ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าสุดในรอบ 20 ปี กังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย
ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าสุดในรอบ 20 ปี กังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย เฟดพร้อมเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่เงินบาทยังคงอ่อนค่า ตลอดทั้งสัปดาห์แตะระดับอ่อนค่าสุดที่ 36.31/33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการณ์เคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราระหว่างวันที่ 4-8 กรกฎาคม 2565 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักตลอดทั้งสัปดาห์ โดยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 107.79 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปี เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 2.1% ในไตรมาส 2/65 จากเดิมที่บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มหดตัว 1.0% ขณะที่ไตรมาส 1 หดตัว 1.6% ซึ่งแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
นอกจากนี้ในวันพุธ (6/7) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 14-15 มิถุนายน โดยระบุว่า กรรมการเฟดยังคงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อ แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ตาม
โดยกรรมการเฟดเชื่อว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% หรือ 0.75% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม ถือป็นเรื่องที่เหมาะสม และมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่รุนแรงมากขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐเริ่มเกิดภาวะ Inverted Yield Curve อีกครั้งในคืนวันพุธ (6/7) โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 52.7 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. จากระดับ 53.4 ในเดือน พ.ค. และดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 55.3 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563 แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 54.3 หลังจากแตะระดับ 55.9 ในเดือน พ.ค.
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 4,000 รายสู่ระดับ 235,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 230,000 ราย
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐลดลง 1.3% สู่ระดับ 8.55 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค. ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ระดับ 3.414 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 1.2% สู่ระดับ 2.558 แสนล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ตลาดรอจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ ประจำเดือน มิ.ย.ในวันศุกร์ (8/7) นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 250,000 ตำแหน่งในเดือน มิ.ย. ต่ำกว่าระดับ 390,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ค. นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.6% ในเดือน มิ.ย.
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (4/7) ที่ระดับ 35.66/68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (1/7) ที่ระดับ 35.55/57 บาท และยังปรับตัวอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดทั้งสัปดาห์แตะระดับสูงสุดที่ 36.31/33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (7/7) จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย
สำหรับปัจจัยภายในประเทศนั้น กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยในวันอังคาร (5/7) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือน มิ.ย. 65 อยู่ที่ระดับ 107.85 เพิ่มขึ้น 7.66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าที่ตลาดคาด 7.5% และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.9% จากเดือน พ.ค. 65 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือน มิ.ย. 65 อยู่ที่ระดับ 102.99 เพิ่มขึ้น 2.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.24% จากเดือน พ.ค. 65
ทั้งนี้จากอัตราเงินเฟ้อของไทยที่พุ่งขึ้นสูงอาจเป็นแรงกดดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในกkรประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทปรับตัวผันผวนช่วงท้ายสัปดาห์ จากแถลงการณ์ในวันศุกร์ (8/7) ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ค่าเงินบาทอ่อนค่าจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยอยู่ระดับกลางเทียบภูมิภาค แต่มีความผันผวนสูงขึ้น โดยค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด และ ธปท.พร้อมจะเข้าดูแลหากผันผวนผิดปกติ
พร้อมกันนี้ ธปท. มองว่า ค่าเงินบาทยังสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย และเงินเฟ้อยังเป็นไปตามคาด ซึ่งปัจจุบันยังไม่ถึงจุดสูงสุด และมีโอกาสเพิ่มถึง 8% เหตุเพราะฐานเงินเฟ้อต่ำ และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง แรงกดดันของค่าเงินบาทในฝั่งอ่อนค่าจะมีไม่มากนัก หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น และค่าขนส่งสินค้าเริ่มปรับลดลง
ทั้งนี้ ธปท.ระบุว่า การขึ้นดอกเบี้ยของไทยต้องค่อยเป็นค่อยไป และจะพิจารณาช่วงเวลาให้เหมาะสม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไม่ได้ฟื้นตัวมากหมือนสหรัฐ พร้อมย้ำว่าเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังแข็งแกร่ง สามารถรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ หากบาทผันผวนพร้อมเข้าแทรกแซงเงินบาท โดยไม่มีแนวคิดใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน นอกจากนี้หากขึ้นดอกเบี้ยจะมีมาตรการเฉพาะกลุ่มเพื่อดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยด้วย
อย่างไรก็ดี ธปท.มองว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ระดับก่อนโควิดในต้นปี 2566 และสู่ระดับศักยภาพปลายปี 2566 สำหรับค่าเงินบาทในระหว่างสัปดาห์เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 35.59-36.36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/7) ที่ระดับ 36.01/03 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดในวันจันทร์ (4/7) ที่ระดับ 1.0435/36 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อศุกร์ (1/7) ที่ระดับ 1.0454/57 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อย่างไรก็ดี ในระหว่างสัปดาห์ ค่าเงินยูโรปรับตัวอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 20 ปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับต่ำสุดที่ 1.012 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ในวันศุกร์ (8/7) เนื่องจากการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ จากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกถดถอย และจากความกังวลที่ว่าราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจะสร้างแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจของยูโรโซน ขณะที่สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีแนวโน้มที่จะยุติลง
นอกจากนี้ความแตกต่างในเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางในฝั่งสหรัฐและยุโรปก็ยังคงเป็นจุดสนใจของนักลงทุนเช่นกัน อีกทั้งในวันอังคาร (5/7) เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-บริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซนดิ่งลงสู่ระดับ 52.0 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน จากระดับ 54.8 ในเดือน พ.ค. ขณะที่สถาบันวิจัย Sentix ของเยอรมนีเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในยูโรโซนดิ่งลงในเดือน ก.ค. แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563 และบ่งชี้คาดการณ์การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ ในวันพฤหัสบดี (7/7) ได้มีการเปิดเผยรายงานการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งบ่งชี้ว่า ผู้กำหนดนโยบายของ ECB ได้หารือเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นในเดือน ก.ค. และจะเปิดโอกาสสำหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นในการประชุมครั้งต่อ ๆ ไป โดยอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนพุ่งแตะระดับ 8.6% ในเดือน มิ.ย. ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้บในเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 11 ปี
ทั้งนี้ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบ 1.0071-1.0462 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/7) ที่ระดับ 1.0118/23 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (4/7) ที่ระดับ 134.95/97 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ค่อนข้างทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (1/7) ที่ระดับ 134.93/94 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนปิดรับความเสี่ยงและเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ขณะที่ในวันศุกร์ (8/7) มีรายงานว่านายชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ในพื้นที่เมืองนาระ ณ เวลา 10.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย ส่งผลให้ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ณ เวลา 15.49 น. ได้มีการรายงานว่าเขาได้เสียชีวิตแล้วอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนมีการเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 134.77-136.22 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/7) ที่ระดับ 135.83/86 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ