ไม่นานมานี้ผมเดินผ่านร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งกลางเมือง ชายต่างชาติคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้าน ข้าง ๆ เป็นกระเป๋าเดินทางใบเล็ก
เขาเรียกผม ถามผมว่า “คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม?”
ผมตอบว่า “ได้”
เขาบอกว่า “ดีเลย ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม?”
“อะไรครับ?”
“ฝากซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์หน่อย”
“ทำไมคุณซื้อไม่ได้?”
สีหน้าเขาหงอยมาก
“เขาต้องใช้บัตรประชาชนไทย”
ปกติหากมีคนแปลกหน้าที่สุภาพเรียบร้อยขอให้ทำเรื่องใด ผมก็มักช่วย แต่ครั้งนี้สัญชาตญาณของผมเตือนให้ระวัง
ผมตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ แล้วจากมา
ข่าวเรื่องการใช้โทรศัพท์เพื่อก่อการร้ายยังค้างในหัว ผมไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คนร้ายยังใช้โทรศัพท์จุดระเบิดหรือเปล่า หรือสามารถนำซิมการ์ดไปใช้ในทางมิชอบอย่างไรอีก ผมอาจคิดมากไปก็ได้ ชาวต่างชาติคนนี้อาจจะไม่ได้คิดการร้ายอะไร แต่ในโลกทุกวันนี้ เราไม่มีทางรู้ว่าใครจะหลอกใคร ตัวอย่างล่าสุดก็เช่นเรื่องผลตอบแทน 93 เปอร์เซ็นต์
แทบไม่มีวันใดในประเทศนี้ผ่านไปโดยไม่มีใครหลอกใคร
เราอยู่ในโลกที่การหลอกลวงเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจสังคม จนบางครั้งก็ทำให้เราไม่กล้าทำดี
ชีวิตที่ดีไม่ใช่การเดินคนเดียว คือความเผื่อแผ่ต่อคนอื่นด้วย แต่หากเราไม่เผื่อแผ่เพราะความระแวง มันก็เป็นโลกที่ไม่น่าอยู่
……………
เคยไหมที่เวลาเดินผ่านขอทานสักคน เราอยากช่วยเขา แต่เราไม่แน่ใจ เราไม่รู้ว่าเขาเป็นขอทานจริง หรือเป็นสมาชิกขบวนการมิจฉาชีพ หลายคนจึงเลือกไม่ช่วย เรารู้สึกไม่ดีเพราะถ้าเขาเดือดร้อนจริง ๆ ล่ะ?
แต่เราไม่รู้ เราจึงไม่ช่วย
เวลาเราเดินผ่านคนจากสมาคมอะไรสักแห่งที่ตั้งโต๊ะริมถนนรับบริจาคช่วยเหลือคนยากไร้ เราบริจาคไหม? หรือว่าเราไม่แน่ใจจึงไม่บริจาค?
ข่าวการโกงกิน ขโมยของบริจาคช่วงน้ำท่วมใหญ่ หรืออุบัติภัยธรรมชาติปรากฏขึ้นเสมอ มีกรณีเงินบริจาคมากมายไม่ถึงมือคนเดือดร้อน
ผมเองเจอกับตัวเองตรง ๆ ผมทำโครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุด บริจาคหนังสือให้เด็กในพื้นที่ไกล ๆ ได้อ่าน แต่ก็มีคนนำหนังสือบริจาคไปขาย
เรื่องเหล่านี้ทำให้เรากลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากกว่าเดิม
การอยู่ในสังคมที่หลอกทุกระดับทำให้เรากลายเป็นโรคกลัวทำดีไปโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่ความผิดของเรา มันเป็นกระบวนการของสัญชาตญาณการอยู่รอดตามธรรมชาติ
เรามีคำกล่าวว่า สังคมเลวเพราะคนดีท้อแท้ ความหมายของมันคือ คนไม่อยากทำดีเพราะเห็นว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี
แต่วันนี้มันอาจเพิ่มบริบทเข้าไปในอีกหนึ่งอย่างว่า คนอยากทำดี แต่ไม่ทำเพราะเป็นโรคไม่กล้าทำดี ระแวงว่าจะเป็นเหยื่อ
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพของสังคมโดยรวม โรคไม่กล้าทำดีจะทำให้กลายเป็นสังคมที่ไม่น่าอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ
คำถามคือ แล้วเราจะทำอย่างไร
หากเป็นกิจกรรมบริจาคเงินระดับชาติ เราคงตรวจสอบได้ไม่ยาก แต่หากเป็นกรณีกะทันหันอย่างเจอขอทานริมถนน หรือคนขอให้ซื้อซิมการ์ด หรือนักท่องเที่ยวในสนามบินขอให้เราช่วยเช็กอินกระเป๋าเดินทางให้ เพราะกระเป๋าของเขาน้ำหนักเกินกำหนดแล้ว หรือขอให้เราช่วยถือกระเป๋าให้ตอนผ่านด่านตรวจ เราคงรีเสิร์ชไม่ทัน
เรื่องบางเรื่องตัดสินใจไม่ง่ายเหมือนช่วยเข็นรถที่ตายกลางถนน หรือช่วยพาคนตาบอดข้ามถนน
ชีวิตที่ดีไม่ใช่การเดินคนเดียว คือความเผื่อแผ่ต่อคนอื่นด้วย แต่เราสามารถเผื่อแผ่บวกวิจารณญาณ
แปลว่าเราไม่ต้องหยุดช่วยเหลือคนอื่น เพียงแต่ระวังสักหน่อย
การทำดีก็ควรคิดรอบด้าน ไม่เพียงเรื่องความปลอดภัยของเราเอง แต่รวมถึงผลที่ตามมาของคนที่รับความช่วยเหลือด้วย เช่น ให้เงินคนยากไร้แล้ว ทำให้เขางอมืองอเท้าอย่างเดิมหรือไม่
โลกที่ดีขึ้นเกิดจากคนช่วยกัน แต่ก็ควรอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาและวิจารณญาณเช่นกัน
……………
วินทร์ เลียววาริณ