ไม่เชื่อไม่ใช่จะลบหลู่
มีน้องคนหนึ่งไปเที่ยวเกาะหนแรก เจอลมแรง
พอไปครั้งที่สองเจอลมกระโชกอีก คราวนี้จึงเกิดความเชื่อว่าที่ภูเก็ตนั้นลมพัดแรง
จะบอกว่าความเชื่อของเธอผิดก็คงจะไม่ได้
เพราะประสบการณ์ที่เธอประสบมานั้น ภูเก็ตลมพัดแรงจริงๆ
หรือใครเคยมากรุงเทพตอนสงกรานต์ แล้วบอกว่า กรุงเทพรถไม่ติด ก็คงไม่ผิดเช่นกัน
คนจำนวนมากจึงเชื่อว่าหงส์เป็นสีขาวและหยกเป็นสีเขียว
เพราะหงส์ส่วนใหญ่ที่เคยพบเคยเห็นมักจะเป็นสีขาว
จนกระทั่งเขาไปพบเห็นหงส์สีดำ
บัดนั้นหงส์จึงไม่จำเป็นต้องเป็นสีขาว
และเมื่อได้พบหยกสีอื่นๆ จึงจะเข้าใจได้ว่าหยกอาจมีหลากสีสัน
สิ่งเหล่านี้เรียกว่าความเชื่อไม่ใช่ความโง่
กว่าจะรู้ว่าภายในเปลือกแตงโมสีเขียวอาจมีเนื้อแตงโมสีเหลืองก็ต้องใช้เวลา
ดังนั้นเมื่อมีใครบอกว่า การเดินทางท่องเที่ยวทำให้ได้ประสบการณ์
และประสบการณ์ทำให้เกิดการเรียนรู้
ก็อยากจะเติมอีกนิดนึงว่า ประสบการณ์อาจทำให้เกิดการเรียนรู้และความเข้าใจอันผิดพลาดก็ได้
เพราะ สิ่งที่ก่อประโยชน์จริงๆ อาจไม่ใช่แค่ประสบการณ์ แต่คือการสังเคราะห์ข้อมูลซึ่งรับเข้ามาต่างหาก
เหมือนเราโดนแดดกับต้นไม้ได้แดด
เราโดนแดดมากๆ ผิวอาจจะดำหรือเป็นฝ้า แต่ต้นไม้ ใบไม้ กลับได้อาหาร เพราะสังเคราะห์แสงได้
และบางคราเราก็มีความเชื่อผิดๆ ว่าแสงแดดเป็นสาเหตุทำร้ายผิวเรา โดยไม่รู้ว่าแสงแดดก็มีคุณค่ามากมายกับร่างกายมนุษย์
โดยเฉพาะแดดอ่อนๆ ตอนเช้า ย่อมให้วิตามินกับร่างกายเราได้เช่นกัน
กระบวนการซึ่งใช้แสวงหาคำตอบ (หรือตรรกวิทยา) จึงเป็นสิ่งจำเป็น ต่อการศึกษาเรียนรู้ของมนุษย์ในทุกสาขาวิชาและทุกสรรพอาชีพ
ในสมัยกลาง(สมัยก่อน) ปรากฏว่าเมื่อเกิดกาฬโรคระบาดขึ้น ประชาชนได้พากันเบียดเสียดเข้าไปในโบสถ์เพื่อสวดอ้อนวอนพระเจ้า โดยคิดว่าความดีของพวกเขาคงจะทำให้พระเจ้าประทานความกรุณา เพื่อให้พ้นจากทุกข์ภัย แต่ความจริงการแออัดกันในที่ซึ่งมีระบบอากาศถ่ายเทไม่ดีพอ ก็เป็นเงื่อนไขทำให้โรคระบาดติดต่อได้
(จากหนังสือศิลปะการคิดหาเหตุผล เขียนโดย เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์)
อ่านจากหนังสือรางวัลซีไรต์เรื่องลูกอีสาน ของคำพูน เขียนเล่าไว้ว่า
……ตอนเยาว์วัยได้เห็นมีคนหนึ่งถือไม้แส้ตีปู่ที่นอนร้องอยู่ขวับๆ แล้วเอาน้ำลงรดตามตัวปู่เสียงซู่ๆ มีเสียงคนถือแส้ตีปู่ว่า มึงบ่กินน้ำมนต์ก็อาบเสีย มึงเป็นผีปอบตัวไหนชื่ออะไรบอกมาไวๆ คูณเห็นปู่ลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วคูณวิ่งลงไปยืนฟังอยู่ใต้ถุน มีเสียงปู่พูดขึ้นดังๆว่า บ่แม่นผีปอบมากินตับกู กูเป็นไข้ป่าเพราะกูเดินไปโคราช พอแล้ว อย่าอาบน้ำให้กู….
( คำพูนบุญทวีเขียนไว้ โดยขึ้นต้นว่า 47 ปีครั้งกระโน้น…และตีพิมพ์มาหลายหน จนผู้ประพันธ์เสียชีวิตไปแล้ว )
แต่ครั้งกระนี้ ค.ศ.2020 หมู่บ้านในภาคอีสานก็ยังเชื่อว่ามีผีปอบและที่ร้ายยิ่งกว่าผีปอบคือวิธีกำจัด
ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ผู้ใหญ่บ้านจะไปเชิญอาจารย์จับผีปอบมา โดยคนที่อยู่ในหมู่บ้านจะต้องช่วยกันออกเงินทุกครอบครัว เอามารวมๆกันเป็นค่าจ้างเพราะถือว่าเป็นงานของส่วนรวม
วิธีจับผีก็หาดูได้ในสารคดีที่เขาเอามาออกทีวี คือไขว่คว้าอากาศแล้วเอายัดลงในกระบอกปิดฝา
บางทีรับเงินไปแล้วก็บอกว่า ผีปอบที่นี่แยะเกินกว่าจับได้หมดในคราวเดียว ยังเหลืออีก ซึ่งต้องกลับมาจับใหม่ และต้องเก็บเงินคนในชุมชนนั้นเพิ่มอีกสำหรับการมาจับผีใหม่คราวหน้า
ความเชื่อแบบนี้บางทีก็สูบกินชุมชนยิ่งกว่าผีปอบ
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแล้วก็อย่าลบหลู่
แต่การแสวงหาจนพบคำตอบใหม่ๆไม่ใช่งมงายอยู่กับความเชื่อเดิมๆนอกจากไม่ใช่การลบหลู่แล้วยังทำให้เราได้ชื่นชมสติปัญญาและความสามารถของมนุษย์ต่างหาก
ติดตามบทความใหม่ ๆ จากศุ บุญเลี้ยง ได้ทุกวันพุธ บน LINE TODAY และหากสามารถอ่านบทความอื่นได้ที่เพจศุ บุญเลี้ยง