เหตุสลด นักเรียนชาย วัย 6 ขวบ ในสหรัฐอเมริกา ลั่นไกครูกลางห้องเรียน ป.1 ตำรวจชี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ กำลังสอบสวนเพิ่มเติม
มีรายงานข่าวต่างประเทศ เกิดเหตุสลดเด็กชายวัย 6 ขวบ ยิงคุณครูผู้หญิงกลางห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 บาดเจ็บสาหัส เพื่อนร่วมชั้นต่างบอกว่าเป็นการยิงโดยเจตนา จนครูทรุดลงไปนั่งคุกเข่า ตำรวจเมืองนิวพอร์ท นิวส์ รัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ เข้าควบคุมตัว
เหตุสุดสลดนี้เกิดขึ้นภายในห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนประถมริชเน็ค (Richneck Elementary School) ในเมืองนิวพอร์ท นิวส์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อเวลา 14.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น โดยนักเรียนชายวัย 6 ขวบ ที่เป็นผู้ก่อเหตุ
และครูผู้หญิงที่เป็นเหยื่อกระสุนไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อ โดยนักเรียนวัย 6 ขวบคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ ระบุว่าเด็กที่ก่อเหตุ "ตั้งใจยิง" ขณะที่ครูทรุดลงไปนั่งคุกเข่าแต่ไม่มีนักเรียนคนอื่นได้รับบาดเจ็บ
ตำรวจเปิดเผยว่าครูที่ถูกยิงที่ถูกระบุเพียงว่าอยู่ในวัยประมาณ 30 ปี ถูกนำส่งศูนย์การแพทย์ "ริเวอร์ไซด์ รีจินัล" (Riverside Regional Medical Center) ส่วนเด็กอยู่ในความควบคุมของตำรวจและยืนยันว่า ไม่ใช่อุบัติเหตุ
- แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ ๓ พระอาการประชวร เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ
- เปิดจดหมายลุงไร้บ้าน เผยความรู้สึกหลังมีห้องเช่าของตัวเอง
- ไทย Vs มาเลเซีย สู้กันเดือด ไทยพลาดท่า ลุ้นแก้ตัวนัด 2 ในบ้าน
โรงเรียนประถมริชเน็ค เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 5-9 ปี และขณะเกิดเหตุไม่มีเด็กคนอื่นๆ ที่ตกอยู่ในอันตราย ตำรวจกำลังขยายผลการสืบสวนว่า เด็กเข้าถึงปืนได้อย่างไร ผู้ปกครองที่ไปรอรับเด็กๆ ที่นอกโรงเรียนเปิดเผยว่า เด็กๆ บอกว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีเด็กคนหนึ่งนำ "กระสุนทองแวววาว" ไปโรงเรียน
และกำลังคิดที่จะเอาปืนมาด้วย แต่เมื่อแจ้งไปทางโรงเรียนทางโรงเรียนกลับบอกว่า เป็นกระสุนโฟม (nerf bullet) แต่ผู้ปกครองแย้งว่ากระสุนโฟมจะไม่แวววาวและไม่เป็นสีทองด้วย และก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเด็กที่เอากระสุนไปโรงเรียนเป็นคนเดียวกับที่ก่อเหตุหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ด้าน จอร์จ พาร์คเกอร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนิวพอร์ท นิวส์ กล่าวว่าโรงเรียนไม่มีศักยภาพในการตรวจจับโลหะที่ตัวนักเรียน ไม่ได้ตรวจนักเรียนทุกคนและทุกวัน ในขณะที่โรงเรียนทุกแห่งในเขตมีศักยภาพที่ทำได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุสะเทือนขวัญจากอาวุธปืนในโรงเรียนล่าสุด โดยผู้ก่อเหตุน่าจะอายุน้อยที่สุดด้วย
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews