โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

เกิดใหม่ครานี้ขอเลือกสามีเอง(จบ)

นิยาย Dek-D

อัพเดต 14 ธ.ค. 2566 เวลา 12.41 น. • เผยแพร่ 14 ธ.ค. 2566 เวลา 12.41 น. • อิงชา
สวรรค์เมตตาให้เธอเกิดใหม่กลับมาแก้ไขอดีต ชาติก่อนตกบันไดแท้งลูกและยังถูกเผาทั้งเป็น สายตาอาฆาตแค้นจ้องมองหญิงชั่วชายเลวจากกองเพลิง ครานี้ฉันกลับมาแล้ว! ทุกคนที่ทำกับฉันไว้….เตรียมรับการแก้แค้นได้ ณ

ข้อมูลเบื้องต้น

เสิ่นลี่อิงตื่นขึ้นมาเมื่อเธออายุได้สิบเจ็ดปี เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในขณะที่อีกสี่ปีข้างหน้าเธอจะต้องแต่งงานชดใช้หนี้สินแทนครอบครัวให้กับสามีร่ำรวย

ทว่าคราวนี้เธอไม่ใช่เสิ่นลี่อิ่งที่เรียบร้อยและเชื่อใจคนง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไป เพื่อนสนิทที่ตั้งใจเข้าหาเพื่อหลอกใช้ฉันนะหรือ ยังกล้าหลอกลวงฉันให้ไปตายและเผาทั้งเป็นอีก ถึงเวลาที่ฉันจะคิดบัญชีหนี้แค้นในชาติก่อนระหว่างเราสามคนเสียที

.*****************************.

นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่งที่อาจมีการอ้างอิงสถานที่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทว่าบุคคลและองค์กรทั้งหลายในนิยายล้วนแต่งขึ้นโดยอาจมีอยู่จริงบางส่วนหรือไม่มีอยู่จริงเลย ทั้งนี้ผู้แต่งไม่ได้มีเจตนาพาดพิงบุคคลหรือองค์กรใดๆ เป็นการเฉพาะ เป็นการแต่งเพื่อรังสรรค์อรรถรสในการอ่านของเนื้อเรื่องเท่านั้น

ผู้แต่งจะอัปนิยายวันละ 1-2 ตอนทุกวัน ยกเว้นวันศุกร์วันเดียว โดยจะเริ่มติดเหรียญเมื่อใดนั้น จะแจ้งให้ผู้อ่านทุกคนทราบเป็นระยะ

เริ่มต้นใหม่

ตอนที่ 1 เริ่มต้นใหม่

เสิ่นลี่อิงสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน แสงอาทิตย์แรกยามเช้าแยงตาเธอพอดี เด็กสาวลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางกวาดสายตามองรอบตัวอย่างตื่นเต้นยินดีที่พบว่าตนกลับคืนมาอยู่ในห้องนอนอันคุ้นเคย

“ฉันกลับมาแล้ว คราวนี้ฉันจะไม่ทำผิดพลาดอีก”

เด็กสาวร่างผอมบางในชุดนอนเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ผมยาวสีน้ำตาลเข้มหยิกปลายพองาม นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโต ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพู จมูกโด่งปลายเชิดดั่งคนดื้อรั้น

เธอพึมพำขึ้นมาอย่างมีความสุขที่ตนได้รับโอกาสจากสวรรค์ให้ย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ พอเหลือบมองปฏิทินบนโต๊ะเขียนหนังสือ พบว่าเป็นวันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนกุมภาพันธ์ ปีคริสต์ศักราชสองพันสิบเจ็ด

“ฉันย้อนเวลามาก่อนสอบเกาเข่าพอดี ครอบครัวยังไม่ได้เป็นหนี้เขาอีกด้วย ฉันจะหาทางช่วยเหลือครอบครัวเอง แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที”

เสิ่นลี่อิงพึมพำอย่างมีความหวัง เธอดีใจที่สวรรค์เมตตาให้เกิดใหม่อีกครั้งในวันที่เธอยังไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง สถานศึกษาที่ทำให้เธอพบกับเพื่อนสนิทและอดีตสามีในคณะบริหารธุรกิจ

สถานที่เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างเธอ เพื่อนสาวคนสนิท และอดีตสามี จนนำไปสู่จุดจบในชีวิตชาติก่อนอันแสนเลวร้าย

หลินอี้เฟิงเป็นสามีโดยพฤตินัยของเสิ่นลี่อิง เขาเป็นหนุ่มหล่อเหลาและได้รับคัดเลือกเป็นเดือนของมหาวิทยาลัย

ส่วนหยวนมี่ เพื่อนสาวคนสนิทที่เรียนในคณะบริหารธุรกิจเหมือนกับเธอ ทั้งสองคนมีวันเกิดวันเดียวกัน

เสิ่นลี่อิงเป็นคนเชื่อใจคนง่าย จึงเป็นเหตุให้ถูกเพื่อนหลอกใช้ โดยเพื่อนและว่าที่สามีแอบคบกันเป็นแฟน พร้อมกับที่หลินอี้เฟิงคบกับเธอเป็นแฟนเช่นกัน

“เกิดใหม่ครานี้…..ฉันจะไม่อ่อนแอหรือโง่เขลาอีกแล้ว พอกันทีกับเพื่อนใจคดอำมหิต ถึงเวลาที่ฉันต้องเป็นคนใหม่เสียที ชาตินี้ฉันจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังอีก”

เสิ่นลี่อิงกำหมัดสองข้างแน่นพร้อมกับพึมพำเป็นการให้สัญญากับตัวเอง เธอได้รับโอกาสจากสวรรค์ให้มาแก้ไขอดีตจึงไม่ยินยอมที่จะเดินซ้ำรอยเดิม ซึ่งเธอคิดว่าพรที่ได้รับจากเทพแห่งสวรรค์ ย่อมจะช่วยให้ชีวิตของเธอและครอบครัวดีขึ้นอย่างแน่นอน

เสิ่นลี่อิงเป็นลูกสาวบุญธรรมของครอบครัวเสิ่นแห่งเมืองต้าเสิ้ง นครฉงชิ่ง ประเทศจีน โดยพ่อแม่บุญธรรมรับเลี้ยงไว้ตั้งแต่แบเบาะเพื่อถือเคล็ดให้มีลูกของพวกเขาเอง

จนกระทั่งสองปีต่อมา พ่อแม่บุญธรรมประสบความสำเร็จในการให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งหญิงสาวรับหน้าที่ช่วยเลี้ยงดูน้องชายตั้งแต่ยังเด็ก พร้อมกับทำงานเกษตรช่วยครอบครัวอย่างขยันขันแข็ง

ในปลายปีคริสต์ศักราชสองพันสิบเก้าเกิดโรคระบาดหนักไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อรายได้จากอาชีพทำสวนส้มและไร่มันฝรั่งของครอบครัว จนพ่อต้องไปกู้ยืมเงินจากบริษัทรับซื้อมันฝรั่งซึ่งเป็นบริษัทของอดีตสามี นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เธอได้ตัดสินใจใช้ร่างกายทดแทนหนี้สินของครอบครัวกับหลินอี้เฟิง

พลันรู้สึกเจ็บแสบไปทั่วร่างกายแล้วรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นกะทันหัน เธอนั่งชันเข่ากอดตัวเองพลางลูบต้นแขนสองข้างไปมาร่วมกับมีขนลุกซู่เป็นระยะ

“โอย!…..เจ็บปวดเหลือเกิน เหมือนตอนใกล้จะตายชะมัด ไม่อยากคิดถึงมันเลย”

เสิ่นลี่อิงน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บปวดและเสียใจในเหตุการณ์สุดท้ายของชีวิตก่อน ทั้งนี้ความทรงจำก่อนตายโดยเฉพาะห้วงเวลาสำลักควันและไฟคลอกถูกประทับไว้แน่นจนทำให้รู้สึกสะท้านในอกขึ้นมาอีกครั้ง

ทั้งนี้เหตุการณ์เศร้าสลดนั้นเธอพยายามวิ่งหนีเมื่อพบว่าถูกเพื่อนสาวหลอกให้มาที่บ้านร้าง จนพลัดตกบันไดร่างกระแทกพื้นด้านล่างอย่างแรง ทำให้เธอแท้งลูกทันที มิหนำซ้ำบ้านร้างยังเกิดไฟไหม้กะทันหัน

ในขณะที่เธอปวดร้าวไปทั่วตัวและมีเลือดออกจากหว่างขาจนไหลนองเต็มพื้นไปหมด ทำให้ไม่สามารถขยับร่างกายเพื่อวิ่งหนีไฟไหม้ได้อีกต่อไป

เธอพยายามพลิกตัวเพื่อคลานหนีออกไป พลันเหลือบมองเห็นแผ่นหลังของชายหญิงที่คุ้นเคยหันหลังเดินออกไปจากประตูรั้วบ้านร้าง โดยทั้งคู่ทิ้งเธอให้ถูกไฟคลอกตายทั้งเป็น มีเสียงพูดคุยลอยมากระทบหูเธอว่า

“ปล่อยเธอไว้แบบนี้ จะไม่มีปัญหาตามมาทีหลังหรือ?”

“ไม่มีแน่นอนค่ะ ไว้ใจคนของฉันได้ พวกเราไปกันเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยนะคะ”

“ตกลง…..ผมไม่พูดแน่นอน”

เสิ่นลี่อิงพยายามเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาสุดแรงว่า “ช่วย!…..ช่วยด้วย!…..ช่วยฉันที!…..ช่วย…”

เธอไม่สามารถกล่าวคำสุดท้ายได้อีกเพราะสำลักควันจนแสบจมูก ลำคอ และทรวงอกไปหมด พร้อมกับอาการเจ็บแสบไปทั่วตัวที่เกิดจากไฟลุกโหมไหม้ร่างกาย

โครม !

คานไม้ท่อนใหญ่หล่นลงมาทับร่างเธอที่นอนลืมตาเบิกโพลง ห้วงสติสุดท้ายก่อนหลุดลอยออกจากร่าง เธอตั้งจิตอธิษฐานต่อสวรรค์เพื่อร้องขอโอกาสกลับมาแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดของตัวเองอีกครั้งว่า

“ข้าแต่สวรรค์ ไยท่านโหดร้ายกับฉันนัก ได้โปรดให้โอกาสฉัน กลับไปแก้ไขอดีตด้วยเถอะ ได้โปรด…”

……….

เสิ่นลี่อิงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในชุดเดรสที่ใส่ไปบ้านร้างก่อนตาย เธอกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความแปลกใจที่พบว่าตนเองอยู่ในคฤหาสน์ขาวหลังงามทรงจีนโบราณ แวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ มองดูร่มรื่นเย็นสบายยิ่งนัก พร้อมกลิ่นหอมของดอกไม้หลากหลายชนิดที่ชูช่อบานสะพรั่ง ดั่งอยู่ในสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน

“นี่ฉันตายไปแล้วใช่ไหม?” หญิงสาวถามตัวเองอย่างงุนงง

พลันเหลือบมองเห็นแผ่นหลังชายผมยาวสีขาวในชุดโบราณสีเทา ซึ่งอยู่ห่างจากคฤหาสน์สีขาวราวหนึ่งร้อยเมตร เขากำลังนั่งดีดพิณอยู่ในเก๋งจีนด้วยทำนองเศร้าสร้อย

เธอลุกขึ้นจากตั่งนอนแล้วเดินตรงไปยังเก๋งจีนที่ตั้งอยู่กลางสระบัวด้วยความอยากรู้ พลางเข้าใจว่าตนเองตายแล้วและคงอยู่ในสวรรค์อย่างแน่นอน

เมื่อเดินเข้าไปใกล้เกือบถึงตำแหน่งที่นั่งอยู่ของชายชราในเก๋งจีน พลันมีเสียงแหบพร่าดังขึ้นมาห้ามเธอไว้ โดยที่เขาไม่ได้หันหลังกลับมามองด้วยซ้ำไปว่า

“หยุด! เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ช่วยไว้ ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่ที่เจ้าจากมา แล้วอย่ากลับมากวนใจข้าอีกเล่า”

เสิ่นลี่อิงเป็นคนอ่อนไหวและรับรู้ได้ถึงความช่วยเหลือจากคำกล่าวของเขา เมื่อได้ยินคำตวาดที่แสดงความไม่พอใจ ทว่าเธอรับรู้ความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดีจากทำนองบทเพลงพิณที่เศร้าสร้อย จึงเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจว่า

“ท่านผู้อาวุโส…..ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยฉันไว้ แต่ท่านมีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือคะ? บอกเล่าให้ฉันฟังบ้างไหม? เผื่อว่าท่านจะสบายใจขึ้นมาบ้าง”

ชายชราหยุดเล่นพิณทันที เขาถอนหายใจยาวอีกครั้งโดยไม่กล่าวคำใดออกมา เมื่อสัมผัสได้ว่าเสิ่นลี่อิงยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมโดยไม่ก้าวล่วงเข้ามาตามคำสั่ง ทำให้เขาเอ่ยบางอย่างออกมาเป็นนัยว่า

“เจ้าอย่ารู้เลยแม่หนูน้อยเอ๋ย บางเรื่องไม่รู้ดีกว่ารู้ บางทีรู้ไปแล้วอาจเจ็บปวดเจียนตาย จะอยากรู้ไปทำไมเล่า ในเมื่อเจ้าสอบถามเพราะเป็นห่วงข้า ข้าก็รับรู้ได้ การเป็นคนดีเชื่อใจคนง่ายเกินไป จะพาลให้เจ้าพบแต่ความทุกข์ใจไปตลอดชีวิต ให้มองโลกตามความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดดีหรือเลวไปเสียทั้งหมด”

เสิ่นลี่อิงได้ยินคำกล่าวสั่งสอนทำให้รู้สึกจุกในอกขึ้นมาทันที พลันมีน้ำตารื้นขอบตาเมื่อนึกถึงเรื่องราวความหลังที่ผิดพลาดของตัวเอง จนเป็นเหตุให้ต้องตายอย่างทรมาน เธอกล่าวยืนยันกับชายชราอย่างมั่นใจว่า

“ท่านผู้อาวุโสอย่าเป็นห่วงไปเลยค่ะ ฉันจะไม่เป็นคนเดิมที่เชื่อใจคนง่ายอีกต่อไป ฉันจะใช้สติและสมองมากกว่านี้ จะไม่ทำให้โอกาสที่ท่านมอบให้ต้องสูญค่าแน่นอนค่ะ”

“ก็ดี…..เช่นนั้นข้าจะมอบพรให้เจ้าหนึ่งข้อ ตริตรองให้ดีว่าจะขออะไร? ข้าไม่อยากเห็นเจ้ากลับมาที่นี่อีก”

เสิ่นลี่อิงยิ้มกว้างอย่างยินดีที่จู่ ๆ ชายชราแสดงความเมตตาต่อตน โดยเขาใจดีให้เธอขอพรเพื่อกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการมีไพ่ลับติดตัวไปด้วย การได้รับพรเพียงข้อเดียวทำให้เธอรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง

ท้ายที่สุดเสิ่นลี่อิงตัดสินใจขอพรที่คิดว่าดีที่สุด โดยผ่านการคิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งเธอไม่ต้องการพรที่เน้นเพียงความร่ำรวยและความรักมั่นคง ทว่าต้องการสิ่งที่จะช่วยทำให้เธอแก้ไขอดีตได้ว่า

“ในเมื่อผู้อาวุโสแสดงความเมตตาต่อฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันขอพรให้เรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว หวังว่าผู้อาวุโสจะมอบให้แก่ฉันได้”

ชายชราผมขาวพยักหน้าอย่างพึงพอใจที่หญิงสาวไม่ได้โลภเหมือนในชีวิตก่อน เขาสะบัดมือส่งพลังลึกลับออกไปตัดดอกบัวทองดอกหนึ่งในสระให้ลอยไปหมุนวนอยู่เหนือหัวของหญิงสาวทันที

ทันใดนั้นดอกบัวขนาดสองอุ้งมือลอยจากสระน้ำขึ้นมาหมุนวนเหนือหัวของเสิ่นลี่อิง ก่อนที่จะปลดปล่อยละอองสีทองอาบทั่วร่างของเธอ จนแทบมองไม่เห็นตัวคน

สักพักหนึ่งละอองสีทองและดอกบัวทองพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ไปได้แล้ว…..พวกเราไม่มีอะไรต้องสนทนากันอีก” ชายชรากล่าวขับไล่และโบกมืออีกครั้ง

คราวนี้เกิดหลุมน้ำวนขนาดใหญ่ใต้ฝ่าเท้าเสิ่นลี่อิงพอดี แล้วดูดกลืนร่างของหญิงสาวหายไปจากพื้นทันใด โดยที่เธอพยายามเปล่งเสียงกล่าวขอบคุณชายชราที่ได้ช่วยเหลือ ทว่าไม่มีเสียงออกมาจากหลุมน้ำวนแม้แต่น้อย

หากหญิงสาวยังมีโอกาสได้อยู่ที่เก๋งจีนโบราณอีกสักครู่หนึ่ง เธอจะพบว่าชายชราคนนั้น แท้จริงแล้วเป็นชายหนุ่มผมขาวโพลนทั้งหัว เขาลุกขึ้นหันหลังกลับมามองตำแหน่งที่เคยมีเสิ่นลี่อิงยืนอยู่ โดยพึมพำด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอย่างคาดหวังว่า

“เสิ่นลี่อิง…..ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ หวังว่ากาลข้างหน้าเจ้าจะพบกับเขาผู้นั้น เขารอคอยเจ้ามานานหลายพันปีแล้ว ข้าเพียงแต่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ หวังว่าโทษของข้าจะเบาบางลงไปได้”

ชายหนุ่มผมขาวทอดสายตามองไกลไปยังทิศทางด้านหลังคฤหาสน์ขาวอย่างมีความหมาย เขาคาดหวังว่าในเวลาอีกไม่นานตนจะมีโอกาสกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ตามเดิม

ปฏิวัติตัวเองใหม่

ตอนที่ 2 ปฏิวัติตัวเองใหม่

เสิ่นลี่อิงรู้สึกได้ว่าอาการเจ็บปวดแสบร้อนทั่วร่างกายดีขึ้นแล้ว จึงลุกจากเตียงไปเปิดผ้าม่านสีฟ้าสดใสภายในห้องทั้งหมดเพื่อรับแสงอาทิตย์และสำรวจสภาพแวดล้อมของบ้านด้วยความคิดถึง

เธอคิดทบทวนเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นวันนี้ พลันตาโตอย่างนึกขึ้นมาได้ว่า “เอ๋! เมื่อวานฉันท้องเสียนี่นา”

หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างยินดีที่พบว่าตนเองเกิดใหม่ในวันที่ยังไม่ได้พบกับสามีหรือเพื่อนสาวคนสนิทใจร้ายคนนั้น เธอตั้งใจที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตตนเองใหม่ โดยใช้พรที่เพิ่งขอไปกับเทพชราผู้ลึกลับ

“ฉันจะตั้งใจเรียนและศึกษาให้มากขึ้น คราวนี้จะต้องสอบเข้ามหาลัยชิงหวาให้ได้ ฉันจะได้ไม่ต้องเจอเพื่อนไม่ดีใจทราม และไม่ต้องเจอผู้ชายใจร้ายคนนั้นเหมือนกัน”

เสิ่นลี่อิงกำหมัดแน่นอย่างรู้สึกโกรธแค้นชายหญิงชั่วร้ายทั้งสองคน เธอสลัดความคิดเรื่องราวความแค้นในอดีตไปก่อนเพราะในเวลานี้เธอยังอ่อนแอเกินไป อีกทั้งยังมีเรื่องสำคัญเฉพาะหน้าที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน

จากนั้นหญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัวใหม่เป็นชุดกีฬาให้ทะมัดทะแมงมากยิ่งขึ้น วันนี้เป็นวันอังคารที่เธอจะต้องไปเรียนตามปกติในโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งเมืองต้าเสิ้ง ซึ่งเธอเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลายปีสาม

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนจะเป็นเวลาสอบเกาเข่าหรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปกติของจีน ซึ่งมีการสอบทั้งสิ้นประมาณสองหรือสามวัน แล้วแต่การจัดการสอบของแต่ละมณฑลและคณะที่เลือกเรียน

เมื่อหญิงสาววิ่งลงบันไดบ้านมายังห้องอาหาร เธอรีบเข้าไปช่วยเหลือแม่บุญธรรมปรุงอาหารอย่างขมีขมัน

“อ้าว! อิงเอ๋อร์ตื่นแล้วหรือลูก? หายท้องเสียแล้วหรือ? หากยังเพลียอยู่ก็ไปพักผ่อนเสียเถอะ เดี๋ยวแม่ทำเอง”

สวีเหยียน หญิงวัยกลางคนอายุสี่สิบสามปีผมสั้น เดินเข้ามาใช้หลังมืออังหน้าผากลูกสาวบุญธรรมด้วยความห่วงใยเพราะกังวลว่าลูกสาวจะยังไม่หายป่วยจากโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันตั้งแต่เมื่อวานนี้

เสิ่นลี่อิงโผเข้ากอดแม่บุญธรรมด้วยความรักและคิดถึง เธอรับรู้แล้วว่าคำดุด่าว่ากล่าวตักเตือนทั้งหลายที่มาจากหญิงวัยกลางคนนี้ ล้วนเกิดจากความรักและจริงใจอย่างแท้จริง ซึ่งดีกว่าคำพูดเอาใจของเพื่อนใจร้ายด้วยซ้ำไป

“ไม่เป็นไรค่ะแม่บุญธรรม หนูหายดีแล้ว หนูจะช่วยทำอาหารเองนะคะ”

“เอ๋! ลูกคนนี้เป็นยังไง? วันนี้มาแปลก ๆ ปกติไม่ชอบกอดแม่เลยนี่นา มีแต่แม่คอยกอดเราบ่อย ๆ”

สวีเหยียนตบแผ่นหลังลูกสาวคนโตเบา ๆ ด้วยความแปลกใจ เธอรักและห่วงใยลูกชายหญิงทั้งสองคนด้วยความรักที่มีในฐานะแม่คนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเสิ่นลี่อิงจะไม่ใช่ลูกสาวแท้จริงก็ตาม

เสิ่นลี่อิงระงับความดีใจและตื้นตันใจที่ได้กอดผู้เป็นแม่อีกครั้ง โดยไม่คาดคิดว่าตนจะมีโอกาสที่ดีเช่นนี้อีก จึงอยากทำตัวใหม่ให้พ่อแม่บุญธรรมคลายกังวลในพฤติกรรมวัยรุ่นที่เชื่อฟังเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา

“หนูอยากกอดแม่ค่ะ อ้อมกอดแม่อบอุ่นที่สุดเลย” เสิ่นลี่อิงเอ่ยชมแม่อย่างสุขใจ

เสิ่นลี่อิงผละจากอ้อมกอดแม่เพื่อเริ่มต้นทำอาหารเช้าสำหรับทุกคนอย่างมีความสุข ท่าทางทำอาหารที่กระฉับกระเฉงโดยไม่แสดงสีหน้าบึ้งตึงเหมือนเช่นเคย สร้างความประหลาดใจให้กับสวีเหยียนเป็นอย่างยิ่ง

สวีเหยียนปล่อยให้ลูกสาวคนโตเป็นคนทำอาหารต่อไป ส่วนเธอไปปลุกลูกชายให้ตื่นไปโรงเรียนพร้อมกับพี่สาว

เสิ่นลี่หยางป่วยเป็นออทิสติกตั้งแต่เด็ก โดยมีปัญหาด้านการสื่อสาร ครอบครัวพาไปพบแพทย์และจิตแพทย์เป็นระยะ จนสามารถสื่อสารได้ ทว่าเรื่องการอ่านและขีดเขียนตัวอักษร เขาสามารถทำได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป พ่อแม่จึงส่งไปเรียนในโรงเรียนเดียวกับพี่สาว ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับปานกลางซึ่งไม่ถือว่าเก่งมาก

เสิ่นลี่อิงทำอาหารเสร็จเรียบร้อยพอดีกับที่แม่และน้องชายแต่งตัวลงมาจากชั้นบนของบ้าน

ส่วนพ่อเพิ่งกลับมาจากตรวจและสั่งงานคนงานในสวน เขากล่าวทักทายลูกสาวด้วยความห่วงใยว่า

“อิงเอ๋อร์หายดีแล้วหรือ? อย่ากินอาหารไปทั่วอีกละ หากไม่ดีขึ้นได้ไปนอนโรงพยาบาล คงได้วุ่นวายกันไปหมด”

เสิ่นลี่อิงยิ้มรับคำกล่าวของพ่ออย่างเข้าใจเมื่อปล่อยเวลาผ่านไปจนตัวเองตายไปแล้วในชาติก่อน เธอรู้ดีว่าในคำพูดของพ่อที่ดูห้วนและเสียงแข็งนั้น กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยเธออย่างแท้จริง จึงตอบกลับอย่างผ่อนคลายว่า

“หายดีแล้วค่ะ ต่อไปหนูจะระวังเรื่องกินให้มากขึ้น พ่อกับแม่…..เสี่ยวหยางมากินข้าวก่อนเถอะค่ะ รับรองว่าอาหารที่หนูทำ อร่อยกว่าเดิมแน่นอน”

หญิงสาวรีบเอ่ยชักชวนพ่อแม่ให้ลงมือกินข้าว ทั้งนี้ครอบครัวเธอจะกินอาหารเช้าหนักกว่าคนทั่วไปเพราะต้องใช้แรงงานในสวนตั้งแต่เช้า ดังนั้นครอบครัวเธอจะไม่กินข้าวต้มหรือโจ๊กเหมือนครอบครัวอื่น

เมื่อเสิ่นลี่คุนใช้ตะเกียบคีบผัดผักขึ้นมาชิม เขาเคี้ยวเล็กน้อยแล้วพยักหน้าพลางกล่าวชื่นชมลูกสาวอย่างจริงใจว่า

“ดี! ดี! อร่อยกว่าเดิมทีเดียว หายป่วยคราวนี้ก็ทำอาหารอร่อยขึ้นเชียวนะ”

สวีเหยียนได้ยินสามีเอ่ยชมลูกสาวจึงคีบผัดหมูเปรี้ยวหวานขึ้นมาชิมดูบ้าง ซึ่งพบว่ารสชาติหวานเค็มกำลังพอดี จึงเอ่ยชมอีกเสียงว่า

“อร่อยจริง ๆ เก่งขึ้นนะเรา ”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แต่ชอบนั่งก้มหน้าเป็นประจำเหมือนคนไม่มั่นใจตัวเอง เขาได้ยินพ่อแม่เอ่ยชมอาหารของพี่สาว จึงเงยหน้าขึ้นแล้วใช้ตะเกียบคีบผัดผักใส่ปาก ก่อนเอ่ยชมอีกคนตามจริงว่า

“อื้ม! อร่อยทีเดียวเจี่ยเจีย”

เสิ่นลี่อิงยิ้มกว้างอย่างยินดี เธอพบว่าทักษะบางอย่างจากชาติก่อนช่วยทำให้ครอบครัวมีความสุขขึ้น จึงตั้งใจที่จะดูแลครอบครัวให้ดีและมีฐานะร่ำรวยเพื่อตอบแทนพ่อแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูตนเองมาเป็นอย่างดี

“ขอบคุณค่ะ กินเยอะ ๆ นะคะ ผัดผักยังมีอีกมากค่ะ ไว้กินเสร็จแล้ว หนูมีเรื่องจะปรึกษาพ่อกับแม่สะหน่อย”

หญิงสาวตั้งใจที่จะแจ้งข่าวเรื่องการสอบเกาเข่าของตนเอง รวมทั้งการพัฒนางานในสวนของครอบครัวก่อนที่จะเกิดวิกฤติ เธอไม่อยากให้ครอบครัวต้องประสบเคราะห์กรรมเหมือนในชาติที่แล้ว

ส่วนเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศนั้น เธอคิดที่จะทำความใฝ่ฝันของพ่อแม่ให้เป็นจริง รวมทั้งหลีกเลี่ยงที่จะต้องพบเจอเพื่อนและสามีในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

หญิงสาวยังไม่อยากพบเจอศัตรูเก่าในเวลาที่ตนยังอ่อนแออยู่ เธอต้องการสร้างความร่ำรวยและความแข็งแกร่งให้มากพอที่จะกลับไปแก้แค้นศัตรูให้ราบคาบได้

“เรื่องอะไรหรือ?” เสิ่นลี่คุนเคี้ยวข้าวพร้อมกับถามลูกสาวด้วยความสงสัย

เขาพบว่าลูกสาวมีความกล้าที่จะพูดคุยกับตนอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ไม่เหมือนลูกสาวขี้อายคนเดิม จึงรู้สึกสนใจเรื่องที่เธออยากปรึกษาทันที

เสิ่นลี่อิงเห็นว่าพ่ออารมณ์ดีและเปิดโอกาสที่จะรับฟังเธอแล้ว จึงตัดสินใจพูดในขณะที่ทุกคนกินข้าวด้วยกันว่า

“หนูว่าจะตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยชิงหวาค่ะ”

เสิ่นลี่อิงตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดวางแผนไว้เบื้องต้นกับพ่อแม่ทันที เธออยากให้ทุกคนในครอบครัวรับรู้เป้าหมายของตนเอง พลางคิดว่าจะใช้วิธีให้สัญญากับครอบครัวเป็นการกระตุ้นความตั้งใจของตนไปให้ถึงเป้าหมายได้

“หือ…..เลือกมหาลัยชิงหวาเลยหรือ? ผลการเรียนของลูกไม่เท่าไรเลยนะ”

สวีเหยียนพูดแย้งขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยที่ลูกสาวจะทุ่มเทการเรียน เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากยิ่ง แม้แต่นักเรียนที่เรียนเก่งอันดับหนึ่งของเมืองต้าเสิ้งยังไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาได้เลย จึงไม่อยากให้ลูกสาวต้องเสียใจที่ตั้งความหวังไว้สูงเกินไป

อีกทั้งมีระยะเวลาเหลือเพียงไม่กี่เดือนก่อนถึงช่วงสอบเกาเข่า ฉะนั้นจึงไม่อยากให้ลูกผิดหวังในผลการสอบที่ไม่เป็นไปตามความคาดหมาย

ส่วนเสิ่นลี่คุนวิเคราะห์คำพูดของลูกสาว พลางตอบกลับอย่างแปลกใจในความคิดเกินตัวว่า

“นั่นสิ…..เรียนที่มหาลัยฉงชิ่งก็ได้ ไม่ต้องฝันไปไกลขนาดนั้นหรอก”

เสิ่นลี่คุนกล่าวสนับสนุนความคิดเห็นของภรรยา เขาไม่อยากให้ลูกสาวฝันเกินตัวแล้วผิดหวังในภายหลัง

อย่างไรก็ตามเสิ่นลี่หยางพลันเงยหน้าขึ้นมาด้วยตาเป็นประกาย เขากล่าวสนับสนุนความคิดของพี่สาวทันทีว่า

“ไปสิเจี่ยเจีย ผมอยากไปเที่ยวเมืองหลวงบ้าง”

เสิ่นลี่อิงกวาดสายตามองพ่อแม่อย่างเข้าใจ เธอยิ้มน้อย ๆ พลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงลึกลับว่า

“ไว้ให้หนูเอาคะแนนสอบประจำเดือนมาอวดก่อนละกัน หากหนูสามารถสอบได้ลำดับต้น ๆ ของชั้นปี โอกาสที่หนูจะสอบเข้ามหาลัยชิงหวาก็เป็นไปได้จริงไหมคะ?”

เสิ่นลี่อิงตั้งใจที่จะใช้พรที่ขอมาเพื่อเรียนรู้และขีดเขียนอนาคตของตนเองใหม่ เธออยากเป็นคนเก่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต รวมทั้งสามารถเป็นที่พึ่งให้กับครอบครัวได้

“ให้มันจริงเถอะ ไปโรงเรียนกันได้แล้ว” เสิ่นลี่คุนไม่ได้พูดทักท้วงลูกสาวอีก

เขาเพียงแค่รอผลสอบประจำเดือนอย่างที่ลูกสาวพูดท้าทายไว้ โดยมีความคาดหวังอยู่ในใจว่าลูกสาวจะสามารถปรับปรุงตัวเองให้เรียนเก่งขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะมีเวลาเหลือในการสอบประจำเดือนทุกสิ้นเดือนอีกไม่กี่วันก็ตาม

เสิ่นลี่อิงรีบกล่าวถึงอีกเรื่องที่เธอคิดจะปรึกษาพ่อแม่ทันทีว่า

“ส่วนงานในฟาร์มหนูอยากให้พ่อทำฟาร์มแบบผสมผสานดีไหมคะ? หากผลไม้กับมันฝรั่งขายไม่ได้ หรือบริษัทไม่รับซื้อจากฟาร์มเรา พ่อจะทำยังไงคะ? หนูไม่อยากให้เราฝากความหวัง เรื่องผลผลิตไว้กับบริษัทรับซื้อเพียงอย่างเดียว”

เสิ่นลี่คุนและสวีเหยียนชะงักไปทันทีที่ได้ยินคำเสนอแนะเกินตัวจากลูกสาว ถึงแม้ลูกจะไปช่วยงานในฟาร์มทุกวันหยุดก็ตาม ทว่าการบริหารงานภายในฟาร์มนั้น ลูกไม่เคยรับรู้ปัญหาอุปสรรคใด จึงสงสัยถึงที่มาของคำแนะนำนั้นจากลูกทันที

“เอ๋! อิงเอ๋อร์ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน?” เสิ่นลี่คุนสอบถามลูกสาวอย่างแปลกใจ

“พวกเราคุยกันไปตอนพ่อขับรถไปส่งโรงเรียนดีกว่าค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวหนูกับน้องได้เข้าโรงเรียนสายแน่”

เสิ่นลี่อิงเหลือบมองดูเวลาบนนาฬิกาติดผนัง เธอพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดนาฬิกาแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงที่ต้องเข้าห้องเรียนให้ทัน ฉะนั้นจึงคิดที่จะพูดคุยปรึกษากับพ่อระหว่างขับรถไปส่งโรงเรียนดีกว่า

แก้โจทย์คณิตศาสตร์

ตอนที่ 3 แก้โจทย์คณิตศาสตร์

“งั้นก็ไปกันเถอะ” เสิ่นลี่คุนพยักหน้าเข้าใจ เขาเรียกลูกทั้งสองคนให้ไปนั่งรถด้วยกันทันที

จากนั้นเขาขับรถกระบะตอนเดียวส่งลูกชายหญิงไปโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งเมืองต้าเสิ้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ประจำทุกวันเปิดเรียน ก่อนที่จะกลับมาทำงานในฟาร์มเหมือนเดิม

ถึงแม้ว่างานในฟาร์มจะมีลูกน้องมากมายช่วยทำ แต่เขายังชื่นชอบในการขับรถรับส่งลูกชายหญิงไปโรงเรียนเอง

ระหว่างนั่งรถไปโรงเรียน เสิ่นลี่อิงพยายามพูดโน้มน้าวพ่อให้เห็นถึงข้อเสียของการฝากความหวังการจำหน่ายผลผลิตภายในฟาร์มแก่บริษัทรับซื้อเพียงฝ่ายเดียว

เสิ่นลี่คุนพยักหน้าเข้าใจเป็นระยะ เขารู้สึกชื่นชมลูกสาวที่รู้จักคิดและห่วงใยกิจการของครอบครัว จึงตอบรับที่จะไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกับภรรยาเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งหลาย

เสิ่นลี่อิงรู้สึกวางใจไปได้เปลาะหนึ่งที่พ่อรับฟังข้อมูลจากตน โดยคิดที่จะหาเวลาไปศึกษางานในสวนเพิ่มเช่นกันเพื่อหาทางป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เธอไม่ต้องการให้ตัวเองชดใช้หนี้สินแทนครอบครัวอีกต่อไป

……….

เสิ่นลี่อิงเดินเข้าไปในห้องเรียนที่ห้าอย่างคุ้นเคย โดยห้องห้าเป็นห้องรวบรวมนักเรียนที่เรียนแย่เข้าไว้ด้วยกัน ในขณะที่ห้องหนึ่งเป็นห้องที่เต็มไปด้วยนักเรียนเก่งและเป็นความหวังในการสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน

หญิงสาวมีผลการเรียนอยู่ในระดับต้นของห้อง หากเทียบกับนักเรียนเก่งในห้องหนึ่งแล้ว เธอเท่ากับนักเรียนปลายแถวของห้องหนึ่ง

แต่ถึงอย่างนั้นชาติก่อนเธอสามารถสอบเข้าคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยปักกิ่งไปได้อย่างเฉียดฉิว ซึ่งเป็นความโชคดีมากกว่าความสามารถที่แท้จริง

ระหว่างที่นั่งเรียนแต่ละวิชา เสิ่นลี่อิงตั้งใจเรียนและฟังครูสอนเป็นอย่างดีเพราะไม่อยากทำตัวเหลวไหลหรือผิดพลาดเหมือนอดีตอีกต่อไป

พฤติกรรมความขยันเรียนของหญิงสาวสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนนักเรียนนั่งข้างกัน จนทำให้เพื่อนสนิทที่นั่งโต๊ะติดกันต้องเอนตัวเข้ามากระซิบถามด้วยความสงสัยว่า

“อิงเอ๋อร์…..วันนี้เป็นอะไร? ทำไมตั้งใจเรียนนักเล่า? ปกติจะดูแต่ตารางอีเวนต์ของไอดอลไม่ใช่หรือ?”

กงเจียหลิง หญิงสาวผมสั้นสีดำหน้าตาน่ารัก สอบถามเสิ่นลี่อิงด้วยความสงสัยเพราะเห็นท่าทางที่แปลกตาของเพื่อนซึ่งแตกต่างจากเดิมเป็นอย่างมาก

“ฉันจะตั้งใจเรียนแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็ต้องสอบเกาเข่า ฉันจะต้องสอบเข้ามหาลัยชิงหวาให้ได้”

เสิ่นลี่อิงบอกเพื่อนตามจริงเพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังความคาดหวังในชีวิตใหม่ของตนเอง

ถึงอย่างนั้นคำตอบของเธอกลับทำให้กงเจียหลิงอุทานขึ้นมาเสียงดัง จนทำให้ขัดจังหวะการสอนวิชาคณิตศาสตร์ของครูประจำชั้นพอดีว่า

“ฮ้า ! อะไรนะ ?! จะสอบเข้ามหาลัยชิงหวา !….. อุ๊ย !”

กงเจียหลิงพลันนึกขึ้นมาได้ เธอรีบปิดปากตนเองพร้อมกับกวาดสายตามองรอบห้อง ซึ่งพบว่าสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่ตนเองเป็นจุดเดียว รวมทั้งสายตาของครูประจำชั้นด้วย

“กงเจียหลิง!…..คราวนี้อะไรอีก?”

ครูหลิวเฟยฟา ชายวัยกลางคนขยับแว่นตา พลางเรียกชื่อกงเจียหลิงเสียงเข้มและจ้องมองลูกศิษย์สองคนเขม็ง

กงเจียหลิงยิ้มแหยด้วยความเก้อเขิน พร้อมกับรู้สึกเกรงใจครูหลิวเฟยฟา เธอรีบกล่าวเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษจากครูประจำชั้นทันทีว่า

“อ้อ! พอดีเสิ่นลี่อิงบอกว่าจะสอบเข้ามหาลัยชิงหวาค่ะ หนูตกใจก็เลยอุทานเสียงดังไปหน่อย”

ครูหลิวเฟยฟาได้ยินคำตอบจากลูกศิษย์ห้องห้าซึ่งเป็นห้องที่ได้ขึ้นชื่อว่านักเรียนมีผลการเรียนย่ำแย่ที่สุดของชั้นปี พลางส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อถือในคำพูดเพ้อเจ้อเหล่านั้น

เขาอยากให้มีนักเรียนเก่งกาจในห้องที่ตนรับผิดชอบอย่างน้อยหนึ่งคน ซึ่งสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ จึงอยากทดสอบคำพูดโอ้อวดของต้นเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อยในห้องเรียนว่า

“อย่างนั้นหรือ? ว่าไงเสิ่นลี่อิง หากเธออยากสอบเข้าระดับมหาลัยชิงหวา โจทย์เลขข้อนี้คงทำได้กระมัง ไหนลองออกมาแก้โจทย์ให้ครูดูหน่อยสิ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าฝันสูงนักเลย เมื่อผิดหวังมามันได้ไม่คุ้มเสียนะ”

ครูหลิวเฟยฟาเขียนโจทย์ยากเพื่อให้นักเรียนทดสอบหาวิธีแก้โจทย์พอดี โดยตั้งใจที่จะสอนวิธีแก้โจทย์ในคาบเรียนนี้ พอดีมีเหตุวุ่นวายจากกงเจียหลิง เขาจึงต้องการทดสอบนักเรียนเสิ่นลี่อิงทันที

เสิ่นลี่อิงเพิ่งอ่านทบทวนวิชาคณิตศาสตร์สำหรับชั้นปีสามจบพอดี เธอกำลังคิดที่จะกลับไปอ่านทบทวนเนื้อหาของชั้นปีหนึ่งและสองเพื่อสร้างพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์ให้แน่นหนาเพราะเป็นหนึ่งในวิชาที่เธออ่อนด้อยมาก

เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากครูหลิวเฟยฟาจึงต้องการทดสอบพรที่ได้รับมาจากชายชราพอดี เธอตอบรับคำสั่งของครูอย่างผ่อนคลายว่า

“ได้ค่ะ แก้โจทย์ข้อนี้เลยใช่ไหมคะ?” เสิ่นลี่อิงสอบถามครูย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ข้อนี้แหละ ถ้าแก้โจทย์ได้ก็อาจจะสอบประจำเดือนได้คะแนนสูงขึ้น แต่ถ้าจะสอบเข้าระดับมหาลัยชิงหวา ต้องเป็นโจทย์ที่ยากกว่านี้ เอาละ……ออกมาทดสอบได้แล้ว”

ครูหลิวเฟยฟาพยักหน้าพร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้นักเรียนลำพองใจหากคิดว่าแก้โจทย์บนกระดานได้

เสิ่นลี่อิงลุกขึ้นไปหยิบปากกาเคมีแล้วขีดเขียนวิธีแก้โจทย์ด้วยท่าทางมั่นใจ ท่าทางของเธอเรียกความสนใจจากเพื่อนทุกคนให้จับจ้องไปที่ตัวเธอและกระดานขาวหน้าห้องเรียนทันที

พลันมีเสียงฮือฮาแสดงความแปลกใจจากเพื่อนหลายคนในห้องห้าดังขึ้นว่า

“ฮ้า! อิงเอ๋อร์แก้โจทย์ได้จริงหรือ?”

“พระเจ้า! ไม่น่าเชื่อ!นักเรียนเสิ่นเรียนคณิตศาสตร์ไม่เก่งไม่ใช่หรือ?”

“นั่นสิ! ทำไมคราวนี้เธอถึงแก้โจทย์ได้ละ?”

“ดูสิ! คำตอบของเธอออกมาแล้ว เธอจะทำได้ถูกต้องไหม?”

“อยากรู้คำตอบเสียจริง ครูหลิวกำลังจะตรวจสอบแล้ว”

หลิวเฟยฟายืนนิ่งตกตะลึงชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดว่านักเรียนหญิงที่ไม่ค่อยสนใจเรียนจะสามารถแก้โจทย์ได้ถูกต้องทุกขั้นตอน รวมทั้งคำตอบที่เขียนเป็นตัวเลขสุดท้ายนั้น เป็นคำตอบที่ถูกต้อง

เขาขยับแว่นตาให้เข้าที่ก่อนเดินเข้าไปตรวจสอบวิธีแก้โจทย์และคำตอบอีกครั้ง โดยเขาใช้ปากกาขีดเครื่องหมายถูกในขั้นตอนแต่ละขั้นอย่างตื่นเต้นยินดี

จนกระทั่งเขาขีดเครื่องหมายถูกในคำตอบที่อยู่บรรทัดล่างสุด

พลันมีเสียงฮือฮาจากนักเรียนดังขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ผลการเรียนของเสิ่นลี่อิงอยู่ระดับต้นค่อนไปทางกลางห้อง เมื่อเธอสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ได้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ยิ่งทำให้เพื่อนนักเรียนแปลกใจในพฤติกรรมของเธอเป็นอย่างมาก

ครูหลิวเฟยฟาต้องการทดสอบโจทย์ยากอีกสองข้อเพื่อสรุปว่าเสิ่นลี่อิงจะกลายเป็นความหวังของโรงเรียนได้หรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมานั้นโรงเรียนมีนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพียงมหาวิทยาลัยระดับต่ำของประเทศ

ส่วนใหญ่นักเรียนจะสามารถสอบเข้าได้ในมหาวิทยาลัยฉงชิ่งประจำมณฑลเท่านั้น ยังไม่มีนักเรียนสักคนที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาที่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศได้

“เสิ่นลี่อิง เธอลองแก้โจทย์สองข้อนี้ให้ครูดูอีกทีสิ มันเคยเป็นโจทย์ที่ใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อห้าปีก่อน ว่ากันว่าเป็นโจทย์ยากระดับหนึ่งเลยทีเดียว”

เสิ่นลี่อิงมองเห็นครูหลิวเฟยฟาเขียนโจทย์อีกสองข้อ หลังจากที่ตรวจขั้นตอนและคำตอบจากโจทย์ก่อนหน้าไปแล้ว เธอรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนเองสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ที่ตนไม่เคยชอบมาก่อนได้

พอเหลือบมองเห็นโจทย์สองข้อบนกระดาน เธอขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจเพราะพบว่าเป็นโจทย์ยากที่ไม่มีตัวอย่างในหนังสือเรียนที่เพิ่งอ่านจบไป

ครั้นเธอคิดทบทวนเนื้อหาและสูตรทั้งหมดที่อ่านผ่านตาไปตั้งแต่ต้นจนจบ ปรากฏว่าเธอจับประเด็นสำคัญได้บางอย่างซึ่งเป็นการผสมผสานสูตรและทฤษฎีทั้งหลายเข้าไว้ด้วยกันเพื่อแก้โจทย์หนึ่งข้อ จึงสอบถามครูหลิวเพื่อความแน่ใจว่า

“ครูหลิวคะ หากหนูเขียนคำตอบที่ถูกต้องได้…..ก็พอแล้วใช่ไหมคะ?”

เสิ่นลี่อิงจำได้ว่าเวลาสอบเกาเข่านั้น ไม่จำเป็นต้องเขียนวิธีแก้โจทย์ให้กรรมการตรวจข้อสอบ แต่กรรมการจะเน้นตรวจคำตอบมากกว่า จึงสอบถามเพื่อความแน่ใจก่อนลงมือเขียนคำตอบ

ประการสำคัญวิธีการได้มาซึ่งคำตอบของโจทย์คณิตศาสตร์สองข้อบนกระดานนั้น เด็กสาวคิดที่จะใช้วิธีการของตนเองซึ่งไม่ใช่ตามที่มีในหนังสือเรียน

“หากมั่นใจว่าสามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้ ก็เขียนคำตอบได้เลย ส่วนวิธีการของเธอจะเป็นยังไงนั้น ครูจะลองตรวจดูอีกทีก็แล้วกัน”

ครูหลิวเฟยฟากังวลว่านักเรียนหญิงจะโชคดีเดาคำตอบได้ ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นเพราะเวลาสอบจริงจำเป็นต้องรู้ที่มาของคำตอบเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถแก้โจทย์ได้จริง ไม่ใช่การอาศัยโชคช่วยแต่อย่างใด

“เข้าใจแล้วค่ะ งั้นหนูจะลองทำตามวิธีของหนูก็แล้วกันนะคะ”

เสิ่นลี่อิงพยักหน้าเข้าใจ เธอวางแผนที่จะทดสอบวิธีในการหาคำตอบตามแนวทางของตัวเอง ซึ่งมีความมั่นใจมากกว่าครึ่งว่าตนสามารถแก้โจทย์ได้

เธอรู้สึกยินดีที่พรจากชายชราช่วยให้เธอจดจำเรื่องที่อ่านผ่านตาได้แม่นยำ จึงกล่าวขอบคุณเขาในใจอย่างซาบซึ้งที่ได้รับพรจากเทพแห่งสรวงสวรรค์ โดยที่เธอไม่รู้ถึงที่มาของความเมตตาจากชายชราผู้นั้นเลยสักนิด

ระหว่างที่เสิ่นลี่อิงขีดเขียนวิธีแก้โจทย์อยู่นั้น ครูหลิวเฟยฟามายืนดูอยู่อย่างใกล้ชิดเพราะเขาอยากรู้ว่านักเรียนจะแก้โจทย์ได้อย่างไรในวิธีการที่เขาไม่เคยสอนมาก่อน

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...