โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

13 อาหารแสลง สำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นม

Motherhood.co.th

เผยแพร่ 02 ม.ค. 2563 เวลา 11.45 น. • Motherhood.co.th Blog

13 อาหารแสลง สำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นม

คุณแม่มือใหม่หลายคนที่กำลังให้นมเจ้าตัวเล็กอาจจะกำลังสงสัยว่ามีอาหารประเภทได้บ้างที่จัดเป็น "อาหารแสลง" ที่คนกำลังให้นมลูกอยู่ไม่ควรรับประทาน และหากเผลอรับประทานเข้าไปบ้างจะส่งผลเสียอะไรหรือเปล่า วันนี้ Motherhood จะมาไขข้อข้องใจเรื่องนี้ให้ได้ทราบกันค่ะ

ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น แม่จะต้องการแคลอรี่ที่มากขึ้นกว่าเดิมถึง 500 แคลอรี่ด้วยกัน เพื่อที่จะได้รับพลังงานอย่างเพียงพอและสารอาหารในการผลิตนมแม่ แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ต้องงดอาหารและเครื่องดื่มมากมายเพื่อให้แน่ใจได้ว่าทารกจะไม่ได้รับผลข้างเคียงผ่านทางนมแม่ สิ่งนี้เองทำให้กระบวนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีความซับซ้อน

เป็นที่รู้กันดีว่าทุกอย่างที่แม่กินเข้าไปจะส่งผ่านไปรวมในน้ำนม อาหารบางชนิดสามารถเปลี่ยนรสชาติของน้ำนมทำให้ทารกปฏิเสธที่จะกินนม ในขณะที่อาหารบางอย่างก็อาจนำมาซึ่งผลข้างเคียงที่หนักเอาการ ตัวอย่างเช่น แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินของหวานมากเกินไปก็สามารถทำให้ลูกน้อยของเธอเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน  โรคไขมันในตับ โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมอง ยังไม่รวมถึงการถูกขัดขวางพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ในช่วงที่เขากำลังเติบโตนี้ด้วย

ฟรุกโตสพบในนมแม่ การศึกษาจำนวนมากได้พิสูจน์แล้วว่าฟรุกโตสที่ได้รับจากผลไม้ อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มผสมน้ำตาล สามารถส่งไปยังทารกได้ผ่านทางนมแม่ แม้มีฟรุกโตสปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่าเมล็ดข้าวในการให้นมแม่กับเด็กทั้งวัน ก็สามารถสร้างเซลล์ไข่มันในทารกได้แล้ว และมันส่งผลให้เด็กโตเร็วขึ้น ทำให้เด็กอ้วนขึ้นจากแคลอรี่ที่ไม่ได้ให้พลังงานที่ดี ในขณะที่ทำลายตับของเด็ก ฟรุกโตสที่ส่งผ่านทางน้ำนมแม่นี้จะไหลเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ซึ่งตับจะทำหน้าที่แปรรูปและเปลี่ยนเป็นไขมัน สำหรับเด็กแล้ว ช่วงเวลาที่สำคัญที่เขาจะพัฒนาและเติบโต นี่คือความเสียหายที่เขาจะได้รับ

ให้นมลูกอย่างรับผิดชอบ

สิ่งที่ต้องจำขึ้นใจก็คือการให้นมลูกด้วยความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบนี้หมายถึงคุณต้องรับผิดชอบในตัวเลือกที่คุณเลือกเพื่อลูกของคุณ รวมถึงสิ่งที่คุณจะใส่ปากของคุณเพื่อเลี้ยงเขาด้วย เต้านมไม่ได้ทำหน้าที่กรอง มันส่งผ่านสารอาหารที่ดีเช่นเดียวกับสารอาหารที่แย่ไปยังลูกของคุณ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องตรวจสอบสิ่งที่คุณกินและดื่มในช่วงให้นม และคุณจะต้องมีสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตที่ดีในการที่จะส่งผ่านสิ่งใดก็ตามไปยังลูกน้อยของคุณ

แม้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องงดเว้นอาหารแสลงเหล่านี้อย่างเด็ดขาด แต่มันก็คืออาหารและเครื่องดื่ม 13 อย่างที่คุณควรต้องระวังเอาไว้ เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาที่น่าวิตกกับลูกน้อยของคุณได้

คาเฟอีนนั้นสามารถดูดซึมผ่านนมไปยังทารกได้แน่นอน

1. กาแฟ

สาเหตุที่กาแฟอยู่ในอันดับแรกของลิสต์เป็นเพราะว่ามันมีคาเฟอีนมากนั่นเอง คาเฟอีนเป็นตัวกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง นั่นเป็นสาเหตุที่ผู้คนดื่มกาแฟเป็นสิ่งแรกในตอนเช้าเพื่อเริ่มต้นวันใหม่

อย่างไรก็ตามเมื่อคุณให้นมลูกคาเฟอีนจะมาจากน้ำนมของคุณ แม่หลายคนบอกว่าเมื่อพวกเขาดื่มกาแฟแม้แต่หยดเดียวก็จะทำให้ทารกตื่นตัวและตื่นตลอดทั้งวันและตลอดคืน คาเฟอีนกระตุ้นทารกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ หากแต่เด็กไม่สามารถขับคาเฟอีนได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นผู้ใหญ่ การสะสมของคาเฟอีนในร่างกายของเขาจะทำให้เกิดความปั่นป่วน ระคายเคือง และนอนไม่หลับ

นอกจากนี้ คาเฟอีนจำนวนมากสามารถลดระดับธาตุเหล็กที่มีในนมแม่ และลดระดับฮีโมโกลบินในทารก ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือแม่ไม่ควรดื่มกาแฟในช่วงที่ยังให้นม

หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม น้ำผลไม้กล่อง หรือเครื่องดื่มผสมน้ำตาลทุกชนิด

2. เครื่องดื่มผสมน้ำตาลและของหวาน

ตามที่อธิบายไว้ในช่วงต้น เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำผลไม้ น้ำอัดลม และขนมหวาน มีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนในเด็ก ในความพยายามที่จะควบคุมโรคอ้วนในวัยเด็ก ความจริงแล้วน้ำตาลกำลังถูกป้อนให้ทารกตั้งแต่แรกเกิดผ่านทางเต้านม น้ำตาลมือสองนี้มีส่วนช่วยในการเพื่มดัชนีมวลกาย (BMI) ที่สูงของทารก ซึ่งจะนำไปสู่โรคอ้วนและโรคที่เกี่ยวข้อง และแม้กระทั่งโรคมะเร็งในภายหลัง

ช็อกโกแลตมีสาร Theobromine ที่ออกฤทธิ์เหมือนคาเฟอีน

3. ช็อกโกแลต

คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมช็อกโกแลตถึงอยู่ในลิสท์นี้ด้วย นั่นเป็นเพคาะช็อคโกแลตอุดมไปด้วยสารกระตุ้นที่เรียกว่า Theobromine ซึ่งมีผลคล้ายกับคาเฟอีน และช็อคโกแลตส่วนใหญ่มีน้ำตาลสูงเช่นกัน หากหลังจากทานช็อกโกแลต คุณจะสังเกตเห็นว่าลูกของคุณมีอาหารหงุดหงิด คุณจึงควรอยู่ห่างจากช็อกโกแลตเข้าไว้

เว็บไซต์ข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จากแคนาดาพบว่าหากมารดาบริโภคคาเฟอีนหรือ Theobromine มากกว่า 750 มก. ต่อวัน ทารกอาจแสดงอาการหงุดหงิดและยุ่งเหยิง นอกเหนือจากนั้นยังมีปัญหาการนอนหลับด้วย "Theobromine พบได้ในโกโก้ดิบ" เว็บไซต์กล่าว "ดาร์กช็อกโกแลตมีสีเข้มเพราะมันมีเปอร์เซ็นต์โกโก้มากกว่า ดังนั้นมันจะมีระดับของ Theobromine ในระดับที่สูงกว่าช็อกโกแลตนม ส่วนช็อคโกแลตสีขาวไม่มีโกโก้ ดังนั้นจึงไม่มี Theobromine"

นอกจากนี้ Theobromine และคาเฟอีนจำนวนมากสามารถทำให้ร่างกายของคุณขาดน้ำและลดการผลิตน้ำนมแม่

4. ผลไม้รสเปรี้ยว

ผลไม้รสเปรี้ยวเป็นแหล่งวิตามินซีที่ยอดเยี่ยม แต่ส่วนประกอบที่เป็นกรดของมันสามารถทำให้ท้องของทารกระคายเคืองได้เล็กน้อย ระบบทางเดินอาหารที่ยังไม่สมบูรณ์ของเขาจะไม่สามารถจัดการกับการเพิ่มขึ้นของกรดซิตริก จึงส่งผลให้หลอดอาหารและกระเพาะอาหารไหม้ เกิดผื่นผ้าอ้อม ความไม่หงุดหงิด นอกจากนี้ผลไม้รสเปรี้ยวและน้ำผลไม้ เช่น มะนาว ส้ม ส้มแมนดาริน เกรพฟรุต กีวี และสับปะรด มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนกลิ่นและรสชาติในนมแม่ เด็กอาจอาเจียนหรือไม่ยอมกินนมแม่เป็นการประท้วง

คุณไม่จำเป็นต้องกำจัดผลไม้รสเปรี้ยวและน้ำผลไม้ทั้งหมดออกจากอาหารของคุณ คุณสามารถดื่มด่ำกับมันในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าคุณเห็นว่าทารกมีปฏิกิริยาตอบสนองเกิดขึ้นในทางลบ โปรดหยุดผลไม้เหล่านี้

5. เชอร์รี่ เบอร์รี่ พรุน

เชอร์รี่ดีต่อสุขภาพเมื่อบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ แต่สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับเด็กที่มีระบบย่อยอาหารที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น หากคุณกินเชอร์รี่ขณะที่ให้นมลูก ลูกของคุณจะมีปัญหาในกระเพาะอาหารและระบบย่อยอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อและปวดท้อง

ไม่ต่างกับเชอร์นี่ ลูกพรุนนั้นยากที่จะย่อยสำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปี ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้มีลูกพรุน เนื่องจากทางเดินอาหารของทารกอาจไม่พร้อมย่อยอาหาร การกินลูกพรุนจะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น แต่อาจทำให้ทารกมีแก๊ซในท้องและกระสับกระส่าย และมันจะรบกวนการนอนหลับของพวกเขา

ผักในตระกูลนี้ส่งผลให้มีแก๊สเยอะ

6. ผักตระกูลกะหล่ำปลี

ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาวในทุกสายพันธุ์จัดเป็นผักในตระกูลกะหล่ำ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีรูปร่างลักษณะที่คล้ายกับกะหล่ำดอกหรือกะหล่ำปลีเท่าไหร่ก็ตาม แต่น่าเสียดายที่ผักตระกูลกะหล่ำเป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าทำให้เกิดแก๊ซมาก การกินพวกมันจะทำให้จะนำก๊าซไปยังทารกที่กินนมแม่

สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการให้เกิดกับลูกของคุณคือเสียงร้องไห้ที่ไม่สามารถควบคุมได้ที่เกิดมาจากความเจ็บปวดหรือการมีแก๊สในกระเพาะ อาการท้องอืดเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามันนำไปสู่อาการโคลิคมันอาจเป็นฝันร้ายสำหรับลูกน้อย เมื่อทารกร้องไม่หยุดด้วยความเจ็บปวด ไม่ว่าคุณจะทำอะไร เสียงกรีดร้องไม่หยุดของเขาอาจจะทำให้พ่อแม่หงุดหงิดจนถึงขั้นเขย่าตัวลูกได้

7. ปลาที่มีสารปรอทเกินมาตรฐาน

ปลาอินทรีย์ ปลากระโทง ปลาเก๋า ปลาฉลาม ปลาทูน่าครีบเหลือง ล้วนมีสารปรอทในระดับสูง ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ภายในหนึ่งปีควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาเหล่านี้

ตามหลักแล้วปลาที่มีขนาดใหญ่จะยิ่งมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น และจะยิ่งมีปริมาณปรอทมากขึ้นเท่านั้น จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า หากสตรีที่เลี้ยงลูกด้วยนมบริโภคอาหารที่มีสารปรอทจำนวนมากมันอาจเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของทารก โดยการถ่ายโอนไปยังน้ำนมแม่และจากนั้นเข้าสู่ทารก

ปรอทในระดับสูงจะส่งผลต่อสมองและระบบประสาทของทารก อาหารทะเลที่มีปรอทต่ำ ได้แก่ กุ้ง ปลาแซลมอน และปลาทูน่ากระป๋อง

8. แอลกอฮอลล์

"การไม่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตร" ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคกล่าว โดยทั่วไปการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางโดยแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนม (ไม่เกินหนึ่งดริงก์ต่อวัน) ไม่เป็นอันตรายต่อทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแม่รออย่างน้อยสองชั่วโมงหลังจากดื่มเพียงครั้งเดียวก่อนจะให้นม ทางที่ดีหากอยากจะดื่มสังสรรค์ก็ให้เลี่ยงไปดื่มม็อกเทลที่มีสูตรคล้ายคลึงกับค็อกเทลแบบปกติแทน

โปรตีนตัวที่ทำให้แพ้ถั่วลิสงนั้นก็ซึมผ่านน้ำนมแม่ได้

9. ถั่วลิสง

หากครอบครัวของคุณมีประวัติแพ้ถั่วลิสง ควรหลีกเลี่ยงถั่วลิสงจนกว่าลูกคุณจะหย่านม โปรตีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในถั่วลิสงสามารถผ่านเข้าไปในเต้านมของคุณและต่อไปยังทารก ลูกอาจทุกข์ทรมานจากผื่น เกิดหายใจดังเสียงฮืด หรือลมพิษ การกินถั่วลิสงแม้แต่เพียงไม่กี่เมล็ดก็อาจส่งผลให้สารก่อภูมิแพ้ผ่านเข้าไปในน้ำนมแม่ได้ระหว่าง 1-6 ชั่วโมง

การวิจัยแสดงให้เห็นว่ามีโอกาสที่การพัฒนาโรคภูมิแพ้ถั่วลิสงตลอดชีวิตจะเพิ่มขึ้นสำหรับเด็กที่สัมผัสกับถั่วลิสงตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ให้เห็นว่าการหลีกเลี่ยงถั่วลิสงในระหว่างการให้นมลูกจะป้องกันการแพ้ถั่วลิสงในทารก

10. ผักชีฝรั่งและสะระแหน่

ผักชีฝรั่งและสะระแหน่เป็นสมุนไพรสองชนิดที่หากรับประทานในปริมาณมากสามารถลดน้ำนมแม่ของคุณได้ เมื่อใดก็ตามที่คุณกินสมุนไพรเหล่านี้ ตรวจสอบปริมาณน้ำนมของคุณว่าจะเพียงพอต่อลูกโดยเฉพาะเมื่อลูกน้อยของคุณอยู่ในช่วงการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นระยะที่เขาต้องการนมมากกว่าปกติ

กลิ่นและรสชาติของอาหารเหล่านี้สามารถส่งผ่านนมแม่ได้เช่นกัน

11. อาหารกลิ่นแรง: กระเทียม สะตอ ทุเรียน

กระเทียม สะตอ และทุเรียน เป็นอาหารที่คนไทยหลายคนโปรดปราน และกลิ่นกับรสชาติของมันก็สามารถซึมเข้าสู่นมแม่ได้ เด็กบางคนก็ชอบมัน แต่ส่วนมากแล้วจะไม่

ในสะตอมีสารประกอบที่ทำให้เกิดแก๊ส เนื่องจากมีปริมาณกำมะถันสูง และกลิ่นที่แพร่กระจายเข้าสู่ลมหายใจ กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ ทำให้เกิดฤทธิ์เป็นยาระบายเล็กน้อยที่ป้องกันอาการท้องผูก

ทุเรียนก็ปล่อยกลิ่นที่แรงออกมาเช่นกัน ผู้ใหญ่บางคนยังไม่สามารถรับกลิ่นทุเรียนที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้หรือเป็นไมเกรนได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แม่ที่ให้นมลูกบางคนสาบานว่าด้วยการกินทุเรียนพวกเขาสามารถกระตุ้นการไหลของน้ำนม รวมถึงผลิตน้ำนมที่ข้นเหมือนครีม อย่างไรก็ตามนี่เป็นข้อมูลอย่างคร่าว ๆ ทารกที่จะรับทุเรียนผ่านทางน้ำนมแม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของเด็กแต่ละคน

ทารกบางคนอาจแสยะหรือโวยวายที่เต้านมหากพบว่ามีกลิ่นรุนแรงในน้ำนม หากคุณพบว่าลูกของคุณรู้สึกไม่สบายขณะที่กำลังให้นมหลังจากที่คุณกินอาหารเหล่านี้ คุณอาจจำเป็นต้องลดการกินมันลงเมื่อให้นมลูก

12. อาหารรสเผ็ด: น้ำพริก เครื่องแกง

หากอาหารเผ็ดร้อนเป็นวัตถุดิบหลักในครอบครัวของคุณ ลูกอาจ "ชิม" เครื่องเทศเหล่านี้ขณะคุณตั้งครรภ์เป็นเวลา 40 สัปดาห์ในมดลูกของคุณแล้วก็ได้ ดังนั้นการกินอาหารรสจัดในขณะที่ให้นมบุตรไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับทารก

อย่างไรก็ตามถ้าพริกแกง น้ำพริก หรือเครื่องเทศไม่ใช่เมนูประจำวันของคุณ แต่เป็นการกินแบบนาน ๆ ที ให้ระวังว่าอาหารเหล่านี้เพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับนมแม่ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้กระเพาะอาหารของทารกระคายเคือง และมันอาจทำให้กระเพาะอาหารของคุณระคายเคืองเช่นกัน คุณอาจจะต้องวิ่งเข้าห้องน้ำตลอด เมื่อคุณปฏิบัติตามตารางเวลาที่เข้มงวดในการให้นมลูกทุกชั่วโมง การมีอาการปวดท้องไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดี และการที่ทารกมีอาการปวดท้องก็ไม่ดีเช่นกัน

พ่อแม่บางคนอาจไม่รู้ว่าทารกแพ้ข้าวโพดกันเยอะ

13. ข้าวโพด

อาจจะทำให้คุณประหลาดใจใช่ไหม แพ้ข้าวโพดอย่างนั้นเหรอ ที่จริงแล้วอาการแพ้ข้าวโพดนั้นพบได้บ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็ก อาการอาจมีตั้งแต่อาการคัน ลมพิษสีแดงรอบดวงตา และคัดจมูก ไปจนถึงหายใจดังเสียงฮืด ๆ คอบวม และช็อก หากคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณแพ้ข้าวโพด ให้กำจัดมันออกไปจากอาหารของคุณ แต่มันอาจจะยากเพราะอาหารแปรรูปของส่วนมากทำจากข้าวโพด

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...