โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ถึงเวลา “ส้ม”เอาคืน เปิด 3 ข้อกล่าวหา ป.ป.ช. จงใจทุจริต ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

AEC10NEWs

อัพเดต 13 มี.ค. เวลา 21.10 น. • เผยแพร่ 14 มี.ค. เวลา 03.00 น. • AEC10NEWS

เปิด 3 ข้อกล่าวหา ป.ป.ช. จงใจทุจริต ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ถึงเวลาพรรคประชาชนเอาคืน

จะเรียกว่าเอาคืนก็ได้ เมื่อพรรคประชาชน ยื่นต่อประธานรัฐสภา ให้มีการตรวจสอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236 ประกอบมาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) ใน 3 ข้อกล่าวหาต่อไปนี้

⚫ข้อกล่าวหาที่ 1 ไม่ตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อนทำคำวินิจฉัย ส่อเอื้อให้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ พ้นข้อครหา กรณีแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน หรือไม่
.
⚫ข้อกล่าวหาที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล ที่ให้เปิดเผยเอกสารกรณีนาฬิกาหรู พล.อ.ประวิตร แม้ต่อมาเปิดเผย เอกสารก็ถูกคาดดำทับข้อความจำนวนมาก
.
⚫ข้อกล่าวหาที่ 3 ไม่ซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติการณ์ ขอ รับ ประโยชน์ในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ กระทำเพื่อให้ตนได้ประโยชน์โดยขัดกันกับประโยชน์ส่วนรวม หรือไม่

เปิด 3 ข้อกล่าวหา ป.ป.ช.

  • ข้อกล่าวหาที่ 1

ไม่ตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อนทำคำวินิจฉัย ส่อเอื้อให้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ พ้นข้อครหา กรณีแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน หรือไม่

กล่าวหา กรรมการและอดีตกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 5 คน

  • วิทยา อาคมพิทักษ์ (หมดวาระแล้ว แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อจนกว่ามีคนใหม่แทน)

  • ปรีชา เลิศกมลมาศ (หมดวาระแล้ว)

  • ณรงค์ รัฐอมฤต (หมดวาระแล้ว)

  • สุรศักดิ์ ศรีวิเชียร (หมดวาระแล้ว)

  • พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ (หมดวาระแล้ว)

ย้อนไปปี 2560 มีเรื่องอื้อฉาวที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาล คสช. ขณะนั้น ถูกจับตาว่าอาจแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ หลังสวมแหวนเพชรและนาฬิกาหรูขณะถ่ายภาพหมู่ ครม. ชุดใหม่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 แต่ปรากฏว่าเครื่องประดับทั้ง 2 รายการกลับไม่อยู่ในรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.

จึงมีคนร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ วันที่ 29 มีนาคม 2561 มติที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้ยังไม่ครบ ต้องการข้อมูลพยานหลักฐานเพิ่ม เช่น พยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลจากผู้ผลิตนาฬิกา ผู้จำหน่ายนาฬิกาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบคำถามสำคัญว่านาฬิกาหรูกว่า 20 เรือน++ นั้น ใครเป็นคนซื้อ มีหลักฐานการซื้อขายหรือไม่ ชำระเงินด้วยวิธีใด มีหลักฐานการชำระเงินหรือไม่ จึงมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพิ่ม เพื่อให้ชัดเจนครบถ้วนสมบูรณ์เป็นที่ยุติก่อน

แต่หลังจากนั้น 27 ธันวาคม 2561 กรรมการ ป.ป.ช. ฝ่ายเสียงข้างมาก 5 เสียง กลับลงมติให้ยุติการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติม พูดง่ายๆ คือจะจบเรื่องนี้ ไม่หาหลักฐานเพิ่มแล้ว ทั้งที่ในที่ประชุมวันนั้น กรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างน้อย 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง, สุภา ปิยะจิตติ และสุวณา สุวรรณจูฑะ เห็นว่าข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ ขาดข้อมูลเชิงลึกอย่างน้อย 4 อย่าง

(1) ใช้ขั้นตอนตาม พ.ร.บ. ความร่วมมือประหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ให้ผู้ประสานงานกลาง คืออัยการสูงสุด ขอข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตและผู้จำหน่ายนาฬิกา ที่ตั้งอยู่ ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรีย และเขตการปกครองพิเศษฮ่องกง

(2) ใช้วิธีการขอทราบข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายนาฬิกาที่ตั้งอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศส หรือประเทศจีน ตามช่องทางที่ระบุไว้ในอนุสัญญาหรือสนธิสัญญาระหว่างกันในการขอความร่วมมือทางการทูตตามหลักต่างตอบแทน

(3) ข้อมูลการใช้บัตรเครดิตของ ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ (เพื่อนที่ พล.อ.ประวิตร อ้างว่าเป็นเจ้าของนาฬิกา) และ พล.อ.ประวิตร เพื่อตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างนาฬิกาทั้ง 16 เรือน กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง

(4) ประเด็นอื่น ๆ ตามข้อสังเกตของกรรมการ ป.ป.ช. ฝ่ายเสียงข้างน้อย

โดยเหตุผลที่ กรรมการ ป.ป.ช. ฝ่ายเสียงข้างมากอ้างเพื่อยุติเรื่อง คือหลักฐานที่มีตอนนั้นเพียงพอแล้ว วินิจฉัยได้เลย และตามพยานหลักฐานตอนนั้น ยังฟังไม่ได้ว่า พล.อ. ประวิตร เป็นเจ้าของนาฬิกา ในเมื่อยังไม่ชัดว่าเป็นเจ้าของ การไม่แสดงในบัญชีทรัพย์สิน จะไปถือว่า พล.อ.ประวิตร ยื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จไม่ได้

การกระทำของกรรมการ ป.ป.ช. ฝ่ายเสียงข้างมาก จึงน่าสงสัยว่าเอื้อประโยชน์ให้ พล.อ.ประวิตร ไม่ถูกตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของนาฬิกา การพิจารณาของ ป.ป.ช. ที่ควรทำได้อย่างรอบคอบมากกว่านี้ ไปต่อไม่ได้

สมาชิกรัฐสภาจึงขอให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อแต่งตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ ดำเนินการไต่สวนหาข้อเท็จจริงและดำเนินคดี ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 234 (1) ประกอบมาตรา 4 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 หรือไม่

  • ข้อกล่าวหาที่ 2

ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล ที่ให้เปิดเผยเอกสารกรณีนาฬิกาหรู พล.อ.ประวิตร แม้ต่อมาเปิดเผย เอกสารก็ถูกคาดดำทับข้อความจำนวนมาก

กรรมการ ป.ป.ช. 9 คน ที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 16 มีนาคม 2566 - 23 พฤษภาคม 2567 ได้แก่

  • พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ (ประธานในขณะนั้น)

  • ณรงค์ รัฐอมฤต

  • สุภา ปิยะจิตติ

  • วิทยา อาคมพิทักษ์

  • สุวณา สุวรรณจูฑะ

  • ณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา

  • สุชาติ ตระกูลเกษมสุข

  • เอกวิทย์ วัชชวัลคุ

  • แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์

กรรมการ ป.ป.ช. บางรายในจำนวนนี้ ลงมติไม่เปิดเผยข้อมูลและไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา/คำสั่งของศาล

ต่อเนื่องจากการยุติเรื่องแหวนแม่นาฬิกาเพื่อนของ พล.อ.ประวิตร ทำให้สังคมเกิดคำถามและข้อครหาว่า ป.ป.ช. เอื้อประโยชน์ให้ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. สั่นคลอนอย่างหนัก

วีระ สมความคิด ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ขอให้ ป.ป.ช. ไต่สวน พล.อ. ประวิตร กรณีจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ จึงได้ร้องขอให้สำนักงาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวจำนวน 3 รายการ ได้แก่

(1) รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด
(2) ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคน ที่รับผิดชอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว
(3) รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

แต่ กรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างมากมีมติ ไม่ ให้ เปิด เผย!

วีระจึงสู้ต่อ แบ่งเป็น 3 ยกให้เห็นชัดๆ

ยกที่ 1 วีระ ร้องคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร

วีระ ใช้สิทธิตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งในเวลาต่อมา คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย มีมติที่ สค 333/2562 สั่งให้สำนักงาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่วีระ

แต่ กรรมการ ป.ป.ช. ไม่ปฏิบัติตาม!!

ยกที่ 2 วีระ ฟ้องศาลปกครองกลาง

ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1326/2564 ให้ สำนักงาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลข่าวสารจำนวน 3 รายการตามคำขอของวีระภายใน 15 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด แต่รายการที่ 2 (ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคน ที่รับผิดชอบ) ศาลฯ ให้เปิดเผยเฉพาะความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ทำให้วีระอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด และต่อมา 16 มีนาคม 2566 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 224/2566 ให้ สำนักงาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา

แต่ กรรมการ ป.ป.ช. ไม่ ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด !!

ยกที่ 3 วีระ ร้องศาลปกครองกลาง (รอบที่ 2)

วีระจึงร้องต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง ซึ่งต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งให้สำนักงาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด (ที่บอกให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการนั่นแหละ) ให้ถูกต้องครบถ้วนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งนี้

วันที่ 21 พฤษภาคม 2567 สำนักงาน ป.ป.ช. จึงมีหนังสือด่วนที่สุด แจ้งให้วีระไปรับข้อมูลข่าวสารตามคำสั่งศาลปกครองกลาง โดย 23 พฤษภาคม 2567 วีระไปรับเอกสาร กลับพบว่า สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ทำการคาดดำทับข้อความปกปิดจำนวนมากในเอกสารที่ส่งมอบ ซึ่งขัดต่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดและคำสั่งศาลปกครองกลางที่ไม่ได้ระบุให้มีการคาดดำปกปิดข้อความได้

ด้วยการกระทำของ กรรมการ ป.ป.ช. จากที่มี 9 คนดังกล่าว เฉพาะรายที่ลงมติไม่เปิดเผยข้อมูลให้วีระ อันเป็นการจงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำสั่งศาล สมาชิกรัฐสภาจึงขอให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อแต่งตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ประกอบมาตรา 49 และมาตรา 50 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 เพื่อดำเนินการไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรรมการ ป.ป.ช. ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน และกรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว ที่ยังอยู่ใต้อำนาจไต่สวนของคณะผู้ไต่สวนอิสระ

โดยไต่สวนว่า

(1) จงใจฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และคำสั่งศาลปกครองกลาง
(2) หากไต่สวนแล้วพบว่าจงใจฝ่าฝืนจริง ย่อมเป็นเหตุอันควรสงสัยว่า กรรมการ ป.ป.ช. กระทำการอันเป็นการกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหรือหน้าที่ ใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการหรือสิทธิอื่นของนายวีระ สมความคิด ขัดขวางกระบวนการการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และฝ่าฝืนต่อมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561

  • ข้อกล่าวหาที่ 3

ไม่ซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติการณ์ ขอ รับ ประโยชน์ในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ กระทำเพื่อให้ตนได้ประโยชน์โดยขัดกันกับประโยชน์ส่วนรวม หรือไม่

กล่าวหา สุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. คนปัจจุบัน

เนื่องจากเมื่อประมาณวันที่ 11 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา มีสื่อมวลชนเผยแพร่คลิปข่าว สุชาติ ตระกูลเกษมสุข (ขณะดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.) และ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าพบวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ที่บ้านพักเป็นการส่วนตัว

ในเวลาต่อมา พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ ได้ออกมายอมรับว่าเหตุการณ์วันนั้นมีคน 3 คน คนที่หนึ่งคือคนที่อนุญาตให้ไปพบ คนที่สองคือคนที่ได้รับอนุญาตให้ไปพบ คนที่สามคือคนที่พาไปพบ

“คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือคนที่สอง ไปขอความช่วยเหลือเรื่องคดีของตนเอง คนที่หนึ่งได้บุญคุณจากการช่วยเหลือคดี แล้วก็ได้ทำให้ตามที่ผู้ใหญ่สั่งมาว่าให้ยุติเรื่องนี้ ส่วนที่สามคนพาไปได้อะไร ลดความขัดแย้ง เพราะผู้ใหญ่บอกว่า ไอ่โจ๊กเนี่ย สร้างความขัดแย้งเยอะเหลือเกิน”

ภายหลังปรากฏรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่าง ๆ ทำให้สื่อมวลชนตลอดจนประชาชน ตั้งข้อสงสัยว่าสุชาติ คือคนที่อาจได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ หรือไม่

กล่าวคือ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ เป็นตัวกลางพา “สุชาติ” เข้าพบ “ประธานวันนอร์” เพื่อพูดคุยให้มีการยุติเรื่องร้องเรียนของ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ และประชาชนกว่า 25,000 คน ที่ยื่นต่อประธานรัฐสภาให้ตรวจสอบสุชาติขณะดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ก่อนที่ในเวลาต่อมา 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะลงมติเลือกสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธาน ป.ป.ช.

ข้อวิจารณ์จากสังคมยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ว่าประธาน ป.ป.ช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบความสุจริตของคนอื่น และควรได้รับความเชื่อถือเรื่องความตรงไปตรงมา หากถูกตั้งคำถามเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของตัวเองเสียเอง เช่นนี้ควรทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่

สมาชิกรัฐสภาจึงขอให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริงว่า

(1) คลิปที่ถูกเผยแพร่ ซึ่งปรากฏพฤติกรรมของประธาน ป.ป.ช. คนปัจจุบัน เป็นคลิปจริงหรือถูกตัดต่อ ถ้าการถูกตัดต่อไม่ได้กระทบต่อการพิจารณาข้อเท็จจริง ก็ขอให้ดำเนินการต่อไป

(2) สุชาติได้ทำตามที่ปรากฏในคลิปจริงหรือไม่ ถ้าทำจริง ถือว่ามีพฤติกรรมเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย มีพฤติการณ์ ขอ รับ ประโยชน์ในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ กระทำเพื่อให้ตนได้ประโยชน์โดยขัดกันกับประโยชน์ส่วนรวม อันเป็นการกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ประกอบมาตรา 4 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...