โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Sretthaplomacy: บทสรุปการทูตกินได้ของ ‘เซลส์แมนเศรษฐา’ กับบทบาทไทยท่ามกลางความผันผวน

The MATTER

อัพเดต 12 ธ.ค. 2567 เวลา 10.45 น. • เผยแพร่ 12 ธ.ค. 2567 เวลา 09.41 น. • Book

358 วัน – นั่นคือระยะเวลาทั้งหมดที่ เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย

14 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 ให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปมทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถือว่าขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์จุริตเป็นที่ประจักษ์ ประตูทำเนียบรัฐบาลจึงต้องปิดลงสำหรับนายกฯ ที่เป็นผู้นำรัฐบาลพลเรือนคนแรกในรอบ 10 ปี

แม้จะไม่ครบขวบปี แต่การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาลชุดดังกล่าวก็เป็นที่จับตา แนวทางหนึ่งที่ถูกเน้นย้ำมาตลอดคือ ‘การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก’ ดังที่เศรษฐากล่าวในการมอบนโยบายเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ว่า การทูตแบบใหม่จะต้อง “เป็นการทูตที่จับต้องได้ เป็นการต่างประเทศที่กินได้”

เช่นเดียวกับ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลเศรษฐา เคยให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ถึงแนวทางการดำเนินนโยบายแบบดังกล่าวว่า “[การทูต] เศรษฐกิจเชิงรุก … มีความหมายว่า จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสงบ และมีชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น”

หนังสือ Sretthaplomacy: Thai Foreign Policy in the Age of Srettha and Beyond เขียนโดย ฑภิพร สุพร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาการระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Crackers Books พยายามจะสรุปแนวทางนโยบายต่างประเทศภายใต้เศรษฐา และตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด ‘การทูตเศรษฐา’ จึงเน้นหนักในด้านเศรษฐกิจ ที่พยายามตอบโจทย์ภายในประเทศมากกว่านอกประเทศ

‘Sretthaplomacy’ เป็นคำที่ฑภิพรคิดค้นเพื่อใช้อธิบายแนวทางการทูตของรัฐบาลเศรษฐา ซึ่ง ‘มีสีสัน’ และเป็นการทูตเชิงรุก (proactive) มากขึ้น โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เพื่อดึงดูดนักลงทุนและขายสินค้าไทยสู่ตลาดโลก จะเห็นได้จากการเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ในแง่นี้ ฑภิพรตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐาจัดวางตัวเองเป็น ‘เซลส์แมน’ รวมถึงมีสไตล์การบริหารแบบ ‘ซีอีโอ’ คล้ายคลึงกับในสมัยของ ทักษิณ ชินวัตร

ข้อเสนอหลักของหนังสือเล่มนี้คือ การเมืองภายใน (domestic politics) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทั้งจำกัดและกำหนดแนวทางนโยบายต่างประเทศของไทย

โจทย์หลัก 3 ประการของรัฐบาลเศรษฐา ที่ฑภิพรยกขึ้นมาคือ (1) การสร้างความชอบธรรมทางการเมือง ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคร่วมฯ ปัจจุบัน จัดตั้งรัฐบาล (2) การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ ซึ่งมี ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ เป็นภาพแทนที่สำคัญของเรื่องนี้ และ (3) การกระตุ้นการท่องเที่ยว ภายหลังฟื้นตัวจากวิกฤต COVID-19

ข้อเสนอที่ตามมาของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือ เพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมือง การสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศจึงสำคัญ เพราะจะนำไปสู่การเป็นที่ยอมรับของรัฐบาล ประเด็นนี้สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องความชอบธรรมที่เกิดจากสร้างผลงาน (performance legitimacy) ที่เสนอโดย พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในแง่นี้ ฑภิพรชี้ว่า เราจึงยังคงเห็นไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันไม่ต่างจากในสมัยของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือกระทั่งอาจจะแน่นแฟ้นกันมากกว่าเดิม

สำหรับหนังสือเล่มนี้ การเมืองภายในเป็นปัจจัยหลักเพียงหนึ่งเดียวที่กำหนดทิศทางของการต่างประเทศไทย อย่างไรก็ดี น่าตั้งข้อสังเกตว่า ยังมีตัวแสดงอีกหลากหลาย ที่ไม่ใช่ฝ่ายการเมือง ซึ่งมีส่วนส่งผลต่อการดำเนินนโยบายของไทยด้วย เช่น กระทรวงการต่างประเทศ หรือฝ่ายความมั่นคงในกรณีของการสานสัมพันธ์กับจีนและซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากจีน หากหนังสือกะทัดรัดเล่มนี้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ก็คงจะพิจารณาบทบาทของผู้เล่นเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน

ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลก การแข่งขันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลาง การแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างตะวันออกกับตะวันตก การมาของ generative AI และรถยนต์ EVs ฑภิพรเสนอว่า ช่วงเวลานับจากนี้ คือโอกาสของไทยในการแสดงบทบาททางการทูต ในฐานะ ‘อำนาจขนาดกลาง’ (middle power) รวมถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะในเรื่องการแข่งขันทางเทคโนโลยี หนังสือเล่มนี้เสนอว่า ไทยควรให้ความสนใจ เพราะถือเป็นโอกาสที่ไทยจะเป็นตลาดทดแทน หากสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีต่อจีน ทั้งนี้ ไทยเองก็มีเสถียรภาพทางการเมืองในระดับหนึ่ง รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง รองรับการลงทุนจากต่างประเทศได้

ในเรื่องความมั่นคง ชัดเจนว่าไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป (Mainland Southeast Asia) มาโดยตลอด ดังนั้น ฑภิพรชี้ว่า การแก้ปัญหาวิกฤตในเมียนมาเป็นอีกหนึ่งโอกาสของไทยในการแสดงบทบาทในฐานะอำนาจขนาดกลาง ซึ่งต้องใช้การดำเนินการแบบพหุนิยม (multilateralism) กล่าวคือ มีความร่วมมือกับหลายฝ่ายภายใต้กรอบอาเซียน โดยยึดหลักฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus)

ในขณะเดียวกัน ฑภิพรเสนอว่า ไทยควรรักษาสมดุลในการเมืองมหาอำนาจให้ดี การใกล้ชิดจีนมากเกินไปอาจทำให้ไทยเข้าไปอยู่ในความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น (หากเกิดกรณีที่จีนประกาศสนับสนุนรัสเซีย เป็นต้น) ขณะที่หนังสือเล่มนี้ก็ยอมรับว่า นโยบายของสหรัฐฯ หลายครั้งก็สัญญาไว้มากเกินไป (overpromised) และทำจริงน้อยเกินไป (underdelivered) เขาจึงเสนอ 3 ผู้เล่นที่ไทยสามารถกระจาย (diversify) ความสัมพันธ์ได้ นั่นคือ สหภาพยุโรป (European Union) ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

จากมุมมองของสื่อมวลชน ต้องบอกว่า เราเริ่มเห็นการดำเนินการต่างๆ ของไทยที่สอดคล้องกับข้อเสนอข้างต้นเป็นรูปธรรมบ้างแล้วภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดย แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

การทูตเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ สอดคล้องกับข้อเสนอของหนังสือที่ระบุว่า แนวทางนโยบายต่างประเทศแบบ ‘Sretthaplomacy’ จะดำเนินต่อไป แม้ไม่มีเศรษฐาอยู่ในตำแหน่ง ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นได้ใน 2-3 เรื่อง อาทิ การเข้าสู่กระบวนการเป็นสมาชิก OECD และการแสดงเจตจำนงในการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม BRICS ที่มีเป้าหมายทางเศรษฐกิจเป็นโจทย์สำคัญ

รัฐมนตรีฯ มาริษเองก็ได้เน้นย้ำบทบาทของไทยในการสนับสนุนพหุภาคีนิยมในหลายๆ เวที ทั้งในกรอบสหประชาชาติ (UN) หรือความร่วมมือระดับภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะในกรอบอาเซียน ซึ่งในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ไทยได้ประกาศเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการหารืออย่างไม่เป็นทางการในเรื่องเมียนมา โดยจะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม

ที่สำคัญคือ ในท้ายที่สุดแล้ว คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่า การดำเนินนโยบายเช่นนี้จะทำให้ไทยได้ประโยชน์หรือมีบทบาทมากน้อยแค่ไหน

แต่เรื่องเหล่านี้ก็กลับมาตอกย้ำความสำคัญของนโยบายต่างประเทศที่จะมีมากขึ้นทุกวันในปัจจุบัน ดังที่ผู้เขียนหนังสือ Sretthaplomacy ระบุว่า “โอกาสที่สำคัญที่สุดกำลังอยู่ในมือของรัฐบาลของนายกฯ แพทองธาร ในการฟื้นคืนฐานะของไทยในเวทีโลก และสร้างบทบาทใหม่ในฐานะอำนาจขนาดกลาง”

หนังสือ Sretthaplomacy เล่มนี้ จึงเปรียบเสมือน ‘สแน็ปช็อต’ ที่สรุปรวบยอดการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย ในช่วงเวลาเกือบ 1 ปีภายใต้รัฐบาลเศรษฐา พร้อมชวนคิดไปถึงความเป็นไปได้ของการต่างประเทศไทย ในรัฐบาลแพทองธาร และต่อไปในอนาคต
Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editor: Thanyawat Ippoodom

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...