โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

"ปูนซีเมนต์” มาจากไหน?

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 05 ก.พ. 2565 เวลา 14.09 น. • เผยแพร่ 05 ก.พ. 2565 เวลา 14.09 น.
(ซ้าย) ภายในโคลอสเซียม (Senior Airman Alex Wieman), (ขวา) สิ่งก่อสร้างในเมือง Lothal เมืองท่าในยุคสัมฤทธิ์ของอารยธรรมฮารัปปา (Raveesh Vyas)

มนุษย์รู้จักการใช้อิฐมานานนับหมื่นปี อิฐยุคแรกๆ ที่มนุษย์ประยุกต์ขึ้นจากวัสดุใกล้ตัวก็คืออิฐที่ทำจากดินเหนียว โดยในอนุทวีปอินเดียพบหลักฐานการใช้อิฐดินเหนียวย้อนกลับไปถึงปีที่ 7000 ก่อนคริสต์กาลในแถบหุบเขาอินดุส ซึ่งในพื้นที่นี้ยังพบการใข้อิฐเผาเป็นที่แรกๆ ด้วยเช่นกัน

การใช้อิฐดินเผาถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของอารยธรรมในอนุทวีปอินเดีย และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้กลุ่มอารยธรรมฮารัปปาสามารถขยายเมืองและหมู่บ้านไปถึงบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปัญจาบ เนื่องจากอิฐเผาช่วยให้สิ่งก่อสร้างต่างๆ และระบบจัดการน้ำของพวกเขาคงทนต่อการสึกกร่อนจากน้ำได้ดีกว่าอิฐตากแห้ง

และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการก่ออิฐก็คือวัสดุเชื่อมประสานหรือ “ซีเมนต์” ที่จะช่วยให้อิฐทั้งหลายยึดติดกันได้อย่างคงทนแข็งแรง ซึ่งวัสดุชนิดนี้มีใช้ต่างกันไปตามยุคตามสมัย และตามวัสดุที่มันจะเข้าไปประสาน เช่นหากเป็นอิฐตากแห้ง ก็สามารถใช้ดินเหนียวเป็นตัวประสานได้เลย แต่เมื่อคนหันมาใช้อิฐเผาวัสดุเชื่อมประสานที่ใช้ก็จะมีความซับซ้อนมากขึ้น

ในอารยธรรมฮารัปปา (ซึ่งแม้จะมีการใช้อิฐเผาแล้วแต่ก็ยังคงใช้อิฐตากแห้งอยู่ด้วย) พวกเขารู้จักใช้ “ยิปซั่ม” มาเป็นวัสดุเชื่อมประสานในการก่ออิฐดินเผา ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับที่อารยธรรมอียิปต์โบราณใช้ในการก่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำจากหินตัดขนาดใหญ่

ส่วนวัสดุเชื่อมประสานที่ได้รับความนิยมและแพร่หลายมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันเห็นจะเป็น “ปูนขาว” (lime) ที่มีใช้ทั้งในฝั่งตะวันออกและตะวันตก อย่างเช่นจีนที่มักเล่าขานกันว่า กำแพงเมืองจีนที่แข็งแรงคงทนถึงถูกวันนี้ได้ก็เพราะใช้ “ข้าวเหนียว” ในการก่อสร้างซึ่งก็จริงแต่ไม่จริงทั้งหมดเพราะสูตรปูนสอ (mortar-เนื้อปูนที่มีการผสมวัสดุเชื่อมประสานเข้ากับส่วนผสมอื่นๆ แล้ว) ของจีนไม่ได้ใช้ข้าวเหนียวล้วนๆ แต่ยังมีปูนขาวเป็นองค์ประกอบสำคัญ ขณะที่ช่างไทยเองก็มีสูตรพิเศษในการทำปูนสอด้วยการใช้ปูนขาวมาหมักและกวนด้วยน้ำอ้อย

แต่ที่พิเศษกว่าใครก็คือซีเมนต์ของชาวกรีก-โรมันโบราณที่ล้ำยุคล้ำสมัยกว่าอารยธรรมอื่น (คำว่า “ซีเมนต์” เองก็มีรากศัพท์ดั้งเดิมมาจากทางโรมัน) ด้วยพวกเขานำเอาเถ้าภูเขาไฟผสมเข้าไปกับปูนขาว ทำให้เกิดคุณลักษณะพิเศษคือ เนื้อปูนสามารถแข็งตัวได้แม้อยู่ใต้น้ำ หรือที่เรียกกันว่า “hydraulic cement” (ส่วนปูนที่ไม่สามารถแข็งตัวในภาวะที่เปียกน้ำได้จะเรียกว่า “non-hydraulic cement”) สิ่งปลูกสร้างของพวกเขาจึงคงทนอย่างน่าทึ่ง

อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าถึงยุคกลาง องค์ความรู้เก่าแก่ของชาวกรีก-โรมันในการใช้ซีเมนต์ที่แข็งตัวได้แม้เปียกน้ำกลับค่อยๆ สูญหายไป หลงเหลือให้เห็นในสิ่งก่อสร้างยุคหลังนี้เพียงไม่กี่แห่ง จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 จึงได้มีการพัฒนาสูตรซีเมนต์ให้มีคุณลักษณะแบบ hydraulic cement เหมือนซีเมนต์ของชาวกรีก-โรมันขึ้นมา

ซีเมนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นในยุคหลังนี้มักรู้จักกันในชื่อว่า “ซีเมนต์พอร์ตแลนด์” ซึ่งเริ่มพัฒนาขึ้นโดย จอห์น สเมียตัน (John Smeaton) ในปี 1756 (พ.ศ. 2299) เมื่อครั้งที่เขารับผิดชอบการก่อสร้างประภาคารเอดดีสตัน (Eddystone Lighthouse) นอกชายฝั่งของพลีมัธในอังกฤษ จากนั้นก็ค่อยๆ วิวัฒนาการเรื่อยมาทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ

ขณะที่ส่วนใหญ่คนมักจะยกให้ โจเซฟ เอส์ปดิน (Joseph Aspdin) ได้รับเครดิตว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ปูนซีเมนต์พอร์ตแลนด์ขึ้น เนื่องจากในปี 1824 (พ.ศ. 2367) เอส์ปดิน ได้รับสิทธิบัตรในสิ่งประดิษฐ์ที่เขาเรียกว่า “ซีเมนต์พอร์ตแลนด์” ที่ทำมาจากส่วนผสมของหินปูน (limestone) กับดินเหนียว ซึ่งเหตุที่เขาเรียกมันว่า ซีเมนต์พอร์ตแลนด์ ก็เพราะเมื่อมันจับตัวเป็นก้อนแข็งจะมีลักษณะคล้ายกับหินปูนพอร์ตแลนด์เป็นอย่างมาก

แต่สูตรซีเมนต์ของ เอส์ปดิน ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก จนกระทั่งเข้าสู้ปี 1850 (พ.ศ. 2393) ไอแซค ชาลส์ จอห์นสัน (Isaac Charles Johnson) ก็สามารถพัฒนาการผลิตซีเมนต์พอร์ตแลนด์ที่ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของซีเมนต์พอร์ตแลนด์ในยุคปัจจุบันได้สำเร็จ จนเข้าถึงศตวรรษที่ 20 การผลิตซีเมนต์พอร์ตแลนด์ก็แพร่หลายไปทั่วโลก

ในประเทศไทยก็ได้เริ่มกิจการผลิตปูนซีเมนต์ขึ้นในศตวรรษนี้ โดยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงให้จัดตั้งบริษัทปูนซีเมนต์ไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2456 และเริ่มผลิตปูนซีเมนต์ออกสู่ตลาดในปี พ.ศ. 2458 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี จึงช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนปูนซีเมนต์ในประเทศที่สมัยนั้นยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่มากได้ ซึ่งภายหลังกิจการของบริษัทปูนซีเมนต์ไทยมิได้เพียงทดแทนความต้องการสินค้าภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ และขยายกิจการไปยังภาคอื่นๆ ถือเป็นบริษัทชั้นแนวหน้าของไทยที่มีส่วนต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก

อ้างอิง:

5. “รอยอดีต 100 ปี เครือซีเมนต์ไทย ปล่องปูน รากฐานที่กำลังเหลือเพียงชื่อ“. สารคดี <http://www.sarakadee.com/2012/08/21/scg-heritage/>

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 13 ม.ค. 2017

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...