ค่ายของผมมีการเช็กน้ำ ครั้งหนึ่งประมาณช่วง 2 ทุ่ม ผู้ช่วยครูสั่งให้พลทหารออกไปเช็กน้ำ เขาจะเปิดวิดีโอโป๊ให้เราดู ตอนนั้นโดนสั่งให้ทำแบบนั้นกันทั้งค่าย พวกเราต้องไปรวมตัวกันอยู่ในห้องน้ำหลายสิบคน แต่ละคนมีทั้งนั่งทั้งยืน ส่วนครูฝึก 2-3 คน ก็ยืนเปิดวีดีโป๊ให้ดูอยู่ข้างในนั้น

“ส่วนมากจะเกิดขึ้นตอนเย็น เพราะมีเวลาพักมากกว่าช่วงเช้า ก่อนที่พวกเราจะอาบน้ำ เราจะมานั่งเรียงกันภายในห้องรวม ถอดเสื้อผ้าเอากองไว้บนโต๊ะ ทุกคนจะอยู่ในสภาพเปลือยหมด เพื่อรอไปอาบน้ำทีละแถว ครูฝึกก็จะมีหน้าที่จับเวลาอาบน้ำ

“มีครั้งหนึ่ง ครูฝึกให้เรายืนอยู่หน้าประตูของห้องรวม ยังไม่ให้คนที่อาบน้ำเสร็จแล้วเข้าไปใส่เสื้อผ้า แต่ให้ทหารเกณฑ์ทุกคนยืนแถวตอนลึก และมีคำสั่งให้ทุกคนเอามือลอดใต้หว่างขาไปจับอวัยวะเพศของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า และให้ทุกคนเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวพร้อมกัน”

เมื่อการฝึกขั้นพื้นฐานแล้วเสร็จ ตั้มและก้องจะได้เข้ารับการฝึกตามตำแหน่งหรือการขึ้นกองร้อยในภาษาที่รับรู้กันในหมู่ทหาร พลทหารจึงได้รับอิสระในการปฏิบัติกิจวัตรมากขึ้น ทั้งการกินข้าว การอาบน้ำ การเข้านอนกลับมาอยู่ในการควบคุมของพวกเขาอีกครั้ง ทว่าการล่วงละเมิดทางเพศยังคงเกิดขึ้น

ก้องได้รับคำสั่งจากทหารอาวุโสให้เข้าไปทำงานด้านเอกสาร ภายในสำนักงานของค่ายทหาร ร่วมกับพนักงานคนอื่นๆ ประมาณ 10-11 คน แม้จะอยู่ในสถานที่ไม่ได้ลับตาและมีผู้คนทำงานด้านในจำนวนมาก เขาก็ยังถูกล่วงละเมิดทางเพศจากทหารอาวุโส

“อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ผมคิดว่า มันก็คือการล่วงละเมิดทางเพศเหมือนกัน มีทหารอาวุโสเขาน่าจะมีอายุที่มากที่สุดในห้องทำงานนั้นแล้ว ชอบแตะเนื้อต้องตัวผม ทั้งกอดบ้าง เอาตัวมาซุกบ้าง แล้วทำในที่ที่มีคนอยู่เยอะๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมเจอ เพราะเขารู้กันว่า ผมกำลังโดนใครทำอะไร

“ช่วงตอนกลางคืนวันหนึ่ง ที่ผมยังไม่ได้เข้าไปในโรงนอน ทหารอาวุโสคนนั้นโทรมาหาผมบอกผมว่า จะมารับจากค่ายออกไปข้างนอก เหมือนจะเป็นบ้านพักของเขา แล้วเช้ามืดเขาจะกลับมาส่ง ผมคิดว่าเขาอาจจะพาเราไปนั่งดื่มที่บ้านเขา หรือทำอะไรกับเรามากกว่านั้น ตัวผมไม่โอเคเอามากๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พอดีว่าตอนนั้นมีโครงการพลทหารอาสาไปทำงานอื่น ผมจึงหนีด้วยการไปสมัคร เพราะไม่กล้าปฏิเสธเขาไปตรงๆ เพราะเราเป็นพลทหาร กลัวว่าจะมีเรื่องอื่นๆ ตามมาถ้าเราปฏิเสธ”

นับว่าโชคดี ที่สามารถหลีกเลี่ยงคำชวนกึ่งบังคับของทหารอาวุโสรายดังกล่าวได้ แต่สำหรับตั้ม แม้จะเข้าสู่กองร้อยที่ได้รับอิสระในค่ายทหารมากขึ้น แต่การละเมิดทางเพศแบบซึ่งหน้ายังคงมีให้เห็น

“ตอนผมขึ้นกองร้อยไปแล้ว เวลาเราอาบน้ำจะมีครูฝึกมายืนดูเราอาบน้ำครับ ในสภาพตอนนั้นคือทุกคนเปลือยหมด บางทีเขาจะมีการเดินมาจับก้น ซึ่งผมไม่แน่ใจว่า พลทหารที่โดนทำแบบนั้น เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าหรือสวมเสื้อผ้าอยู่”

ในแง่สถิติของทหารเกณฑ์ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ยังไม่มีการสำรวจและยังไม่มีการเปิดเผยว่า มีหน่วยงานใดเก็บข้อมูลหรือไม่ แต่จากการสอบถามกับตั้มและพิจารณาจากคำตอบของก้อง พบว่า พลทหาร 1 คน มีโอกาสถูกล่วงละเมิดทางเพศได้มากกว่า 1 ครั้ง และหลายรูปแบบ ตั้มให้ข้อมูลว่า ภายในค่ายทหารจะมีการล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นประมาณ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยมากคือ การสั่งให้ทหารทำกิจกรรมที่เรียกว่า ‘รถไฟ’ (สั่งให้พลทหารจับอวัยวะเพศของพลทหารรายอื่นๆ) และเช็กน้ำ (สั่งให้ทหารสำเร็จความใคร่และนำน้ำอสุจิมาส่ง) แต่ในกรณีการ ‘ข่มขืน’ พลทหาร ทั้ง 2 คนยังไม่เคยพบเห็นหรือมีประสบการณ์ แต่ใช่ว่าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น

จากข้อมูลรายงาน เราก็เป็นแค่ของเล่นเขา ที่จัดทำโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล พบว่า ในจำนวนทหารเกณฑ์ 17 คนที่มีประสบการณ์พบเห็นหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ มี 3 คน ที่พบเห็นหรือถูกข่มขืน แบ่งเป็นการพยายามข่มขืน 1 คน การทำเหมือนการข่มขืน 1 คน และมีพลทหารอีก 2 คน ถูกบังคับให้ตอบสนองความใคร่ของครูฝึก เหยื่อมักเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+)

ยกตัวอย่างกรณีของ ‘ฟง’ พลทหารที่ไม่ได้ปิดบังรสนิยมทางเพศ ให้สัมภาษณ์กับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า ขณะเข้าโรงนอน มีครูฝึก 5-6 คน มุดมุ้งมานอนอยู่ข้างๆ ครูฝึกคนหนึ่งพยายามมเอาอวัยวะเพศยัดใส่ปากของฟง ส่วนคนที่นอนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “เป็นไง น้องน้ำหวาน” นอกจากนี้ ฟงยังถูกสั่งให้ทำท่าโก้งโค้งและจับเท้าของตัวเอง จากนั้นครูฝึกอีกคนก็ทำท่าทางเหมือนกำลังมีเพศสัมพันธ์จากทางด้านหลัง ฟงสัมผัสถึงอวัยวะเพศของครูฝึกได้ ทั้งยังเห็นว่า กลุ่มครูฝึกส่งเสียงหัวเราะต่อหน้าเขา

ทหารเกณฑ์บางรายถูกข่มขืนทั้งๆ ที่มีครอบครัวแล้ว ข้อมูลนี้ถูกบันทึกไว้ในรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยอ้างอิงจากคำบอกเล่าของ ‘แดง’ พลทหารที่เคยพบเห็นพลทหารคนอื่นๆ ถูกข่มขืนต่อหน้า

“ประมาณ 6 โมงเช้า ตอนที่ทหารเกณฑ์ต้องไปอาบน้ำ มีนายร้อยคนหนึ่งจะบอกให้ทหารอาบน้ำให้เสร็จเร็วๆ ภายใน 6 โมงครึ่ง แล้วเขาก็จะบังคับให้ทหารคนหนึ่งมีอะไรกับเขาในห้องน้ำนั่นแหละ เกิดขึ้นหลายครั้งเลยครับ นายร้อยคนนั้นทำแบบนี้กับทหารเกณฑ์ทุกผลัด ยังโอเคอยู่ที่ผลัดใหม่เข้ามาแล้วเขาก็จะเลิกยุ่งกับเรา

“เราต้องยืนเคารพธงชาติตอน 6 โมง แล้วหลังจากนั้นค่อยไปอาบน้ำ บางทีผมได้อาบน้ำตอนที่เขามีอะไรกัน แล้วนายร้อยเขาก็จะขู่ผมว่า ‘ปิดปากไว้นะ รู้ใช่ไหมว่าจะเจออะไร ถ้าเอาไปพูด’ แต่เขาไม่ได้สั่งซ่อม มี 2 คนที่ผมรู้จักเคยถูกบังคับให้มีอะไรด้วย เขาเป็นผู้ชายแท้ทั้ง 2 คนเลย ช่วงตอนฝึกตอนแรก นายร้อยเขาจะเลือกทหารมาก่อน 3 คน แล้วเขาจะให้นวด เขาชอบคนไหนมากที่สุด เขาก็จะมีอะไรกับคนนั้นแหละ

“ตอนแรกๆ ก็เริ่มจากทางปาก แล้วมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นการสอดใส่ ตอนที่ผมเห็นคือเป็นทางปาก คนที่โดนเรียก เขากลัวเลยไม่กล้าบอกใครหรอก เขาเป็นนายทหารตำแหน่งสูง มีคนหนึ่งที่เจอแบบนี้ เขามีลูกมีเมียแล้วแต่ก็ต้องทำ เขาบ่นไม่ได้ ก็ต้องทนๆ ไป เขารู้ว่าพอมีผลัดใหม่เข้ามา เขาก็จะรอด” แดงให้สัมภาษณ์ เมื่อเดือนตุลาคม 2562

ในบรรดาเรื่องเล่าการพบเห็นการข่มขืนพลทหารของแดง เหยื่อจะหลุดพ้นได้ต้องรอทหารผลัดต่อไป เพื่อที่ผู้กระทำจะหาเหยื่อรายใหม่ ชี้ให้เห็นว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นอาชญากรทางเพศแบบต่อเนื่อง ไม่แน่ว่าการกระทำเช่นนี้อาจดำเนินต่อไป เนื่องจากยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ใครเป็นผู้กระทำ แล้วเราจะเอาหลักฐานอะไรมายืนยันและขอความยุติธรรมให้กับพลทหาร ในเมื่อกล้องวงจรปิดภายในค่ายทหารหลายแห่ง ทุกวันนี้ยังคงใช้งานไม่ได้

[2]

ความยุติธรรมของผู้มี ‘สภาวะไร้อำนาจ’

ตั้มและก้องเป็นทหารเกณฑ์คนละค่าย แต่พฤติการณ์การล่วงละเมิดทางเพศกลับมีลักษณะคล้ายคลึงกัน น่าสังเกตว่า คำสั่งให้กระทำการใดในลักษณะนี้มีอยู่ในข้อกำหนดระเบียบ หรือวินัยของกองทัพ ไปจนถึงบรรจุเป็นหลักสูตรการฝึกขั้นพื้นฐานของทหารเกณฑ์หรือไม่

ผู้เขียนพูดคุยประเด็นนี้กับ พรพิมล มุกขุนทด ทนายความมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ผู้ดูแลคดีการอุ้มหาย การละเมิด และการซ้อมทรมานทหารเกณฑ์ ได้คำตอบว่า คำสั่งของครูฝึกที่ระบุให้พลทหารกระทำการใดอันเข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ได้มีอยู่ในหลักสูตรการฝึกขั้นพื้นฐานของทหารเกณฑ์แต่อย่างใด

“เราพยายามค้นหาเนื้อหาในหลักสูตรว่า มีการระบุคำสั่งส่อการล่วงละเมิดทางเพศไหม แต่ก็ยังไม่เจอเหมือนกัน ตั้งแต่การให้อำนาจครูฝึกสั่งพลทหารถอดเสื้อผ้า สั่งให้เปลือยเปล่าก่อนให้พลทหารนอนทับสไลด์ตัวกัน ระเบียบเช่นนั้นมันไม่มีอยู่”

เมื่อตรวจสอบรายละเอียดพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 นอกจากจะกำหนดพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยทหารแล้ว ยังมีการระบุถึงลักษณะของการ

ลงทัณฑ์’ เอาไว้ 5 สถาน ได้แก่

1. ภาคทัณฑ์ ผู้กระทำผิดอันควรต้องรับทัณฑสถานหนึ่งสถานใดใน 5 สถาน แต่มีเหตุอันควรปราณี จึงเป็นแต่แสดงความผิดของผู้นั้นให้ปรากฏ หรือทำทัณฑ์บนเอาไว้

2. ทัณฑกรรม คือการให้กระทำการสุขา การโยธา หรืออื่นๆ เพิ่มขึ้นจากหน้าที่ประจำซึ่งตนต้องปฏิบัติอยู่แล้วหรือปรับให้อยู่เวรยามนอกจากหน้าที่ประจำ

3. กัก คือกักตัวไว้ในบริเวณหนึ่งตามที่จะกำหนดให้

4. ขัง คือการขังในที่ควบคุมแต่เฉพาะคนเดียวหรือรวมกันหลายคนแล้วแต่คำสั่ง

5. จำขัง คือการขังโดยส่งไปฝากให้อยู่ในการควบคุมของเรือนจำ

อย่างไรก็ดี ‘กฎเหล็ก’ ของการลงทัณฑ์พลทหารทั้ง 5 สถาน ผู้บังคับใช้ต้อง ‘ห้ามแตะเนื้อต้องตัว’ พลทหารโดยเด็ดขาด ทั้งยังห้ามมิให้ดัดแปลงหรือกระทำการนอกเหนือจากที่ระบุไว้

“เรามีคดีทหารเกณฑ์ที่สู้กันที่ศาลอาญาเชียงใหม่ เป็นเคสที่มีทหารเสียชีวิต ซึ่งกองทัพได้ส่งระเบียบของเขามาสู้ในศาลว่า มีระเบียบอะไรบ้าง ทหารมีอำนาจสามารถสั่งพลทหารฝึกได้เพียง 12 ท่า ซึ่งเขาจะแจ้งตลอดว่า กระบวนท่าเหล่านี้จะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวพลทหารเลย และการปฏิบัติที่นอกเหนือจาก 12 ท่า คือการกระทำที่ผิดตามวินัยของทหารทั้งหมด หมายความว่า การสั่งให้ถอดเสื้อผ้า ให้พลทหารสไลด์ตัวบนเนื้อตัวร่างกายกัน หรือสั่งให้จับอวัยวะเพศกัน เป็นเรื่องของการล่วงละเมิดต่อกฎหมายและวินัยของทหาร” พรพิมลกล่าว

ในหลายครั้งหลายกรณีการล่วงละเมิดทางเพศกรณีที่ไม่ใช่พลทหาร หลายคนตั้งคำถามกับ ‘ความยินยอมพร้อมใจ’ ของเหยื่อผู้ถูกกระทำจนบางครั้งนำไปสู่การไม่เข้าข้างเหยื่อ และเอนเอียงสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ลงมือกระทำมากกว่า

ในกรณีการล่วงละเมิดทางเพศของทหารเกณฑ์ หลายกรณีพบว่า พลทหารไม่มีการต่อต้านอย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับตั้มและก้องที่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งในกิจกรรมเช็กน้ำและรถไฟแต่โดยดี ซึ่งเหตุผลเกิดจากการมีอำนาจต่อรองน้อยและเสี่ยงต่อการถูกลงโทษ เมื่อไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง

“ครูฝึกเป็นทหารเกณฑ์ผลัดก่อน เข้ามาในค่ายก่อนผม 2 ปี พลทหารก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านคำสั่งของเขา แม้บางคนอาจจะไม่เห็นด้วย เพราะภายในค่ายทหารจะมีบรรยากาศของความเป็นโซตัส ถ้ารุ่นน้องขัดรุ่นพี่ก็จะเกิดปัญหา เราจะอยู่ในค่ายลำบาก” ก้องเสริมต่อว่า เมื่อมีคำสั่งจาก ‘รุ่นพี่’ ที่ส่อแนวจะเกิดการล่วงละเมิดทางเพศ พลทหารจะใช้วิธีการแกล้งทำ หรือหลบเข้ามุมลับตาครูฝึกแทนการแสดงท่าทีต่อต้านคำสั่งโดยตรง

เช่นเดียวกันกับตั้ม การต่อต้านอาจทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ในภายหลัง

“ไม่มีใครกล้าไปร้องเรียนหรือต่อต้านคำสั่งหรอก ถ้าเราไปบอกกับทหารยศนายสิบที่เป็นเวร เราก็จะโดนเอาไปเล่นทีหลัง ถ้าเราไปบอกครูฝึกที่มียศเป็นร้อยเอก เราก็จะโดนนายสิบกับครูผู้ช่วยเล่นอีก

“ผมไม่เคยเห็นใครต่อต้านคำสั่งของครูฝึกเลย มันต่อต้านไม่ได้ เพราะหากมีคนลุกขึ้นมาคัดค้านกับคำสั่งเขา เราจะไม่โดนลงโทษแค่คนเดียว แต่จะโดนกันทั้งหมด ทั้งสั่งให้ดันพื้น ลุกนั่ง ม้วนหน้าและกลิ้งไปกับพื้น”

พลทหารที่ต้องการร้องเรียนการกระทำที่เกิดขึ้นกับตน และขอความเป็นธรรมกรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ มักจะกระทำได้โดยการร้องต่อผู้บังคับบัญชาภายใน จากนั้นผู้บังคับบัญชาจึงแจ้งกับครูฝึกอีกทอดหนึ่ง เพื่อให้ระงับการกระทำ แต่เมื่อพลทหารยังอยู่ในความควบคุมดูแลของครูฝึกคนดังกล่าว จึงมีโอกาสที่ครูฝึกจะอาศัยอำนาจสั่งให้มีการลงโทษแบบลับๆ ในยามวิกาล ที่สำคัญ อำนาจของผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศในการต่อรองน้อยกว่าผู้กระทำที่เป็นทหารติดยศ จึงเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธคำสั่ง

พรพิมลให้ข้อมูลว่า ผู้มีอำนาจสั่งการ หรือลงมือกระทำการล่วงละเมิด มักเป็นทหารที่อยู่ตำแหน่งครูฝึก เช่น ทหารยศนายสิบ ผู้บังคับบัญชาของหมู่หรือหน่วยทหาร มีการสั่งการอย่างเป็นลำดับขั้นของอำนาจ โดยมากหัวหน้ากองจะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอีกทอดหนึ่ง

ส่วนการร้องเรียนของความเป็นธรรมของทหารเกณฑ์ก็มีอุปสรรค ส่วนหนึ่งเพราะสังคมภายในค่ายทหารเป็นแบบปิด การตั้งคำถามกับคำสั่งของพลทหาร อาจส่งผลให้พลทหารเผชิญกับการลงโทษแบบหมู่ที่รุนแรง เกินสมรรถภาพทางร่างกายจะรับไหวจนถึงแก่ชีวิต ในกรณีนี้พรพิมลอธิบายว่า พลทหารถูกทำให้ตกอยู่ในสภาวะที่ ‘ไร้อำนาจ’ อย่างสิ้นเชิง

“เช่น ถ้าเราจะติดต่อคนคนข้างนอกค่ายทหาร เพื่อแจ้งว่าตนเองกำลังถูกละเมิดอยู่ภายในค่ายก็เป็นเรื่องยาก เพราะใน 1 สัปดาห์ พลทหารสามารถโทรศัพท์ไปยังที่บ้านได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น

“มีกรณีที่พลทหารพยายามจะแจ้งกับครอบครัวที่เดินทางไปเยี่ยมภายในค่าย แต่ต้องเรียนว่า ทุกครั้งที่มีการแจ้งข้อมูลออกมาด้านนอกค่าย มีการรายงานแก่สื่อมวลชน ปรากฏว่าผู้ที่ถูกล่วงละเมิดยังคงอยู่ในการควบคุมของผู้บังคับบัญชาอยู่ดี จึงอาจจะมีการสั่งการจากผู้บังคับบัญชาล่วงหน้า เช่น ห้ามไม่ให้พูดถึงเหตุการณ์ล่วงละเมิดที่เกิดขึ้น ข่มขู่ว่าหากเผยแพร่ข้อมูลจะไม่ให้ญาติเข้ามาเยี่ยม ไม่อนุญาตให้ติดต่อกับครอบครัว หรือสั่งลงโทษ ลองนึกเล่นๆ ว่า ทหารเกณฑ์กลุ่มนี้จะทำอะไรได้”

ปัจจุบันมีพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565 ที่คุ้มครองพลทหารทั้งการป้องกัน-ปราบปราม-เยียวยา แก่ทหารเกณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากการกลั่นแกล้ง และการใช้อำนาจในทางมิชอบของทหารชั้นสูง การเปิดเผยการกระทำที่รุนแรง เข้าข่ายละเมิดและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ภายในแดนสนธยาอย่างค่ายทหารจึงเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากว่าการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นกับพลทหาร เป็นที่รับรู้ทั้งในหน้าสื่อ รวมทั้งผู้ถูกกระทำพยายามพาตัวเองเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในศาลพลเรือน ยังคงมีความจำเป็นต้องใช้พยานยืนยันความผิดของผู้มีอำนาจ ซึ่งนับเป็นเรื่องยาก เนื่องจากพยานผู้พบเห็นส่วนมากคือ พลทหารที่ไร้ยศภายในค่าย เสี่ยงต่อการถูกอำนาจขมขู่และลงโทษระหว่างเป็นพยานของผู้เสียหาย ขณะที่ศาลทหารมีความพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะดึงคดีความที่เกี่ยวข้องกับทหารทั้งหมด กลับเข้าไปพิจารณาคดีความในพื้นที่ปิดอีกครั้ง ดังคำบอกเล่าของพรพิมล

“เคสทหารเกณฑ์ที่ขึ้นศาลอาญาทุจริต จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศาลพลเรือน ทหารพยายามที่จะให้คดีที่เกิดขึ้นกลับไปที่ศาลทหาร โดยการยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลวินิจฉัย ล่าสุดเขาก็ยื่นมาอีกครั้ง ขอให้ศาลอาญาวินิจฉัย ขอให้ศาลทหารวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวข้องกับทหารอย่างการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คดีทรมานต้องไปขึ้นศาลทหาร” พรพิมลระบุ

[3]

ไม่แก้โครงสร้าง

การละเมิดทางเพศจะดำเนินไปไม่รู้จบ

“เวลาที่เราดูข่าวเห็นอะไรเกิดขึ้นกับทหารเกณฑ์ แล้วเรานึกถึงเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นภาพที่อยู่ในหัว เราจำมันได้อยู่”

แม้จะผ่านการเกณฑ์ทหารและออกจากค่ายทหารมาแล้วเป็นหลายปี แต่ในวันนี้ ตั้มยังคงจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องน้ำรวมนั้นได้ เขายังเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้เห็นเพื่อนพลทหารถูกบังคับให้ดื่มฉี่ของเพื่อนคนอื่นๆ อย่างละเอียด เหมือนกับที่เขายังจำตัวเลขการถูกล่วงละเมิดทางเพศในค่ายทหารแต่ละอาทิตย์ได้

สำหรับก้อง เขามองเห็นเพื่อนพลทหารที่ใช้ชีวิตร่วมกันภายในค่าย กลายเป็นคนบกพร่องในการสื่อสาร เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขาด้วยโรคเก๊า ทำให้เพื่อนไม่สามารถทำกิจกรรมตามคำสั่งของครูฝึก การกลั่นแกล้งจึงเป็นวิธีการเอาคืนของทหารยศสูง ฐานไม่ทำตามคำสั่ง ส่งผลให้เพื่อนของก้องหวาดกลัวคำสั่งของทหารยศสูง ที่กระทำกับเขาอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ตลอดหลายเดือน และวันนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมว่า เขาเป็นอย่างไรบ้าง

“สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ เขาพยายามพูดคุยแต่มันจะออกมาแบบตะกุกตะกัก แล้วจะไม่มองหน้าเรา เขาจะมองพื้นดูเหม่อๆ เขากลัว เวลามีคนแซวอะไรเขาก็จะรีบทำตาม เพราะกลัวโดนลงโทษอีก”

ผู้เขียนตั้งคำถามถึงการกระทำที่โหดเหี้ยมกับเพื่อนมนุษย์แบบนี้กับพรพิมล ที่คร่ำหวอดกับการทำคดีละเมิดสิทธิของทหารเกณฑ์ โดยเธอกล่าวว่า ครูฝึกเหล่านี้ที่ปฏิบัติต่อพลทหารอย่างไรมนุษย์ น่าจะเคยมีประสบการณ์ถูกกระทำมาก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งสถานการณ์กดขี่ บ้าอำนาจที่เขาเจอ จึงถูกส่งต่อมายังพลทหารคนอื่นๆ

เพราะการบ่มเพาะจากระบบที่เก็บงำความรุนแรงไว้ใช้กับคนอื่นแบบนี้ ไม่นานย่อมถ่ายเทไปหาบุคคลอื่นๆ ในสังคม และพฤติกรรมอย่างเดียวกันนี้จะถูกส่งต่ออย่างไม่รู้จบ หากเรายังไม่สามารถแก้โครงสร้างนั้นได้

“ผมไม่เชื่อว่าการกระทำแบบนั้นจะไม่มีแล้ว เพราะว่ามันยังไม่มีการแก้ไข มันไม่ใช่แค่เรื่องตัวบุคคล มันเป็นทั้งระบบ รับรู้แล้วแต่ไม่มีการแก้ไข ผมว่ามันยังมีอีกเยอะที่พลทหารยังถูกกระทำแบบนี้ มันไม่มีอะไรดีเลย” ก้องทิ้งท้าย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...