โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

บทเรียนกำแพงภาษีเปลี่ยนโลก สู่สงครามโลกครั้งที่ 2

77kaoded

อัพเดต 07 เม.ย. เวลา 12.10 น. • เผยแพร่ 07 เม.ย. เวลา 05.10 น. • 77Kaoded

บทเรียนกำแพงภาษีเปลี่ยนโลกสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังซ้ำรอยหายนะประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์

Smoot-Hawley : บทเรียนจากอดีตที่กำลังจะซ้ำรอยเดิม

ในโลกที่การเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วทุกวัน การกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ อาจช่วยให้เรามองเห็นอนาคตชัดขึ้น

โดยเฉพาะเรื่องของ“ภาษีนำเข้า” หรือ Tariff ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เครื่องมือเศรษฐกิจธรรมดา แต่ในบางครั้งมันกลับกลายเป็นชนวนวิกฤตที่ลากทั้งประเทศ และทั้งโลก ดิ่งสู่ความตกต่ำแบบไม่รู้ตัว

หนึ่งในตัวอย่างที่เจ็บปวดที่สุด คือ Smoot-Hawley Tariff Act ของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1930 ซึ่งหลายคนเชื่อว่า เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ Great Depression อย่างรุนแรง

น่าเศร้าที่ 95 ปีผ่านไป วันนี้โลกอาจกำลังทำผิดพลาดแบบเดียวกันอีกครั้ง…

ก่อน Smoot-Hawley

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ประเทศต่างๆ ค่อยๆ ลดภาษีนำเข้าสินค้า เพื่อกระตุ้นการค้าข้ามพรมแดนและสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน สหรัฐอเมริกาในยุคนั้นเองก็กำลังรุ่งเรือง หุ้นพุ่ง แรงงานเต็มที่ อุตสาหกรรมเฟื่องฟู

ช่วงทศวรรษ 1920 ถือเป็น “ยุคทองของเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ” การลดภาษีถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและทันสมัย แต่ความรุ่งเรืองนั้นมีรากฐานที่เปราะบาง: ฟองสบู่ในตลาดหุ้น ภาคเกษตรที่ล้นตลาด หนี้สินที่สูงขึ้น และความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัวเงียบๆ

จนกระทั่งปี 1929 ทุกอย่างพังลง

เมื่อฟองสบู่แตก ความกลัวก็เข้าครอบงำ

เหตุการณ์ Black Tuesday ในเดือนตุลาคม 1929 คือ ตอนที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพังครืน ราคาหุ้นดิ่งลง ผู้คนสิ้นเนื้อประดาตัวในชั่วข้ามคืน เศรษฐกิจเริ่มถดถอยอย่างรวดเร็ว คนตกงานนับล้าน โรงงานปิดตัว ราคาสินค้าทรุดต่ำ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร

ในสภาคองเกรส กระแสกีดกันทางการค้า และเสียงเรียกร้องจากเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมดังขึ้นเรื่อย

นักการเมืองจำนวนมากคล้อยตาม โดยเฉพาะ วุฒิสมาชิก Reed Smoot กับ สมาชิกสภาผู้แทน Willis Hawley ผู้เสนอร่างกฎหมายที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากว่า 20,000 รายการ

Smoot-Hawley : กำแพงภาษีที่เปลี่ยนโลก

ในเดือนมิถุนายน 1930 ประธานาธิบดี Herbert Hoover ลงนามรับรอง Smoot-Hawley Tariff Act ทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ภาษีนำเข้าสินค้าหลายชนิดก็พุ่งขึ้นอย่างมหาศาล ตัวอย่างเช่น ภาษีผ้าขึ้นจาก 30% เป็น 50% ภาษีอาหารและเหล็กก็เพิ่มสูงขึ้นหลายสิบเปอร์เซ็นต์

ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ราคาสินค้าในประเทศแพงขึ้น แต่ที่ร้ายกว่านั้น คือ ประเทศคู่ค้าเริ่มตอบโต้ แคนาดา ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐหลายรายการ ยุโรป ตอบโต้ด้วยกำแพงภาษีของตัวเอง

ผลคือการค้าระหว่างประเทศชะงัก ส่งออกของสหรัฐลดลงเกือบ 60% ภายใน 4 ปี เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยลึก

Smoot-Hawley กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลว

ภายหลังจากวิกฤตครั้งนั้น นักเศรษฐศาสตร์และผู้นำโลกส่วนใหญ่ล้วนเห็นพ้องกันว่า การปิดประเทศด้วยกำแพงภาษีคือทางตัน ไม่ใช่ทางรอด

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง โลกจึงสร้างกลไกความร่วมมือใหม่ เช่น GATT และ WTO เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสงครามภาษีอีก

แต่เวลาผ่านไป ความทรงจำจางลง…

2025 : Smoot-Hawley 2.0 ?

วันนี้ชื่อของ Smoot กับ Hawley ถูกพูดถึงอีกครั้ง

เมื่ออดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีทุกประเทศทั่วโลกในระดับอัตราที่สูงกว่าคาดแบบไม่เชื่อสายตา และไม่มีเหตุผล แม้กระทั่งกับประเทศเล็กๆ และสูงกว่าสมัย Smoot-Hawley เสียอีก!

แม้นโยบายภาษี ยังไม่มีผลบังคับใช้ แต่ผลกระทบเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ตลาดหุ้นผันผวนหนัก ดัชนีดาวโจนส์ร่วงกว่า 1,600 จุดในหนึ่งสัปดาห์ หลายประเทศรวมถึงจีนตอบโต้ทันควัน ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐ และจำกัดการส่งออกแร่หายาก มีโอกาสที่โลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และความเชื่อถือเชื่อใจต่อสหรัฐหมดไปอย่างรวดเร็ว

คำถามคือ… เราจะเรียนรู้จากอดีตหรือไม่ ?

Smoot-Hawley ในปี 1930 ไม่ได้ล้มเหลวเพราะเจตนาไม่ดี แต่มันล้มเหลวเพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว — เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันแน่นหนา และไม่มีใครอยู่รอดได้ด้วยการปิดประตูใส่กัน

ในปี 2025 โลกก็เปลี่ยนไปอีกขั้น ห่วงโซ่อุปทานข้ามประเทศ แพลตฟอร์มดิจิทัล การลงทุนข้ามพรมแดน เรายิ่งเชื่อมโยงกันมากขึ้นกว่าเดิม

คำถามคือ… เรากำลังเดินไปข้างหน้า หรือแค่หมุนกลับไปยังร่องเดิมที่เคยล้มมาแล้ว ?

ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว Trump ก็รู้ดีว่าไม่มีทางเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงขนาดนี้ได้ เพราะผลกระทบต่อผู้บริโภค ธุรกิจ และเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะสูงขึ้น เศรษฐกิจที่ชะลอลง และสงครามค่าเงิน มีโอกาสจะทำให้คะแนนความนิยมของ Trump และ พรรค Republican ร่วงลงอย่างรวดเร็ว แต่เราจะรอจนถึง mid term election ปลายปีหน้าได้หรือเปล่า

ผมคิดว่า Trump อาจจะอยากเห็นภาษีสินค้านำเข้าไปอยู่ประมาณ 10% เพื่อเป็นแหล่งรายได้ภาษีชดเชยการขาดดุล (สหรัฐนำเข้าปีละกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ เก็บภาษีมาคงได้เป็นแสนล้าน) และคงรู้แล้วว่าขึ้นภาษีไปก็ลดการขาดดุลการค้าไม่ได้หรอก

ยกเว้นสินค้าสำคัญอย่างรถยนต์ อุตสาหกรรมยา และ semiconductor ที่อยากเห็นการย้ายฐานการผลิตกลับมาสหรัฐจริงๆ

แต่ต้องการใช้โอกาสนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของโลก เรียกข้อเสนอจากประเทศต่างๆให้มากที่สุด เหมือนจักรพรรดิเรียกดูเครื่องราชบรรณาการจากประเทศต่างๆ

ในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า เราคงได้ยิน Trump ประกาศชัยชนะ ที่ได้ “ดีล” จากประเทศนั้นประเทศนี้ และอาจจะประกาศเลื่อนการบังคับภาษีไป หรือ “ลดให้” เหลือ 10%

แต่ความเสี่ยงคือถ้าประเทศใหญ่ๆขึ้นภาษีตอบโต้ เราอาจจะเห็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ และโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ง่ายๆ

ระหว่างนี้ ความไม่แน่นอนจะทำให้การตัดสินใจลงทุน การทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจคงเลื่อนออกไป และอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น และการยกเลิกระบบการค้าที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการจะเปลี่ยนการค้าโลก และประสิทธิภาพของการผลิตโลกที่เติบโตมาพร้อมกับกระแสโลกาภิวัตน์ไปแบบกู่ไม่กลับ…

บางครั้ง… กำแพงที่เราสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง อาจกลายเป็นกำแพงที่ขังเราทุกคน และโลกอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป….

ผู้เขียน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน

ที่มา : Pipat Luengnaruemitchai

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...