โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ปลดคนปิดโรงงานเอสเอ็มอี พิษเทรดวอร์ใหม่-สินค้าจีนท่วม

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 11 ก.พ. เวลา 11.18 น. • เผยแพร่ 11 ก.พ. เวลา 23.33 น.

โรงงานเอสเอ็มอีระส่ำ ปี’67 ปิดกิจการเฉลี่ย 102 แห่งต่อเดือน ศูนย์วิจัยกสิกรฯชี้แนวโน้มปี’68 โรงงานยังเสี่ยงปิดตัวต่อเนื่อง “สิ่งทอ-เฟอร์นิเจอร์-เหล็ก” สารพัดปัจจัยเสี่ยงกำลังซื้อเปราะบาง-สงครามการค้ารอบใหม่ ทั้งแรงกดดันสินค้าจีนทะลักมากขึ้น โรงงานดิ้นลดชั่วโมงทำงาน-ปลดคน ประธานสภาอุตฯฉะเชิงเทรายอมรับ โรงงานพื้นที่ EEC อ่วมแบกต้นทุนค่าแรงไม่ไหว ดิ้นหนีตายก่อนเจ๊ง เผยเดือนมีนาคมโรงงานชิ้นส่วนเตรียมปลดลูกจ้างอีกระลอก หอฯเชียงใหม่ชี้ SMEs นับพันทยอยปิดกิจการ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเผยเศรษฐกิจไทยซึมเร่งรัฐหาทางช่วยธุรกิจขนาดเล็ก

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าสถานการณ์โรงงานปิดตัวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ โดยข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมพบว่า ปี 2567 จำนวนโรงงานที่ปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 102 แห่งต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราการปิดเฉลี่ยมากกว่า 100 แห่งต่อเดือน เป็นปีที่ 2 ต่อเนื่อง

นอกจากนี้ พบว่าช่องว่าง (Gap) ระหว่างการเปิดและปิดโรงงานมีแนวโน้มแคบลงเรื่อย ๆ สะท้อนว่าโรงงานมีการปิดมากขึ้น เห็นได้จากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2566-2567) โรงงานเปิดใหม่หักลบด้วยโรงงานปิดตัวเฉลี่ยเหลือเพียง 52 แห่งต่อเดือน จาก 127 แห่งต่อเดือนในช่วงปี 2564-2565

แข่งขันสินค้าจีนไม่ได้

นางสาวเกวลินกล่าวว่า สำหรับหมวดอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวค่อนข้างเยอะอยู่ในหมวด “เสื้อผ้า-สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ โลหะ และเหล็ก” ซึ่งเป็นเซ็กเตอร์ที่เจอแรงกดดันทางด้านการแข่งขันตั้งแต่ก่อนโควิด-19 ตลอดจนหลังโควิด-19 เป็นปัญหาสะสมและไม่สามารถประคองตัวอยู่รอดได้ เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้แข่งขันยากขึ้นจากสินค้านำเข้าจากจีน ส่วนจะส่งออกไปต่างประเทศก็เจอการแข่งขันจากภายนอก ขณะที่ภายในประเทศฟื้นตัวไม่ทั่วถึง กำลังซื้ออ่อนแอ และช่วง 1-2 ปีหลังเริ่มเห็นเซ็กเตอร์ชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีและกำลังซื้อ

และหากพิจารณาขนาดของธุรกิจที่ปิดตัว จะเห็นว่าโรงงานที่ปิดในปี 2567 มีทุนจดทะเบียนเฉลี่ยอยู่ที่ 39 ล้านบาทต่อโรงงาน เทียบกับปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 100 ล้านบาทต่อโรงงาน สะท้อนว่าโรงงานที่ปิดตัวลงเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ไม่สามารถแข่งขันทางด้านต้นทุนและมีสายป่านที่สั้น

ลดโอที-ลดกำลังผลิต

ขณะที่ในแง่มิติของ “คน” แม้ว่าการจ้างงานสุทธิยังเป็นบวก แต่ภาคการผลิตมีการปรับลดชั่วโมงการทำงาน หรือการทำงานล่วงเวลาลง (OT) สะท้อนจากจำนวนแรงงานที่ทำงานต่ำกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มีทิศทางเพิ่มขึ้น ผลจากการลดกำลังการผลิต ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดี แม้ว่าจะไม่ได้ตกงาน แต่รายได้ไม่ดีเท่าเดิม

โดยหากดูตัวเลขกำลังการผลิตจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมมีทิศทางปรับลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ตัวเลขกำลังการผลิตอยู่ที่ 58.4% ลดลงจากปี 2566 ที่อยู่ 59.6%, ปี 2565 อยู่ที่ 63.6% และปี 2564 อยู่ที่ 64.3% ทั้งนี้ กำลังการผลิตเฉลี่ยต่ำกว่า 60% สะท้อนสถานการณ์ที่เริ่มน่าเป็นห่วง แม้ว่าจะมีบางอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างสูง เช่น อาหารและเครื่องดื่ม หรือปิโตรเคมีอยู่ที่ 60-70% แต่หากดูอุตสาหกรรมสิ่งทอ-เฟอร์นิเจอร์ไม่ถึง 40% ถือว่าค่อนข้างน้อย

ปี’68 โรงงานเสี่ยงปิดต่อ

ผู้บริหารศูนย์วิจัยกสิกรฯ ระบุว่า ในปี 2568 สถานการณ์การปิดโรงงาน มองว่ายังเป็นปีที่เสี่ยงอยู่ของการปิดโรงงานและเห็นการปิดต่อเนื่อง ภายใต้มุมมองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ 2.4% การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจยังไม่สามารถพลิกกลับมาดีได้ในระยะสั้น เนื่องจากต้องอาศัยการปรับโครงสร้างการผลิต และการลดต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ยังต้องใช้เวลา

ขณะที่ในฝั่งตลาดภายใต้เศรษฐกิจชะลอ กำลังซื้อยังเปราะบาง หนี้ครัวเรือนสูง ยังเป็นแรงกดดัน และการส่งออกยังมีประเด็นนโยบายการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเป็นปัจจัยซ้ำเติม (On Top) และแรงกดดันต่อภาคการผลิต

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าอัตราการปิดโรงงานคงไม่ได้สูงเกิน 100 แห่งไปมากนัก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาโรงงานปิดไปเยอะพอสมควร ทำให้สถานการณ์การปิดโรงงานจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนหนึ่งมาจากยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะมาเปลี่ยนแปลงภาคผลิตได้ และยังคงเป็นโรงงานกลุ่มเอสเอ็มอี เช่นที่เห็นการประกาศปิดโรงงานกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่ยังมีให้เห็นอยู่

อุตสาหกรรมที่ยังมีความเสี่ยง ยังเป็นอุตสาหกรรมเดิม คือเหล็ก-โลหะยังเจอผลกระทบที่จีนเข้ามาตั้งโรงงานในไทย และสินค้าที่นำเข้ามามากขึ้น หรือกลุ่มเคมีภัณฑ์-เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ยังคงเจอปัญหาแรงกดดันจากสินค้านำเข้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ยังเจอเรื่องของรถอีวีและกำลังซื้อภายในประเทศ

ลดชั่วโมงทำงานพุ่ง

นางสาวเกวลินกล่าวว่า ตัวแปรที่ต้องจับตาและติดตาม คือชั่วโมงการทำงานที่น้อยลง หรืออัตราการว่างงาน หรือตกงาน ซึ่งจะกระทบต่อการบริโภคและการใช้จ่ายของครัวเรือนในพื้นที่รอบ ๆ ที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม และหากมีการลดชั่วโมงทำงาน หรือตกงานมีจำนวนมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อปัจจัยแวดล้อม ทั้งการก่อหนี้ และการใช้จ่าย ร้านอาหาร และลามไปสู่ส่วนอื่น ๆ กระทบโดยรอบได้เช่นกัน

“ส่วนภาพของการลดการทำงานยังมีโอกาสอยู่ เพราะตัวเลขในครึ่งหลังปี’67 ทั้งตัวเลขปิดโรงงาน ชั่วโมงการทำงาน และดัชนีภาคผลิตอุตสาหกรรม (PMI) ก็ยังไม่ค่อยดี เทรนด์น่าจะเห็นการลดชั่วโมงการทำงานอยู่ในปีนี้”

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า แม้จำนวนการจ้างงานสุทธิยังเป็นบวก แต่ภาคการผลิตมีการปรับลดชั่วโมงการทำงาน หรือการทำงานล่วงเวลาลง (OT) สะท้อนจากจำนวนแรงงานที่ทำงานต่ำกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 4.57 แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ราว 4.12 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 11% หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมจะส่งผลต่อรายได้และความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงานในภาคการผลิตที่ลดลง

รง.แปดริ้ว “ปลดพนักงาน”

นายสุกัณฑ์ โสรัจจกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าสถานการณ์โรงงานใน จ.ฉะเชิงเทรา โดยเฉพาะ SMEs ยังเสี่ยงปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยสาเหตุหลักจากตามที่บอร์ดค่าจ้างมีมติให้ จ.ฉะเชิงเทราปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น เฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านบาท/เดือน ดังนั้น ผู้ประกอบการ SMEs บางรายจำเป็นต้องลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานชั่วคราว หรืออนาคตอาจหันไปใช้หุ่นยนต์ในการผลิต ซึ่งจะทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายหากประคองธุรกิจไม่ได้ก็ต้องปิดกิจการ

โดยเฉพาะโรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ ต้องเผชิญปัญหาทั้งจากต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนผ่านมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้โรงงานต้องปรับตัวลดต้นทุน โดยมีการลดจำนวนพนักงานซับคอนแทร็กต์ รวมถึงลดการบรรจุพนักงานประจำกว่า 50% ซึ่งในเดือนมีนาคมนี้มีโรงงานแห่งหนึ่งเตรียมปลดพนักงานชั่วคราวออกอีก 700 คน และอีกหลายแห่งก็เตรียมเปิดโครงการสมัครใจลาออกเพิ่มเติม

ตอนนี้ต้นทุนทุกอย่างเพิ่มขึ้น ทั้งค่าไฟ ภาษีโรงเรือน ค่าธรรมเนียมผู้ประกอบการ การลดต้นทุนแบบง่ายที่สุด คือการเอาสิ่งที่เคยอยู่ในระบบออกนอกระบบให้หมด เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อมที่จะให้ความสำคัญน้อยลง เพราะมีต้นทุนการจัดการสูง แม้กระทั่งการตรวจตราอาคารจะลดลง ทุกอย่างจะกลับมาต้นทาง คือผู้ประกอบการจะกลายเป็นตัวสร้างปัญหาหลายอย่างในสังคม

นายสุกัณฑ์กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันโรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ใน จ.ฉะเชิงเทรา ได้ใช้วิธีไปว่าจ้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ที่ จ.ปราจีนบุรี กรุงเทพฯ จ.สมุทรปราการ ผลิตชิ้นส่วนบางอย่างแทนในลักษณะ Outsource เนื่องจากโรงงานใน 3 จังหวัดผลิตสินค้าเหมือนกับโรงงานที่ จ.ฉะเชิงเทรา แต่เป็นจังหวัดที่ไม่ถูกปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า ขณะที่ จ.ฉะเชิงเทรากลับมีต้นทุนสูงกว่า เลยเหมือนเป็นการรังแกผู้ประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) งานเท่าเดิม แต่ภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น

แฮนดิคราฟต์เชียงใหม่ส่อเจ๊ง

นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจปี 2568 ภาคธุรกิจเอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอีของจังหวัดเชียงใหม่ต้องมีการปรับตัวอย่างมาก เนื่องจากมีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นคือค่าแรง ล่าสุดในพื้นที่เขตอำเภอเมืองได้มีการปรับขึ้นของค่าแรงเป็น 380 บาท ตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งแรงงานถือเป็นต้นทุนหลักที่สำคัญ การปรับตัวคืออาจมีการลดขนาดของการจ้างงานลง มีการใช้นวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งธุรกิจที่ไม่มีการปรับตัว ไม่มีการคำนวณเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่าย และธุรกิจที่ไม่มีการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยจะอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก

โดยธุรกิจที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องปิดกิจการหากไม่มีการปรับตัว คือธุรกิจหัตถกรรมหรือแฮนดิคราฟต์ (Handicrafts) เนื่องจากเป็นกิจการที่ใช้คนหรือแรงงานจำนวนมาก จึงได้รับผลกระทบมาก ล่าสุดได้ข้อมูลว่าเริ่มมีการวางแผนปลดคนออกในหลายธุรกิจของกลุ่มเอสเอ็มอี เช่น ธุรกิจแฮนดิคราฟต์ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดโลกเปลี่ยนไป งานแฮนดิคราฟต์เริ่มได้รับความนิยมลดลง จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนด้วยการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนค่าแรง และพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาด

SMEs เชียงใหม่ปิดตัวนับพัน

นอกจากนี้ จากการที่หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ได้ดูข้อมูลเชิงลึก พบว่าธุรกิจที่เริ่มมีการปิดตัวสูงมากในช่วงปีที่ผ่านมา คือธุรกิจร้านกาแฟ โดยเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบ และไม่มีการสำรวจตลาดเชิงลึกความเป็นไปได้ของธุรกิจ ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้งและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยในช่วงปี 2566-ครึ่งปีแรกปี 2567 มีธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่จดทะเบียนเปิดกิจการราว 2,000-3,000 ราย แต่ขณะเดียวกันธุรกิจที่จดทะเบียนเลิกกิจการมากถึง 1,000 ราย หรือราว 50% ของกิจการที่เปิดใหม่

อย่างไรก็ตาม อาจเร็วเกินไปที่จะประเมิน หรือคาดการณ์ว่าจะมีธุรกิจเอสเอ็มอีใน Sector ใดบ้างที่มีแนวโน้มจะปิดกิจการในปีนี้ เนื่องจากเพิ่งมีการปรับค่าแรงในช่วงต้นปี 2568 และต้องรอดูว่าภาครัฐจะมีมาตรการใดมาช่วยส่งเสริมเอสเอ็มอีหรือไม่ โดยเฉพาะการลดต้นทุนด้านสาธารณูปโภค มาตรการด้านการเงินในการเข้าถึงสินเชื่อ คาดว่าราวไตรมาส 2 น่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเอสเอ็มอีชัดเจนมากขึ้น

เศรษฐกิจไทยซึมเศร้า

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะอยู่ในสภาวะซึมเศร้า GDP ของกลุ่มเอสเอ็มอีมีโอกาสขยายตัวต่ำกว่า 3% และจากข้อมูล สสว.ไตรมาส 4/2567 พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 22% เผชิญปัญหากำลังซื้อลดลง, 19% เผชิญปัญหาคู่แข่งจำนวนมาก, 19% เผชิญปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน การเข้าถึงแหล่งทุนได้ยากขึ้น, 18% เผชิญปัญหาต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูง, 12% เผชิญปัญหาพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ช่องทางการตลาดสมัยใหม่จากโซเชียลมีเดีย และการใช้ Influencer เพื่อช่วยการตลาด, 6% เผชิญปัญหาสินค้าขายไม่ได้ เนื่องจากไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ขาดการสร้างแบรนด์, 4% เผชิญปัญหาภาระด้านการจ้างงาน และยังรวมถึงการทดแทนแรงงานโดยเครื่องจักรและ AI

ดังนั้น มีแนวโน้มการปิดโรงงานของ SMEs จำนวนสูงกว่า 100 แห่งแน่นอน และหากดูจากตัวเลข กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี 2567 ที่ปิดกิจการจะสูงถึง 23,000 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีและคาดว่าปี 2568 จะสูงกว่านั้น เพราะปัจจัยเสี่ยงค่อนข้างสูงกว่า

หยุดกิจการ รอประเมิน

นายแสงชัยกล่าวว่า ตัวเลขการปิดกิจการของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า คือตัวเลขนิติบุคคลที่ยื่นปิดกิจการอย่างเป็นทางการ แต่ยังมีอีก 2 กลุ่มยังไม่ได้รวมอยู่ในตัวเลข ก็คือผู้ประกอบการนิติบุคคลที่ยังไม่ยื่นปิดกิจการ แต่ชะลอหรือไม่ดำเนินธุรกิจต่อ โดยรอประเมินสถานการณ์ปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รอบด้านก่อนปิดกิจการจริง และกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย บุคคลธรรมดา และนอกระบบที่มีการปรับเปลี่ยนอาชีพธุรกิจไปแล้ว หรือไปเป็น Freelance ประกอบอาชีพอิสระที่มีภาระต้นทุนต่ำกว่า เป็นต้น

ดังนั้น แนวทางที่ภาครัฐและเอกชนต้องดำเนินการร่วมกันคือ การสร้างโอกาสเปลี่ยนผ่านให้กับธุรกิจที่ยังมีโอกาสสามารถประคองช่วงเปลี่ยนผ่านให้อยู่รอดได้ โดยสร้างกลไกการส่งเสริม ส่งต่อให้ความช่วยเหลือด้วยระบบพี่เลี้ยง ที่ปรึกษาธุรกิจที่เชี่ยวชาญให้คำแนะนำเสริมความเข้มแข็ง

นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การช่วยกลุ่ม SMEs ถือเป็นภารกิจสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นจำเป็นที่ต้องขยายโอกาสให้ SMEs เป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนของธุรกิจขนาดใหญ่ หรือบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และใช้กลไกจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อสนับสนุนเป็นเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ ยังมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่จะใช้โครงการต่าง ๆ เข้ามาช่วยฝึกอบรม พัฒนาให้ SMEs เข้มแข็ง รวมถึงแนะแนวทางการทำตลาดให้รอด

ด้านนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมคาดการณ์การจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ปี 2568 จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 90,000-95,000 ราย ตามคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ที่ 2.3-3.3% สำหรับยอดจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ปี 2567 ที่ผ่านมามีจำนวน 87,596 ราย เพิ่มขึ้น 2,296 ราย (2.69%) เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการมีจำนวน 23,679 ราย เพิ่มขึ้น 1.28% โดยธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเลิกกิจการมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปลดคนปิดโรงงานเอสเอ็มอี พิษเทรดวอร์ใหม่-สินค้าจีนท่วม

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...