โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าสุดในรอบ 20 ปี กังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 08 ก.ค. 2565 เวลา 12.31 น. • เผยแพร่ 08 ก.ค. 2565 เวลา 12.31 น.

ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าสุดในรอบ 20 ปี กังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย เฟดพร้อมเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่เงินบาทยังคงอ่อนค่า ตลอดทั้งสัปดาห์แตะระดับอ่อนค่าสุดที่ 36.31/33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการณ์เคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราระหว่างวันที่ 4-8 กรกฎาคม 2565 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักตลอดทั้งสัปดาห์ โดยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 107.79 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปี เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย

โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 2.1% ในไตรมาส 2/65 จากเดิมที่บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มหดตัว 1.0% ขณะที่ไตรมาส 1 หดตัว 1.6% ซึ่งแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน

นอกจากนี้ในวันพุธ (6/7) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 14-15 มิถุนายน โดยระบุว่า กรรมการเฟดยังคงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อ แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ตาม

โดยกรรมการเฟดเชื่อว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% หรือ 0.75% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม ถือป็นเรื่องที่เหมาะสม และมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่รุนแรงมากขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐเริ่มเกิดภาวะ Inverted Yield Curve อีกครั้งในคืนวันพุธ (6/7) โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 52.7 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. จากระดับ 53.4 ในเดือน พ.ค. และดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 55.3 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563 แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 54.3 หลังจากแตะระดับ 55.9 ในเดือน พ.ค.

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 4,000 รายสู่ระดับ 235,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 230,000 ราย

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐลดลง 1.3% สู่ระดับ 8.55 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค. ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ระดับ 3.414 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 1.2% สู่ระดับ 2.558 แสนล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ตลาดรอจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ ประจำเดือน มิ.ย.ในวันศุกร์ (8/7) นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 250,000 ตำแหน่งในเดือน มิ.ย. ต่ำกว่าระดับ 390,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ค. นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.6% ในเดือน มิ.ย.

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (4/7) ที่ระดับ 35.66/68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (1/7) ที่ระดับ 35.55/57 บาท และยังปรับตัวอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดทั้งสัปดาห์แตะระดับสูงสุดที่ 36.31/33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (7/7) จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย

สำหรับปัจจัยภายในประเทศนั้น กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยในวันอังคาร (5/7) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือน มิ.ย. 65 อยู่ที่ระดับ 107.85 เพิ่มขึ้น 7.66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าที่ตลาดคาด 7.5% และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.9% จากเดือน พ.ค. 65 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือน มิ.ย. 65 อยู่ที่ระดับ 102.99 เพิ่มขึ้น 2.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.24% จากเดือน พ.ค. 65

ทั้งนี้จากอัตราเงินเฟ้อของไทยที่พุ่งขึ้นสูงอาจเป็นแรงกดดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในกkรประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทปรับตัวผันผวนช่วงท้ายสัปดาห์ จากแถลงการณ์ในวันศุกร์ (8/7) ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ค่าเงินบาทอ่อนค่าจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยอยู่ระดับกลางเทียบภูมิภาค แต่มีความผันผวนสูงขึ้น โดยค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด และ ธปท.พร้อมจะเข้าดูแลหากผันผวนผิดปกติ

พร้อมกันนี้ ธปท. มองว่า ค่าเงินบาทยังสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย และเงินเฟ้อยังเป็นไปตามคาด ซึ่งปัจจุบันยังไม่ถึงจุดสูงสุด และมีโอกาสเพิ่มถึง 8% เหตุเพราะฐานเงินเฟ้อต่ำ และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง แรงกดดันของค่าเงินบาทในฝั่งอ่อนค่าจะมีไม่มากนัก หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น และค่าขนส่งสินค้าเริ่มปรับลดลง

ทั้งนี้ ธปท.ระบุว่า การขึ้นดอกเบี้ยของไทยต้องค่อยเป็นค่อยไป และจะพิจารณาช่วงเวลาให้เหมาะสม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไม่ได้ฟื้นตัวมากหมือนสหรัฐ พร้อมย้ำว่าเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังแข็งแกร่ง สามารถรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ หากบาทผันผวนพร้อมเข้าแทรกแซงเงินบาท โดยไม่มีแนวคิดใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน นอกจากนี้หากขึ้นดอกเบี้ยจะมีมาตรการเฉพาะกลุ่มเพื่อดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยด้วย

อย่างไรก็ดี ธปท.มองว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ระดับก่อนโควิดในต้นปี 2566 และสู่ระดับศักยภาพปลายปี 2566 สำหรับค่าเงินบาทในระหว่างสัปดาห์เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 35.59-36.36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/7) ที่ระดับ 36.01/03 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดในวันจันทร์ (4/7) ที่ระดับ 1.0435/36 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อศุกร์ (1/7) ที่ระดับ 1.0454/57 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อย่างไรก็ดี ในระหว่างสัปดาห์ ค่าเงินยูโรปรับตัวอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 20 ปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับต่ำสุดที่ 1.012 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ในวันศุกร์ (8/7) เนื่องจากการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ จากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกถดถอย และจากความกังวลที่ว่าราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจะสร้างแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจของยูโรโซน ขณะที่สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีแนวโน้มที่จะยุติลง

นอกจากนี้ความแตกต่างในเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางในฝั่งสหรัฐและยุโรปก็ยังคงเป็นจุดสนใจของนักลงทุนเช่นกัน อีกทั้งในวันอังคาร (5/7) เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-บริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซนดิ่งลงสู่ระดับ 52.0 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน จากระดับ 54.8 ในเดือน พ.ค. ขณะที่สถาบันวิจัย Sentix ของเยอรมนีเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในยูโรโซนดิ่งลงในเดือน ก.ค. แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563 และบ่งชี้คาดการณ์การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นอกจากนี้ ในวันพฤหัสบดี (7/7) ได้มีการเปิดเผยรายงานการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งบ่งชี้ว่า ผู้กำหนดนโยบายของ ECB ได้หารือเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นในเดือน ก.ค. และจะเปิดโอกาสสำหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นในการประชุมครั้งต่อ ๆ ไป โดยอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนพุ่งแตะระดับ 8.6% ในเดือน มิ.ย. ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้บในเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 11 ปี

ทั้งนี้ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบ 1.0071-1.0462 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/7) ที่ระดับ 1.0118/23 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (4/7) ที่ระดับ 134.95/97 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ค่อนข้างทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (1/7) ที่ระดับ 134.93/94 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนปิดรับความเสี่ยงและเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ขณะที่ในวันศุกร์ (8/7) มีรายงานว่านายชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ในพื้นที่เมืองนาระ ณ เวลา 10.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย ส่งผลให้ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ณ เวลา 15.49 น. ได้มีการรายงานว่าเขาได้เสียชีวิตแล้วอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนมีการเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 134.77-136.22 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/7) ที่ระดับ 135.83/86 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...