ความโปรดปรานที่ไม่มีใครเทียบ นางสนมแพทย์คนสวยของขุนนางหลวง
ข้อมูลเบื้องต้น
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ :Beijing Kaixing culture media co.,Ltd
ประพันธ์โดย :李太白
ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย :Glory Forever Public Co.,LTD
แปลและเรียบเรียงโดย :จินดารัตน์ คนตรง
พิสูจน์อักษร :เรียวรุ้ง พกุลานนท์
บรรณาธิการ : วลีรัตน์ แทนคง
“ไป๋เซียงจู๋” ถูกกล่าวหาว่าคบชู้ ทั้งจับมาขังคุก พรากชีวิตลูกในครรภ์ หนำซ้ำยังโดนตัดแขนตัดขา จากน้ำมือองค์ราชาและน้องสาวในไส้
.
อดีตฮองเฮาอธิษฐานด้วยความแค้น ก่อนสิ้นลมในคุกอย่างน่าเวทนา
‘ข้าขอสาบานด้วยเลือด ความเจ็บปวดในวันนี้
พวกเจ้าจะต้องชดใช้ด้วยเลือด !’
.
และแล้วสวรรค์ก็เห็นใจ ส่งนางย้อนเวลากลับไปใช้ชีวิตอีกครั้งในวัยสิบสอง
นางกลับมาในวันนั้นเอง จุดเริ่มต้นของชะตากรรมอันโหดร้าย
.
เพียงแต่ว่าไป๋เซียงจู๋ในชาตินี้จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของใครอีกต่อไป
จดจำไว้ มันผู้ใดก็ต้องชดใช้ด้วยเลือด !
.
ขอแนะนำนิยายสนุกๆ คัดสรรค์มาเพื่อคุณท่านโดยเฉพาะ
อยากอ่านเรื่องไหน จิ้มได้เลย <3
ตอนที่ 1 กระสายยาจากในครรภ์
ณ ต้าฉี
ภายในคุกใต้ดินอันมืดมิดเย็นเยียบ อบอวลด้วยกลิ่นเชื้อราเหม็นอับและกลิ่นคาวเลือด ร่างผอมบางขดตัวอย่างอ่อนแรงอยู่บนกองฟางแห้งกรังบริเวณมุมห้อง
ร่างคนบนฟางเหมือนกำลังฝันร้าย เวลานี้ใบหน้ายับเยินจึงยิ่งดูขาวซีด หว่างคิ้วขมวดแน่นจัดราวกับถูกใครบีบคอ นางส่งเสียงครวญครางทุ้มต่ำสั่นเครือ บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งความเจ็บปวด เหงื่อกาฬแตกซ่านไปทั่วร่างกายที่สั่นสะท้าน นางหอบหายใจถี่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยฝอยเส้นเลือด อารมณ์ทุกข์ระทมปะทุออกจากดวงหน้าที่ไม่เหลือเค้าเดิม
นางกำฟางท่อนหนึ่งไว้แน่นยามตื่นขึ้นจากฝันร้ายอย่างช้าๆ เมื่อลืมตากลับมาสู่ก้นบึ้งอันแสนเงียบงัน นางลูบท้องที่นูนป่องด้วยความตื่นตระหนก จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนน้อยๆ จากท้อง นางจึงค่อยๆ สงบลง
ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวใกล้ประตูเหล็กเท่านั้น ซึ่งก็ริบหรี่จนไม่สามารถมองเห็นแจ่มแจ้ง
ไป๋เซียงจู๋หัวเราะเยาะตนเอง นางยังนึกหวังอะไรอีก นางรอคอยสิ่งใดอยู่ นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ตัวนางถูกขังไว้ในคุกใต้ดินของพระราชวังนี้วันแล้ววันเล่าร่วมสามเดือนแล้ว ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่รับสั่งให้ปล่อยตัวนาง ไม่แม้แต่จะเหลียวแลด้วยซ้ำ แต่นางมิอาจปฏิเสธว่านางยังหลงเหลือเศษเสี้ยวของความหวังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ นางเชื่อเสมอว่าเขาจะค้นพบความจริงและมอบความบริสุทธิ์คืนให้นาง
เมื่อมีลมพัดผ่าน ไป๋เซียงจู๋หดกายเล็กน้อย มือขวาทาบทับบนหน้าท้องนูน นัยน์ตาเผยแววความอ่อนโยน
“ลูกจ๋า ท่านพ่อเจ้าจะพบความจริงและคืนความยุติธรรมให้แม่แน่ ในไม่ช้า… ในไม่ช้าท่านพ่อเจ้าก็จะมารับพวกเรา…”
ไป๋เซียงจู๋ยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น สีหน้าไป๋เซียงจู๋พลันเปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา นางประคองร่างให้ลุกขึ้น สองตาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังประตูคุก ในที่สุดนางก็เห็นชายที่นางเฝ้าคะนึงหาทุกคืนวัน ไป๋เซียงจู๋ก้าวไปต้อนรับอย่างตื่นเต้นจนแทบล้มคะมำ
ทว่า ขณะที่นางห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งฉื่อ [1] เหยียนอี้เลี่ย ชายผู้ที่นางเคยยกย่องดุจทวยเทพกลับถีบยอดอกของนางอย่างไม่ปรานี สายตามีแต่ความรังเกียจเดียดฉันท์ “นางคนต่ำช้า นึกไม่ถึงว่าจะกล้าหลอกลวงข้า กล้าคบชู้สู่ชายกับราชองครักษ์เสียได้ สมควรตายยิ่งนัก!”
ไป๋เซียงจู๋ล้มลงบนพื้น หัวใจเจ็บช้ำเหมือนโดนมีดกรีด นางขดม้วนกาย ไม่สนความเจ็บปวดรวดร้าวที่แล่นมาเป็นระยะ คลานไปคว้าหลงเผา [2] สีเหลืองอร่ามของเขาไว้ “ลูกในท้องข้าครบเดือนก่อนฝ่าบาทจะไปหนานสวินพอดี ไฉนฝ่าบาทจึงแคลงใจว่าเขาไม่ใช่ลูกของท่าน…”
นางไม่เข้าใจ เด็กคนนี้เป็นลูกของเหยียนอี้เลี่ยอย่างไร้ข้อกังขา วันนั้นเขาเมามาย บังคับนางโดยไม่ให้โอกาสนางทัดทาน บัดนี้กลับพูดว่าเด็กคนนี้เกิดหลังจากเขาเยือนหนานสวิน เท่ากับว่านางลอบมีสัมพันธ์กับผู้อื่น…
เมื่อถูกปรักปรำด้วยความเสื่อมเสียเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในฐานะฮองเฮานางก็แบกรับมันไม่ไหว นางคิดว่าชายคนนี้ที่นางเคยรักหมดใจจะสืบหาความจริงมาล้างมลทินให้นาง ถึงเขาจะขังนางไว้ในคุกใต้ดินเย็นเยือกมืดมิดนางก็กัดฟันทนได้ เพราะมีเสียงหนึ่งจากก้นบึ้งของจิตใจบอกนางมาโดยตลอดว่าเหยียนอี้เลี่ยเชื่อนาง แม้โยนเข้าคุกใต้ดินแล้วก็ยังไม่ตั้งศาลเตี้ยตัดสินนาง… ทว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่นางคิด บัดนี้ชายคนนี้เหยียบท้องของนางอย่างรุนแรง นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชีวิตในครรภ์กำลังสั่นสะท้าน
“แม้ท่านไม่เชื่อในความบริสุทธิ์ของข้า แต่เด็กคนนี้คือลูกของท่าน ท่านจะทำกับเขาเช่นนี้ไม่ได้… ” นางพยายามยกเท้าของเขาขึ้น กรีดร้องแทบขาดใจ
“ข้าไม่ต้องการองค์ชายที่กำเนิดจากมารดาเลวทรามอย่างเจ้า! มิหนำซ้ำ เด็กคนนี้อาจไม่ใช่สกุลเหยียนก็ได้!” แววตาเย็นชาน่าเกรงขามของเหยียนอี้เลี่ยดูโหดร้ายทารุณราวกับอยากจะบดขยี้นางเป็นผุยผง แววตานั้นทิ่มแทงหัวใจนางดั่งลูกศรนับหมื่นดอก
น้องสาวแสนดีที่ยืนอยู่ข้างๆ ในเครื่องแต่งกายงามวิจิตรพลันกล่าวด้วยใบหน้าโศกเศร้า “ท่านพี่ ท่านอย่าปิดบังฝ่าบาทอีกเลย ฝ่าบาททรงทราบแล้ว ท่านลักลอบมีสัมพันธ์กับราชองครักษ์ตั้งแต่ก่อนเดือนแปด เด็กคนนี้ก็ครบเดือนพอดี…”
ไป๋ชิงโหรวจงใจไม่พูดให้จบ แต่เหยียนอี้เลี่ยจะไม่เข้าใจสีหน้าน้ำเสียงนั่นได้อย่างไร ความเยือกเย็นในตาของเขาปะทุออกมาทันที
“ไม่ใช่! ข้าไม่ได้ทำ! อี้เลี่ย ท่านต้องเชื่อข้า!” นางเบิกตากว้างโดยพลัน ไม่อยากเชื่อว่าทำไมน้องที่ไว้ใจที่สุดถึงปรักปรำนางเช่นนี้
“สามหาว! เจ้าไม่คู่ควรที่จะเรียกนามข้า! เจ้าคิดหรือว่าหากไม่ใช่เพราะโลหิตโอสถของเจ้า ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา ฝันไปเถอะ!” เหยียนอี้เลี่ยยื่นมือดึงไป๋ชิงโหรวที่ยืนอยู่ด้านข้างเข้าแนบกาย และเตะไป๋เซียงจู๋ล้มคว่ำอย่างโหดร้าย “ส่งคนมา! ฮองเฮาคุณธรรมจรรยาเสื่อมทราม ถอดถอนตำแหน่งฮองเฮานับแต่บัดนี้ ลงโทษมนุษย์สุกร [3] ขังในคุกใต้ดิน ไร้ซึ่งวันที่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันชั่วกาล!”
“ฝ่าบาท โปรดอย่าลืมกิจสำคัญนะเพคะ ต้องหารือกับท่านพี่ด้วย” ไป๋ชิงโหรวเสแสร้งทำเป็นเหลือบมองท้องนูนของไป๋เซียงจู๋โดยไม่ได้ตั้งใจ
“นางคนต่ำช้านี่ยังควรค่า?” เหยียนอี้เลี่ยบีบคอนางอย่างเลือดเย็นและสะบัดทิ้งด้วยความชิงชัง “มา! ผ่าเลือดนอกคอกนั่นออกมาให้ข้า!”
นางเหมือนถูกสายฟ้าฟาด มองใบหน้าด้านชาของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทั้งที่ก่อนเกิดเรื่องเขายังปฏิบัติรักใคร่กับนางดี ทำไมผ่านไปสามเดือนถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้
เมื่อเหยียนอี้เลี่ยโอบไป๋ชิงโหรวถอยห่างไป เหล่าขันทีก็ถือมีดเยื้องย่างเข้ามา พวกเขาจัดการควบคุมร่างกายที่ดิ้นรนของนางไว้อย่างแน่นหนา นางถึงรู้สึกตัวเมื่อมองเหล่าขันทีที่จับมือนาง ใบหน้าพวกเขาตื่นเต้นเจือความอำมหิต เข้าประชิดนางทีละก้าว
“ไม่ อย่านะ พวกเจ้าทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!” นางแผดเสียงจนใจแทบขาด ทว่ายังไม่สามารถยับยั้งให้คนเหล่านี้หยุดยื่นมีดมาจรดท้องน้อยของนางได้
“พระมเหสีจู๋เฟย ล่วงเกินแล้ว”
“ไม่! อย่าทำร้ายลูกข้า! อ๊า—” คมมีดแรกกรีดลากผ่านท้องน้อยนูนของนาง โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว รอยกรีดขยายจนถึงบริเวณลิ้นปี่ กลิ่นคาวเตะจมูก ตัวอ่อนในครรภ์ไหลตามออกมาพร้อมโลหิต…
นางนอนจมกองเลือด ม่านตาเบิกโพลง น้ำตาพรั่งพรู ริมฝีปากขบแน่นจนหลั่งเลือดแดงฉานน่าหวาดกลัว นางเห็นตัวอ่อนที่หลุดออกมากับเลือดห่างไปไม่ไกล นั่นคือลูกน้อยของนาง…
เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เขายังร่าเริงเปี่ยมพลังอยู่ในครรภ์ของนาง นางยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา ถึงชีพจรของเขา บัดนี้เขากลับกลายเป็นร่างไร้วิญญาณเย็นเฉียบที่จะไม่โลดเต้นหรือขยับเขยื้อนอีกแล้ว…
เมื่อก้อนเลือดเนื้อรูปร่างคล้ายทารกถูกยกไปจากนาง ไป๋เซียงจู๋ฝืนทนความเจ็บปวดพยายามกระเสือกกระสน ทว่ากลับพบคมมีดที่สองตามมา
ด้วยคมมีดนี้ แขนข้างหนึ่งของนางถูกตัดทิ้ง เลือดสาดกระเซ็น!
ท่ามกลางน้ำตาแห่งความอาดูรของนาง นางไม่คิดไม่ฝันว่าสามีกับน้องสาวจะเก็บตัวอ่อนที่หลุดออกมาต่อหน้านางพร้อมด้วยรอยยิ้มและจากไปได้ลงคอ
อีกหนึ่งมีด! ไร้แขนทั้งสอง!
คมมีดที่สี่! ตัดขาหนึ่งข้าง!
----------------------------------------
นอกหน้าต่าง ดอกไม้ไฟเบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะปกคลุมทั่วท้องฟ้าต้าฉี นักดนตรีบรรเลงบทเพลงไพเราะเสนาะหูเผื่อทั้งวังหลวง เพียงแต่ไม่เข้าหูนางคนเดียวเท่านั้น เพราะวันนี้เป็นวันที่มู่จื่อรั่วน้องสาวคนดีของนางเถลิงตำแหน่งฮองเฮา และยังเป็นวันที่น่าสังเวชที่สุดของนาง เซียงจู๋ยิ้มบางๆ รอยยิ้มของนางเหมือนอยู่ท่ามกลางฟ้าใสเดือนสี่ แต่ก็เย็นเยียบหนาวกระดูกเหมือนอยู่ใต้สระน้ำเย็นพันปีในเวลาเดียวกัน
จนถึงยามเที่ยงคืน ดนตรีวังหลวงจึงค่อยๆ เงียบลับไป ขณะไป๋เซียงจู๋กำลังง่วงซึม ประตูคุกแช่แข็งบานนั้นเปิดออกเสียงดังลั่น ร่างเหลืองอร่ามประดับศีรษะด้วยมงกุฎหงส์ย่างเข้ามาอย่างเชื่องช้า ไป๋เซียงจู๋ลืมตาพบกับใบหน้าที่นางเกลียดชังที่สุดในโลก
มู่จื่อรั่วเดินมายังเบื้องหน้าไป๋เซียงจู๋ด้วยรูปโฉมที่แต่งเติมอย่างพิถีพิถัน ใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนหวานหาใครเปรียบมิได้ “ท่านพี่ ท่านดูสิ เฟิ่งเผา [4] ชุดนี้ของน้องเป็นอย่างไร งามหรือไม่”
ไป๋เซียงจู๋หัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นจึงหลับตาลง
เชิงอรรถ
[1]尺ฉื่อ คือ มาตราวัดความยาว เท่ากับประมาณ 33.3 เซนติเมตร
[2]龙袍 หลงเผา หรือ เสื้อคลุมมังกร คือ ฉลองพระองค์ของฮ่องเต้ในสมัยโบราณ ปักลวดลายมังกรอันเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
[3]人彘 มนุษย์สุกร คือ การลงโทษที่เล่าขานกันว่าลฺหวี่ไทเฮาคิดค้นขึ้นเพื่อใช้จัดการชีฮูหยิน หญิงที่พระนางจงเกลียดจงชัง เพราะชีฮูหยินเป็นสนมคนโปรดของฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่พระสวามีของนาง หลังจากฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่สวรรคต องค์รัชทายาทหลิวอิ๋งบุตรชายลฺหวี่ไทเฮาขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ฮั่นฮุ่ยตี้ ลฺหวี่ไทเฮาเนรเทศชีฮูหยินไปอยู่ในตรอกยาว (เรือนพำนักของนางกำนัลที่ยังไม่ถูกส่งเข้าวังหลวงและบรรดานางสนมที่เสื่อมอำนาจหรือเสื่อมความโปรดปราน) รับสั่งคนโกนผมนางทิ้ง ใช้นางทำงานตำข้าว วันหนึ่ง ฮ่องเต้ฮั่นฮุ่ยตี้กลับมาจากล่าสัตว์ มีขันทีเชิญไปชม ‘มนุษย์สุกร’ ภายในห้องน้ำของตรอกยาว พระองค์เห็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งอยู่ในนั้น โดนตัดแขนขา ใบหน้าถูกกรีดลายพร้อย ไม่มีผมและคิ้ว ถูกตัดหู ตัดจมูก ตัดลิ้น เบ้าตากลวงโบ๋ไร้ลูกตา เหลือเพียงร่างที่เหมือนก้อนเลือดเนื้อ ฮ่องเต้ฮั่ยฮุ่ยตี้ดูไม่ออกว่าคือสิ่งใด เมื่อถามขันที ก็ทราบว่าเป็นสนมชีที่ถูกทำให้มีสภาพนี้โดยพระมารดา แม้แต่ฮ่องเต้ฮั่นฮุ่ยตี้เองยังตกใจและรับไม่ได้ในสิ่งที่มารดาตนกระทำ
[4]凤袍 เฟิ่งเผา หรือ เสื้อคลุมหงส์ คือ ฉลองพระองค์สำหรับฮองเฮาและเหล่านางสนมของฮ่องเต้ ปักลวดลายหงส์ สัตว์เคียงคู่มังกรตามความเชื่อ
-------------------------------------
.
.
ติดตามได้ก่อนใคร และร่วมให้กำลังใจ นักเขียน นักแปลได้ที่นี่ เลยค่า~ >/\<
> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <
ตอนที่ 2 เกิดใหม่พร้อมความชิงชัง
“ท่านพี่ พี่รั่วเอ๋อร์หวังดีมาเยี่ยมเยียนท่าน ไยท่านช่างเย็นชายิ่งนัก” ไป๋ชิงโหรวที่แต่งองค์ทรงเครื่องเลิศเลอไม่แพ้กันเยื้องย่างมาหยุดอยู่ข้างไป๋เซียงจู๋ ลูบๆ ปัดๆ ใบหน้าที่แทบไม่เห็นเค้าโครงเดิมของนางด้วยท่าทางเวทนาเหลือแสน
ไป๋เซียงจู๋พลันเบิกตากว้าง แผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด “ไปให้พ้น!”
“โอ๊ะ ยังดุร้ายจริงเชียว ฝ่าบาทบอกว่าจัดการให้กลายเป็นมนุษย์สุกรแล้วมิใช่หรือ ทำไมนางคนชั้นต่ำนี่ยังยอกย้อนได้ โชคดีเหลือเกินนะ!” ไป๋ชิงโหรวตกใจเล็กน้อย ยอมรับไม่ได้ว่าตนถูกนางคนไร้ค่านี่ข่มขวัญ
“น้องโหรวอย่าเสียมารยาทสิจ๊ะ พวกเรามาเพื่อขอบคุณท่านพี่นะ” มู่จื่อรั่วเดินสองก้าวไปตรงหน้าไป๋เซียงจู๋ ไป๋เซียงจู๋จ้องนางเขม็ง แววตาเผยความเกลียดชังรุนแรง
มู่จื่อรั่วเดินผ่านโดยเมินเฉยความเกลียดชังของนาง นิ้วมือเรียวยาวแต่งแต้มด้วยเล็บสีสันสวยงามลากผ่านใบหน้ายับเยินของไป๋เซียงจู๋เบาๆ นางเม้มริมฝีผาก สีหน้าเผยร่องรอยของความพยาบาทอาฆาตแค้น
ผู้ใดจะรู้ว่าไป๋เซียงจู๋เล็งเห็นโอกาสกระโจนเข้าไปกัดนิ้วมือที่ลากผ่านมุมปากอย่างจัง
เพียะ!
ไป๋เซียงจู๋โดนฝ่ามือตบจนกลิ้งเกลือกไปอีกทาง เลือดสีสดไหลซึมออกจากมุมปาก
“คนชั้นต่ำอย่างเจ้ากล้ากัดข้าหรือ! ไม่อยากมีชีวิตแล้วสินะ!” มู่จื่อรั่วเดือดดาล นางยืนขึ้นและแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม
“ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะอดทนได้ถึงเมื่อไร” มู่จื่อรั่วยกมือขึ้น ขันทีข้างกายกุลีกุจอส่งยาขวดหนึ่งให้ทันที
มู่จื่อรั่วมองไป๋เซียงจู๋และฉีกยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าเก่งกล้าสามารถนักมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้เจ้าลิ้มรสความร้ายกาจของสิ่งนี้แล้วกัน!”
นางตะแคงขวดเงิน ของเหลวที่ผสมเศษอาหารเน่าเสียถูกเทลงบนรางกายของไป๋เซียงจู๋ทั้งขวด
“อ๊า—”
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาบ่งบอกความทรมานเหลือแสนดังก้องในห้องขังเป็นเวลานาน บาดแผลที่เดิมทีมีอยู่มากมายทั่วร่าง ยิ่งเน่าเฟะจนน้ำเลือดน้ำหนองไหลซึมไม่ขาดสาย แลดูน่าขยะแขยง อีกทั้งยังน่าอเนจอนาถเสียจนทนมองไม่ได้ ซ้ำร้ายเสียงกรีดร้องนั่นฟังแล้วสยดสยองยิ่งกว่าสิ่งใด
มู่จื่อรั่วเองก็ตกใจเช่นกัน นึกไม่ถึงเลยว่าน้ำกรดขวดย่อมนี่จะน่าสะพรึงกลัวปานนี้ ขวดเงินร่วงจากมือนางลงบนพื้น นางถอยหลังเล็กน้อยด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อไป๋ชิงโหรวที่อยู่ข้างๆ เห็นว่ามู่จื่อรั่วชั่วร้ายได้ถึงขนาดนี้ นางก็อึ้งไปชั่วครู่ ทว่าก็ตอบสนองทันที รีบดึงมู่จื่อรั่วมายืนอยู่ในจุดที่ค่อนข้างห่างจากไป๋เซียงจู๋
เจ็บ นางเจ็บเหลือเกิน เจ็บปวดยิ่งกว่าตอนถูกหั่นแขนขาเป็นหมื่นเท่า
นางทุกข์ทรมานจนกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องด้วยแขนขาถูกตัด นางจึงทำได้เพียงกลิ้งเกลือกไปมาบนพื้นเท่านั้น ร่างกายขดเป็นก้อนกลมชักกระตุกไม่หยุด ภาพอันน่าสะพรึงกลัวทำเอาหญิงสาวทั้งสองเสียขวัญ
พอยกมือขึ้นดูนิ้วที่ถูกไป๋เซียงจู๋กัด มู่จื่อรั่วขมวดคิ้วงาม นิ้วเรียวยาวขาวดุจหิมะโชกเลือด แผลถูกกัดนั้นลึกถึงกระดูก
นางคนชั้นต่ำนี่ กล้ากัดนางเสียได้!
เมื่อเห็นไป๋เซียงจู๋เกลือกกลิ้งบนพื้น ความตื่นตระหนกเมื่อครู่ของมู่จื่อรั่วก็สลายสิ้นไป ความตื่นเต้นหาสิ่งใดเปรียบมิได้เข้าแทนที่ นัยน์ตาดุจระลอกน้ำใสเปี่ยมล้นด้วยความสุขสำราญ ความสุขสำราญแห่งการแก้แค้น!
“ท่านพี่ เสียงร้องของท่านช่างน่าสังเวชนัก เฮอะ ไม่คิดว่าจะกล้ากัดข้า ข้าจึงทำให้แม้แต่ปากของเจ้าเน่าเปื่อยไปพร้อมกันเสียเลย ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” มู่จื่อรั่วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“หญิงไร้ค่านี่สมควรได้รับโทษทัณฑ์แล้ว ใครใช้ให้นางบังอาจล่วงเกินท่านพี่” ไป๋ชิงโหรวยืนอย่างเคารพนบนอบข้างกายมู่จื่อรั่ว มองไป๋เซียงจู๋ที่ทรมานจนไม่อยากมีชีวิตต่อไปด้วยความเพลิดเพลิน
“มู่จื่อรั่ว! ไป๋ชิงโหรว! ข้าจะฆ่าพวกเจ้า ฆ่าพวกเจ้า!” ไป๋เซียงจู๋ตะเบ็งร้องสุดเสียงเหมือนใจจะขาด รูม่านตาเคล้าน้ำเลือดขยายกว้าง ความเกลียดชังแผ่ซ่านเหมือนงูพิษที่เลื้อยลาม
มู่จื่อรั่วถลึงตาไร้เดียงสาคู่นั้นพลางกล่าวกับนาง “ท่านพี่ เจ้าคิดว่าเจ้ามีใบหน้างามล่มเมืองหรือ เจ้าไม่รู้จักถ่ายเบาส่องเงาตน [1] ในตอนนี้เลย ทั้งอัปลักษณ์ ทั้ง—” พอนางพูดถึงประโยคท้าย ก็หัวเราะอย่างควบคุมไม่อยู่ “น่าสะอิดสะเอียน! ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ามีความรู้ความสามารถแล้วอย่างไร สุดท้ายสิ่งที่เขาต้องการก็คือใบหน้าไร้พิษภัยของข้าอยู่ดี! อุ๊ย ขอขอบพระคุณท่านพี่ ในที่สุดโรคเรื้อรังหลายปีมานี้ของน้องก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว นึกไม่ถึงว่าเลือดเด็กอ่อนในครรภ์ที่ฝ่าบาทส่งมาทำกระสายยานั้นได้ผลลัพธ์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ข้าไม่ต้องนอนพักติดเตียงอีกต่อไป ดูสิ แค่ไม่กี่ชั่วยามน้องก็อดใจไม่ไหวรีบมากล่าวขอบคุณท่านพี่ทันที ชิ เพียงแต่น่าเวทนาเหลือเกิน องค์ชายตัวน้อยเท่านั้นเอง… เป็นองค์ชายเชียวนี่นะ”
เห็นใบหน้าเสแสร้งของมู่จื่อรั่วแล้ว ไป๋เซียงจู๋อยากคลานเข้าไปกัดใบหน้าใสซื่อนี่เดี๋ยวนี้เต็มที!
“อย่ามาจ้องข้านะ จ้องอีกเท่าไรหน้าของเจ้าก็ไม่กลับมาสวยหรอก” มู่จื่อรั่วมองดวงหน้าที่เคยงามล่มเมืองของผู้พี่ด้วยความเสียดาย ทุกถ้อยคำปรามาสกรีดแทงหัวใจ ไป๋เซียงจู๋ขึงตาจนเบ้าแทบแยกออกจากกัน “มู่จื่อรั่ว! ข้าผิดต่อเจ้าตรงไหน!”
มู่จื่อรั่วฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของไป๋เซียงจู๋ นางพูดพล่ามอย่างชั่วร้ายด้วยท่าทีคล้ายบ้าคลั่ง “ทั้งที่เจ้าแต่งเป็นแค่อนุของเหยียนอี้เลี่ยที่เป็นองค์ชายผู้ไม่ได้รับความโปรดปรานแท้ๆ แต่ทำไมเจ้าถึงโชคดีปานนั้น เขากลายเป็นฮ่องเต้ และเจ้าก็กลายเป็นฮองเฮา ทว่าข้ากลับกลายเป็นหญิงม่าย กลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั่วหล้า! ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม! คนต่ำต้อยตัวปัญหาที่จู่ๆ ก็โผล่มาเช่นเจ้า ไฉนจึงหยิ่งยโสเสียเต็มประดา ขี่อยู่บนหัวข้า แย่งเกียรติยศของบุตรีคนโตในภริยาเอกไปจากข้า มารดาข้าต่างหากที่เป็นนายหญิงแห่งจวนเหิงชินอ๋อง [2] ! ข้าต่างหากที่เป็นบุตรีภริยาเอกอย่างชอบธรรมของจวน เจ้ามีสิทธิ์อะไร! ถึงกระนั้นบัดนี้ก็ดีแล้วล่ะ ตำแหน่งฮองเฮาเป็นของข้า ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหนๆ เจ้าก็คู่ควรเพียงถือรองเท้าให้ข้าเท่านั้น!”
“เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว ข้าก็ไม่เกรงกลัวที่จะบอกเจ้าหรอกนะ! ข้าแค่ทูลฝ่าบาทว่าโรคเรื้อรังของข้าต้องใช้เลือดตัวอ่อนในครรภ์จากกายโลหิตโอสถของเจ้า ฝ่าบาทจึงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อจนเด็กครบกำหนดเพื่อข้า หากมิใช่เพราะโลหิตโอสถจะถ่ายทอดไปสู่เลือดชั่วในครรภ์ของเจ้า ฝ่าบาทอาจไว้ชีวิตเจ้าอีกสักสองสามวันก็เป็นได้ เจ้ารู้ไหมว่าโลหิตโอสถของเจ้าช่วยฝ่าบาทได้มากเพียงใด เอาชนะใจผู้คนได้มากเท่าไร และยังมีพี่ชายผู้สร้างวีรกรรมน่าสรรเสริญของเจ้า ทำไมฝ่าบาทถึงส่งเขาไปรักษาการณ์ชายแดน สุดท้ายก็ตายไปโดยไร้แม้แต่กระดูก ทำไมมารดาผู้โอบอ้อมอารีของเจ้าถึงจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน ไป๋เซียงจู๋ ทุกสิ่งที่ดูเหมือนบังเอิญพวกนี้ ล้วนคืออุบายที่ข้ากับฝ่าบาทวางไว้อย่างรอบคอบ ไป๋เซียงจู๋ เจ้ามันคนโง่เง่า! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้นี่เอง!
นางปฏิบัติต่อน้องสาวเป็นอย่างดี เคารพนบนอบต่อแม่เลี้ยง ไม่เคยคิดเลยว่าความจริงใจจะถูกโยนทิ้งลงในโคลนตม ซ้ำยังถูกวางอุบายทำร้ายแสนสาหัสมากมาย! นางจัดแจงกิจธุระเพื่อสามี มอบทุกอย่างที่มีให้เขา เขากลับตอบแทนด้วยการรีดเค้นสิ่งล้ำค่าของนางจนหยดสุดท้ายแล้วละทิ้งอย่างไม่แยแส แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเองก็ตาม!
พี่น้องต่อสู้เพื่อความโปรดปรานอะไรกัน แท้จริงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น องค์จักรพรรดิคือผู้ที่จิตใจโหดเหี้ยมที่สุด ไยนางเพิ่งเข้าใจเอาวันนี้!
น่าขัน! ไป๋เซียงจู๋ เจ้าช่างน่าขันเหลือเกิน!
แม้ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม นางยังหวังว่าเขาจะค้นหาความจริงและคืนความยุติธรรมให้ ผู้ใดจะรู้ว่าทั้งหมดนี้ถูกวางแผนโดยชายที่นางรักสุดหัวใจ นางคือหมากของเขาตั้งแต่แรกเริ่ม!
ไฟโทสะในใจพลุ่งพล่านพร้อมกับความชิงชัง ทันใดนั้นไป๋เซียงจู๋ก็กระอักเลือดออกมา นางเงยหน้าหัวเราะลั่นจนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
นางออกแรงกัดโคนลิ้นขาด เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนเฟิ่งเผา
เสียงคำสาปแช่งโหยหวนของนางกึกก้องไปทั่ววังหลวง “ข้าขอสาบานด้วยเลือด เหยียนอี้เลี่ย! มู่จื่อรั่ว! รวมถึงเจ้า ไป๋ชิงโหรว! ความเจ็บปวดในวันนี้ ชาติหน้าพวกเจ้าจะต้องชดใช้ด้วยเลือดอย่างแน่นอน!”
คืนนั้น เปลวไฟลึกลับปะทุจากคุกใต้ดิน ทุกสิ่งเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เชิงอรรถ
[1]撒泡尿看看自己 ถ่ายเบาส่องเงาตน เป็นการเสียดสีอีกฝ่ายว่าไม่รู้ข้อบกพร่องของตนเอง ให้ปัสสาวะลงพื้น จากนั้นก็ส่องดูตนจากเงาสะท้อนในแอ่งปัสสาวะเสีย จะได้รู้ว่าตนนั้นเป็นอย่างไร
[2]亲王 ชินอ๋อง คือ ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่หนึ่ง แต่งตั้งโดยฮ่องเต้ เป็นตำแหน่งสูงสุดรองจากตำแหน่งรัชทายาท
-------------------------------------
.
.
ติดตามได้ก่อนใคร และร่วมให้กำลังใจ นักเขียน นักแปลได้ที่นี่ เลยค่า~ >/\<
> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <
ตอนที่ 3 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
“สาดน้ำปลุกนางให้ข้า แกล้งตายอะไร จะตายก็ไปตายไกลๆ หน่อย!”
เสียงเอ็ดตะโรดังขึ้นตามด้วยวาจาถากถาง จากนั้นน้ำเย็นเข้ากระดูกก็ปลุกไป๋เซียงจู๋ให้ตื่นจากการหลับใหล
พอร่างกายรู้สึกหนาวสั่น สติทั้งหมดของไป๋เซียงจู๋ก็หวนคืน นางขมวดคิ้วนิ่วหน้า อาการปวดร้าวจู่โจมทั่วร่าง แต่ไม่หลงเหลือความเจ็บปวดแสนสาหัสอีกแล้ว
นางลืมตาโดยพลัน เผชิญกับใบหน้าร้ายกาจยากจะหาใครเหมือนที่คุ้นเคย
“อวี๋ซื่อ…” [1]
ริมฝีปากแห้งแตกเปล่งสองพยางค์นี้ออกมาอย่างสั่นเทา ทว่ามันกลับยั่วยุอวี๋ซื่อให้แผดเสียงโวยวาย
“นางเด็กโง่ กล้าเอ่ยนามของน้าเจ้าเชียวรึ ข้าว่าเจ้าคงหน่ายที่จะมีชีวิตต่อแล้ว!”
อวี๋ซื่อพูดจบก็ถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมตบหน้าไป๋เซียงจู๋
“อย่าตีคุณหนูเลยนะเจ้าคะ คุณหนูไม่ได้ตั้งใจ” ตู้เจวียน สาวใช้ประจำตัวทนเห็นคุณหนูโดนทำร้ายอีกไม่ได้ รีบถลามาขวางหน้าไป๋เซียงจู๋ทันที
เมื่อมองแผ่นหลังผอมบางตรงหน้า ไป๋เซียงจู๋เจ็บใจมิใช่น้อย
“ท่านน้า ท่านจะให้ข้าไปวัดขอพรให้นายหญิงมิใช่หรือ ถ้าท่านตบตีข้า นายหญิงเห็นเข้าต้องตำหนิท่านเป็นแน่”
ไป๋เซียงจู๋ยื่นมือผลักตู้เจวียนให้พ้นจากตัว พลันรับฝ่ามือของอวี๋ซื่อที่เหวี่ยงมาอย่างแม่นยำแล้วบีบมือนั้นแน่น
“เจ้าเด็กตัวจ้อยแข็งข้อแล้วนี่ บังอาจนำท่านยายเจ้ามาขู่ข้า เอาละ หากวันนี้ไม่สั่งสอนเจ้าเสียบ้าง เจ้าคงยังไม่รู้ว่าควรเคารพผู้หลักผู้ใหญ่อย่างไร!” อวี๋ซื่อพูดพลางสะบัดมือ แต่ไม่ว่านางจะออกแรงเท่าไร มือของเด็กคนนี้กลับไม่ต่างจากคีมเหล็กที่รั้งนางไว้อย่างแน่นหนา บีบจนนางเจ็บข้อมือยิ่งนัก แต่ก็ไม่สามารถดิ้นให้หลุดจากพันธนาการนั้นได้
สีหน้าอวี๋ซื่อย่ำแย่เหลือทน เป็นไปไม่ได้ เด็กนี่ผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูก ท่อนแขนนั่นไม่ต่างจากฟืนแห้งๆ ไม่คิดว่าจะมีกำลังมากปานนี้!
“จู๋เอ๋อร์มิกล้า แค่ไม่อยากให้ท่านน้าโมโห วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ หากจู๋เอ๋อร์เจ็บตัวเอาตอนนี้ จะไม่เป็นมลทินแก่สายตาพระพุทธองค์หรือ อย่างน้อยต้องแต่งกายสะอาดน่าชมไปขอพรถึงจะสมหวังนะเจ้าคะ” ไป๋เซียงจู๋คลี่ยิ้มบาง ดวงหน้าเล็กงามเบ่งบานดุจดอกไห่ถัง [2] คำพูดของนางซ่อนความนัยลึกซึ้งอื่น และนางก็ทราบว่าน้าสะใภ้ของนางจะเข้าใจมัน
อวี๋ซื่อกัดฟันมองนางอย่างจงเกลียดจงชัง นางเด็กทรามคนนี้เหมือนมารดาเจ้ามารยาของมันมิมีผิด เกิดมางดงาม ใช้งานลำบากตรากตรำเพียงใดก็ไม่หมองคล้ำ กลับกลายเป็นยิ่งพริ้งเพราเสียด้วยซ้ำ นี่เพิ่งอายุสิบสองปีก็มีเค้าหน้าเย้ายวนใจแล้ว ถ้าไม่รีบจัดการย่อมเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของโหรวเอ๋อร์ลูกสาวนางมิใช่หรือ
ไม่เกินชั่วอึดใจหลังจากนึกถึงเรื่องที่ตนเตรียมการไว้ อวี๋ซื่อโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าพูดถูก เพื่อมิให้แปดเปื้อนสายตาของพระพุทธองค์ ในเมื่อเจ้าตอบรับจะไปขอพร เช่นนั้นก็ให้เจ้าพักผ่อนสักสองสามวันแล้วกัน ธุระเหล่านี้หลังกลับมาค่อยจัดการ ส่วนเสื้อผ้านี่เตรียมไว้สำหรับเจ้า รีบไปเก็บข้าวของให้ไว อย่าให้คนนอกนินทาได้ว่าน้าสะใภ้คนนี้เอาเปรียบเจ้า”
“ท่านน้าปฏิบัติกับจู๋เอ๋อร์ประหนึ่งลูกสาวแท้ๆ ผู้อื่นจะตำหนิว่าท่านเอาเปรียบได้อย่างไร จู๋เอ๋อร์ขอบพระคุณท่านน้า จะแต่งตัวให้สวยงามน่าชม ไม่ทำให้ท่านอับอายแน่” ไป๋เซียงจู๋พยักหน้าอย่างนอบน้อม นางปล่อยอวี๋ซื่อเป็นอิสระ แล้วกลับคืนสู่ท่าทางหัวอ่อนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดังเดิม
เมื่ออวี๋ซื่อได้ยินว่านางจะแต่งตัวอย่างดี ในใจรู้สึกเบิกบานยิ่ง สีหน้าก็ดูผ่อนคลายลง เจ้าตัวสั่งกับเซียงจิ้งสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “ให้เซียงจิ้งช่วยเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นให้แม่เฒ่าตู้สอนมารยาท เมื่อออกจากเรือนเจ้าคือคุณหนูตระกูลไป๋ กิริยาวาจาต้องถูกต้องตามธรรมเนียม อย่าให้ตระกูลไป๋ขายหน้าเชียว!”
เมื่ออวี๋ซื่อมอบหมายกิจสัพเพเหระเสร็จก็จากไปโดยไม่ขวางการปฏิบัติงานของเซียงจิ้งและแม่เฒ่าตู้อีก
ในห้องนี้ นอกจากตู้เจวียนที่เป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัตินางมาตลอด อวี๋ซื่อจงใจสั่งทั้งเซียงจิ้งและแม่เฒ่าตู้ให้อยู่ที่นี่ แม้จะบอกว่าเพื่อช่วยนาง แต่ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อจับตาดูนางเท่านั้น หากนางยังเป็นไป๋เซียงจู๋ในชาติก่อน ตอนนี้คงโดนโฉมหน้าจอมปลอมของอวี๋ซื่อลวงหลอกเข้าแล้ว ตัวนางในชาติก่อนนั้นไร้เดียงสา คิดว่าอวี๋ซื่อเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อนางบ้างแล้วจริงๆ แค่นางไหว้พระขอพรอย่างตั้งใจ ก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนเก่าอีกต่อไป
พอบัดนี้มาคิดทบทวนอีกครั้ง ตนในอดีตชาติช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน สุนัขที่กินเนื้อติดกระดูกจนชิน จู่ๆ จะกินผักกินไม้ได้อย่างไร! [3]
ตัวนางในชาติที่แล้วนั้นใจเสาะ กอปรกับมารดาไม่ดูดำดูดีสักเท่าไร รวมถึงถูกท่านตาท่านยายเมินเฉย เป็นเหตุให้อวี๋ซื่อเอาเปรียบและข่มเหงนางทุกทาง มารดาของนางอ่อนแอ ตั้งแต่ให้กำเนิดนางและพี่ชายเป็นต้นมาก็สุขภาพไม่แข็งแรง นอกจากนี้ยังหมดสิ้นกำลังใจ ไม่เหลือความหวังในการมีชีวิตอยู่ไปนานแล้ว
ชาติก่อนนางไม่เคยเข้าใจว่าทำไมมารดาจึงเป็นเช่นนั้น บัดนี้นางกลับรู้แจ้งแล้ว
มันจะรู้สึกอย่างไร เมื่อหญิงสาวผู้ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งคลอดลูกทั้งที่ไม่ได้แต่งงาน สุดท้ายชายคนนั้นกลับร่วมเรียงเคียงหมอนกับหญิงอีกคนหนึ่ง แต่นางในตอนนี้…
มือใต้แขนเสื้อกำแน่น ไป๋เซียงจู๋แสยะยิ้มมุมปากน้อยๆ ในดวงตาดำสนิทคู่นั้นมิใช่ความสับสนและขี้ขลาดอีกต่อไป แต่เป็นความมืดมิดที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
ไป๋เซียงจู๋ลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปยังหน้าคันฉ่องสัมฤทธิ์ จวนไป๋ที่ดูหรูหราฟู่ฟ่าอย่างทุกวันนี้ อันที่จริงถูกบ้านรองขุดสมบัติไปจนหมดเกลี้ยงตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้ไม่พ้นอยู่อย่างยอมตายดีกว่าสูญเสียเกียรติ การไปขอพรที่วัดครั้งนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์แอบแฝง น้าสะใภ้แสนดีทำเพื่อหาเงินเข้าตระกูลไป๋สักก้อน ยิ่งไปกว่านั้นคืออาศัยโอกาสกำจัดเสี้ยนหนามเช่นนาง
นางส่องคันฉ่องหกเหลี่ยมที่แตกไปหนึ่งเสี้ยว ไป๋เซียงจู๋สงบสติอารมณ์และหยิบเศษคันฉ่องนั่นขึ้นมา แม้การตอบสนองเมื่อครู่นั้นรวดเร็วเหลือเชื่อ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแขนขาของนางอยู่ครบถ้วน อีกทั้งจำเรื่องในวันขอพรได้อย่างไม่รู้ตัวเพียงเพราะเห็นหน้าอวี๋ซื่อ
ความจริงยืนยันว่าทุกสิ่งที่นางคิดล้วนถูกต้อง นาง… คืนชีพ? ไม่ นางเกิดใหม่แล้ว!
เชิงอรรถ
[1]海棠花 ดอกไห่ถัง คือ ดอกของต้นไห่ถังซึ่งเป็นพืชในสกุลแอปเปิล ดอกเล็กเป็นพวงสีขาวหรือชมพู
-------------------------------------
.
.
ติดตามได้ก่อนใคร และร่วมให้กำลังใจ นักเขียน นักแปลได้ที่นี่ เลยค่า~ >/\<
> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <