"พี่ศรี" โดนอีกแล้ว "ลุงทศพล" ตบปากแตก
“พี่ศรี” ได้เลือดอีกแล้ว เจอบุกตบปากแตก “ลุงทศพล” อ้าง ผ่านมาเห็นพอดีแล้วของขึ้น เดือด ร้องพร่ำเพื่อขัดขวาง ปชต. “เรืองไกร” ตกใจ แต่ไม่อ่อนเเอ เดินหน้าร้องต่อ เผย ยื่นเพิ่ม "พิธา" ถือหุ้นสื่อ เปิดข้อบังคับ กก. ต้องพ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรค
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 11 พ.ค. ที่สำนักงาน กกต. นายศรีสุวรรณจรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางเข้าให้ข้อมูลเรื่องนโยบายเงินดิจิตอลของพรรคเพื่อไทยกับ กกต. จากนั้นลงมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงความคืบหน้าประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งเปิดเผยเรื่องที่ตนเองกำลังเตรียม ที่จะร้องให้ตรวจสอบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีถือครองหุ้น ITV หรือไม่ พอนายศรีสุวรรณ แถลงข่าวจบ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิก พปชร. ก็มาต่อคิวให้สัมภาษณ์ต่อ แต่ไม่ทันที่นายเรืองไกร จะได้ให้สัมภาษณ์ ก็เกิดความโกลาหลขึ้น มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกนด่านายศรีสุวรรณ ทำให้สื่อมวลชน รวมทั้งช่างภาพ ไม่สนใจนายเรืองไกร แต่กรูกันไปบันทึกภาพเหตุการณ์ตะโกนด่าแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยปรากฏว่า เห็นชายคนหนึ่งทราบชื่อภายหลังว่า คือนายทศพล ธนานนท์โสภณกุล อายุ 67 ปี ภูมิลำเนา กทม. กำลังตะโกนด่านายศรีสุวรรณ ที่กำลังยืนปากแตก เลือดไหลที่ริมฝีปากล่าง ว่า “ร้องตะพึดตะพือเลยมึง เป็นประชาธิปไตยร้องตะพึดตะพือ มึงไปร้องสิเห็นมั้ยไฟฟ้ามันขึ้นราคา”
ด้านนายศรีสุวรรณ โต้ ว่า มันสิทธิของประชาชนอยู่แล้ว แล้วคุณเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาชกผมอย่างนี้ ส่วน นายทศพลตะโกนสวนว่า กูเป็นประชาชน ร้องมันทุกพรรคเลย พรรคก้าวไกล งี้ พรรคเพื่อไทยงี้ ร้องมั่วเลย ทั้งนี้ ระหว่างทั้งคู่ ยืนประจันหน้ากันหลายนาที นายทศพล ชี้หน้าด่า และฮึดฮัดมีอารมณ์พยายามจะปรี่เข้าไปหานายศรีสุวรรณ หลายครั้ง แต่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ห้ามเอาไว้ก่อน จึงไม่มีการฟาดปากเพิ่มเติม ขณะที่นายศรีสุวรรณ ระบุว่า เดี๋ยวไปเจอกันในศาล
นายทศพล ให้สัมภาษณ์ว่า การร้องเรียนของนายศรีสุวรรณ ในเรื่องต่างๆเป็น ขัดขวางการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นการร้องเรียนพร่ำเพรื่อ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจงใจมาดักรอเพื่อก่อเหตุหรือไม่ นายทศพล กล่าวว่า มาทำธุระที่ศูนย์ราชการฯ บังเอิญเจอนายศรีสุวรรณ พอดี ไม่ได้มีเจตนามาดักรอ และยินดีถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย หากนายศรีสุวรรณ จะเข้าไปแจ้งความดำเนินคดีกับตน
ด้านนายศรีสุวรรณ ให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเองจะเข้าไปแจ้งความ และขอให้เจอกันในชั้นศาล โดยขณะเกิดเหตุตนเองกำลังจะเดินออกจากอาคารซึ่งตอนนั้นยังอยู่บริเวณด้านหน้ากกต.หลังการให้สัมภาษณ์ จึงไม่ทราบว่าชายคนที่มาถ่ายคลิประหว่างการให้สัมภาษณ์สื่อ จะเข้ามาทำร้ายตน เนื่องจากชายคนดังกล่าวไม่ได้มาสอบถาม หรือพูดคุยกับตนก่อนก่อเหตุ จำไม่ได้ว่าเป็นการตบหรือการชก ตนจะเดินทางไปสน.ทุ่งสองห้อง เพื่อแจ้งความดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม จากนั้นตำรวจนครบาล และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในอาคาร มาแยกทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกัน
ต่อมา นายเรืองไกร ก็ได้เข้าไปสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับนายศรีสุวรรณ โดยนาย ก็ได้เปิดแมส เพื่อเปิดแผลให้นายเรืองไกรดู ซึ่งทั้งคู่ ต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จากนั้น นายเรืองไกร เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ตนเองรู้สึกตกใจ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันจะเดินหน้าร้องเรียนต่อ เพราะมองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้หลังเหตุการณ์สงบลงสื่อมวลชนได้ขอให้นายเรืองไกร ย้ายสถานที่ให้สัมภาษณ์ เพราะไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย โดยนายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ตนไม่นิยมความรุนแรง แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ระมัดระหว่างอยู่ ตนขอให้กำลังใจนายศรีสุวรรณ ในฐานะที่เราใช้สิทธิ แต่กลับถูกทำร้ายเป็นครั้งที่ 2 ไม่อยากให้เกิดตัวอย่างเช่นนี้ในสังคม คนที่บอกว่าอยากได้ประชาธิปไตย แต่ใช้คำหยาบ คำลามก ใช้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ตนไม่เห็นด้วย ตนอยู่มาทุกม็อบ ไม่สนับสนุนเรื่องอย่างนี้ เขาใช้สิทธิของแต่ละคน เมื่อถูกดำเนินคดีก็ร้องแรกแห่กระเชิงกันไป เอาคำพิพากษา คำฟ้องมาตรวจ ถ้าไม่ผิด คดีอาญาถ้ามีข้อสงสัย ศาลท่านลงไม่ได้ ดังนั้นอย่าไปบิด การทำให้สังคมอยู่อย่างสงบ รู้รักสามัคคี ต้องเคาระสิทธิ์ซึ่งกันและกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับเป็นครั้งที่2 แล้ว ที่นายศรีสุวรรณ โดนบุกทำร้ายร่างกาย ระหว่างแถลงข่าว โดยครั้งแรก นายศรีสุวรรณ โดนนายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ลุงศักดิ์ อายุ 62 ปี สมาชิกกลุ่มศักดินาเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการ ทำร้ายร่างกาย ระหว่างที่นายนายศรีสุวรรณ เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ปิยวัฒน์ ปรัญญา รอง สว.กก.3 บก.ปอท. เพื่อยื่นเรื่องตรวจสอบ การกระทำของ “โน้ส อุดม แต้พานิช” จากกรณีพูดพาดพิงรัฐบาลในทอล์กโชว์เดี่ยว ไมโครโฟน 13 ที่ ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2565
นายเรืองไกร ให้สัมภาษณ์ เข้ายื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อ กกต. ในกรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกฯ ก.ก.ว่า วันนี้ตนได้นำข้อบังคับของ ก.ก.มายื่นเพิ่มเติม และจับประเด็นว่านายพิธา จะพ้นจากสมาชิก และหัวหน้าพรรคหรือไม่ เพราะข้อบังคับก.ก. มีการแก้ไขลงในราชกิจจานุเบกษา ปี 2563 ข้อ 12,21,37 โดยในข้อ 12 ระบุว่าสมาชิกต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ดังนั้น เมื่อระบุเช่นนี้ มาตรา 98 (3) ก็จะทำให้พ้นสมาชิกหรือไม่ และกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งหัวหน้าพรรค ก็จะต้องขาดจากความเป็นหัวหน้าพรรคโดยสิ้นสุดเฉพาะตัว รวมถึงคณะกรรมการบริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ตามข้อบังคับพรรคก้าวไกลข้อที่ 36 ทั้งนี้ ตนได้ตั้งข้อสังเกตให้ กกต. ตรวจสอบในกรณีที่ถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เข้าข่ายว่าจะมีลักษณะต้องห้ามเป็น ส.ส. รวมถึงเป็นสมาชิกพรรค และหัวหน้าพรรคไม่ได้ ซึ่งผลที่ตามาในการสมัครเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3-7 เม.ย. ที่ผ่านมา นายพิธาได้เซ็นรับรองการสมัครส.ส. เกือบ 400 เขตและส.ส. บัญชีรายชื่อ ดังนั้น จึงขอให้กกต. ตรวจสอบเพิ่มเติมว่าการยื่นบัญชีรายชื่อ ผู้สมัครส.ส. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ขอให้กกต. ดำเนินกฎหมายต่อไป
เมื่อถามว่าถ้านายพิธามีความผิดจริง และได้ไปเซ็นรับรองการสมัครส.ส. ของพรรค ถ้าเป็นเช่นนี้การสมัครนั้นจะเป็นโมฆะใช่หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ก็ให้กกต. ตรวจสอบว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ต้องถอดสมการว่าการเป็นหัวหน้าพรรคพ้นไปหรือยัง เพราะในข้อบังคับเป็นหน้าที่ของนายทะเบียน แล้วนายพิธา ก็ให้สัมภาษณ์ด้วยว่าเรื่องนี้รู้มาตั้งนานแล้ว ซึ่งเรื่องนี้พรรคเคยมาปรึกษาตนแต่ไม่ได้ยกประเด็นนี้มาปรึกษา แต่ถึงอย่างไรตนก็ได้ให้ความรู้เรื่องกฎหมายไป ตนไม่ได้เลือกที่รักมักที่ซัง