รู้หรือไม่ ไบโอเมตริกซ์ คืออะไร ทำไมประเทศไทยถึงปล่อยให้คนเข้ามา มากถึง 17 ล้านคน โดยไม่ใช้ระบบนี้
รู้หรือไม่ ไบโอเมตริกซ์ คืออะไร ทำไมประเทศไทยถึงปล่อยให้คนเข้ามา มากถึง 17 ล้านคน โดยไม่ใช้ระบบนี้
ในเรื่องของไบโอเมตริกซ์นั้น หลายคนคงอาจจะไม่รู้จัก เพราะไม่ได้เป็นที่พูดถึงกันมากนักในเรื่องนี้ แต่เมื่อเรื่องแดงขึ้นจากที่มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมด้วยพวกสีเทาทั้งหลาย เกลื่อนเมืองโดยเฉพาะประเทศไทย ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในเรื่องของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
แล้วไบโอเมตริกซ์ล่ะคืออะไร ไบโอเมตริกซ์(Biometrics) คือ ลักษณะของมนุษย์ที่สร้างเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล เช่น ลักษณะบนใบหน้า ดวงตา ลายนิ้วมือ หรือ แม้กระทั่งการเต้นของหัวใจ ซึ่งลักษณะเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการกำหนดว่าคุณเป็นใครได้ ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และยังเป็นเทคโนโลยีที่สำหรับยืนยันตัวบุคคล โดยผสมผสานเทคโนโลยี ทางด้านชีวภาพ และทางการแพทย์ กับเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยการตรวจวัดลักษณะทางกายภาพและลักษณะทางพฤติกรรม ที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคนมาใช้ในการระบุตัวบุคคลนั้นๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ จึงทำให้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือสูง ในการใช้ไบโอเมตริกซ์
จึงทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้ความจำหรือจำเป็นต้องถือบัตรผ่านใดๆทำให้สะดวกและรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องพกบัตรและไม่ต้องจำรหัสผ่าน อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัย ป้องกันการสูญหายของบัตรผ่าน และไบโอเมตริกซ์ยังยากต่อการปลอมแปลงและยากต่อการลักลอบนำไปใช้
ซึ่งนอกจากการจดจำลักษณะลายนิ้วมือและลักษณะใบหน้าที่ทุกคนคุ้นหูหรือรู้จักกันแล้ว เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ ไบโอเมตริกซ์ ยังมีอีกมาก เช่น ลักษณะทางกายภาพ อาทิ ลายนิ้วมือ เส้นเลือดในฝ่ามือ ฝ่ามือ จอตา ม่านตา ใบหน้า DNA และกลิ่น แต่ถ้าหากเป็นลักษณะทางพฤติกรรม เช่น เสียง ลายเซ็น และการพิมพ์
แล้วทำไมประเทศไทยจึงต้องมีการเก็บข้อมูลนักท่องเที่ยวด้วยวิธีไบโอเมตริกซ์ สำหรับระบบนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการอนุมัติโครงการนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2559 ภายใต้ วงเงินงบประมาณกว่า 2,000 กว่าล้านบาทเลยทีเดียว ด้านสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) เป็นคนที่ใช้ระบบนี้ เพื่อตรวจสอบสิทธิ์หรือแสดงตัวตนสำหรับคนที่เข้าออกประเทศไทย เพราะระบบนี้สามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดและแม่นยำ
แต่ทว่า ตลอดปี 2567 ทั้งปี และจนถึงปัจจุบันไม่มีการเก็บไบโอเมตริกซ์จริง เป็นการเก็บแบบถ่ายรูปเท่านั้น ไม่ใช่ไบโอเมตริกซ์แล้วระบบใหม่ที่ ตม. จะได้รับมาใช้ก็อาจจะต้องรอมากถึง 29 เดือน โดยที่ผ่านมานับตั้งแต่หมดอายุไป มีคนเข้าออกประเทศไทย 17 ล้านคนโดยไม่มีการเก็บอัตลักษณ์ หรือ Biometricsเลยแม้แต่นิดเดียว
มองได้อีกอย่างคือความล้มเหลวอย่างถึงที่สุดขององค์กรตำรวจ ที่ปล่อยให้เกิดการเดินทางเข้าออกประเทศโดยเฉพาะคนต่างชาติที่อาจจะเป็นแก๊งอาชญากรข้ามชาติแต่แฝงตัวในคราบของนักท่องเที่ยว โดยไม่มีการบันทึกอัตลักษณ์
โดยจุดอ่อนตรงนี้ไม่แน่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาชญากรข้ามชาติ กลุ่มสีเทาดำทั้งหลายถึงอยู่ในประเทศอย่างเต็มบ้านเต็มเมือง
ด้าน นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน เผยว่า ที่ผ่านมีการเก็บข้อมูลแบบ “ไบโอเมทริกซ์” เก็บข้อมูลอัตลักษณ์ต่างๆ ที่ละเอียดและรอบคอบ สามารถตรวจจับได้ทั้งจาก หน้าตา ลายนิ้วมือ เพื่อช่วยในการปราบปรามอาชญากรต่างๆ แต่ กมธ.รับทราบว่าตั้งแต่ปี 2567-2569 รวม 3 ปีเต็ม เราคงจะไม่มีการใช้ระบบไบโอเมทริกซ์อีกแล้ว เพราะมีการปล่อยให้ใบอนุญาต (License) หมดอายุ
หมายความว่า “โอกาสที่จะมีความผิดพลาด และมีนักท่องเที่ยวสีเทาๆ เข้าประเทศไทยและใช้ประเทศไทยเป็นแค่ทางผ่านหรือมาก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้น แม้ว่าวันนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะใช้วิธีถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือ แต่ข้อมูลเหล่านี้ ไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าเพียงพอก็คงไม่ต้องมีการไปซื้อไบโอเมทริกซ์จากประเทศอื่นๆ จึงเป็นช่องว่างสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้อันตรายของปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เพิ่มสูงขึ้น”
แล้วใครที่จะเป็นคนรับผิดชอบกับเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้ประเทศไทยต้องเป็นแดนสวรรค์ของพวกสีเทาไปกว่านี้อีกเลย