หวั่นญี่ปุ่นบังคับใช้ ‘กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับใหม่’ ทำละเมิดสิทธิ-ลดจำนวนคนทำงาน
The Bangkok Insight
อัพเดต 16 มิ.ย. 2567 เวลา 19.49 น. • เผยแพร่ 17 มิ.ย. 2567 เวลา 00.30 น. • The Bangkok Insightบรรดานักวิจารณ์แสดงความกังวล "กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับใหม่" ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งบังคับใช้ โดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปการย้ายถิ่นฐานอาจลดจำนวนผู้ที่ต้องการทำงานในญี่ปุ่น และเกิดการละเมิดสิทธิในด้านต่าง ๆ ได้
นิกเคอิ เอเชียรายงานว่า หลังจากที่ญี่ปุ่นบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับแก้ไข เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้นักวิจารณ์เกิดความกังวล ในเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ทำให้ทางการสามารถเนรเทศผู้ยื่นขอสถานะผู้ลี้ภัยซ้ำๆ ได้ง่ายขึ้น
กฎหมายใหม่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อพยพผิดกฎหมายของญี่ปุ่น ในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังมองหาวิธีดึงดูดแรงงานต่างชาติให้เข้ามาทำงานในประเทศ เพื่อจัดการกับปัญหาด้านประชากรที่ลดลง
ภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมคนเข้าเมือง และการขอลี้ภัยฉบับปรับปรุงใหม่นี้ ผู้ที่ยื่นขอลี้ภัยอาจถูกส่งตัวกลับประเทศได้ หลังจากที่ยื่นเรื่องขอลี้ภัยครั้งที่ 2 ไม่สำเร็จ ทั้งผู้ที่รอผลการยื่นเรื่องลี้ภัย ก็อาจถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดได้เช่นกัน จากเดิมที่จะได้รับการคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ จนกว่าพวกเขาจะทราบผลการยื่นคำร้อง และสามารถยื่นเรื่องใหม่ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
เจฟเฟอร์สัน อาร์ แพลนทิลลา นักวิจัยจากศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชีย แปซิฟิค ในนครโอซากา แสดงความเห็นว่า กฎหมายฉบับใหม่ดังกล่าว ทำให้เกิดสถานการณ์อันตรายในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
"เมื่อก่อนผู้คนจำนวนมากที่รอผลการยื่นเรื่องลี้ภัย สามารถอยู่ต่อในญี่ปุ่นได้ แต่ตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะพวกเขาต้องจากไป เป็นเรื่องที่น่ากลัว"
บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน ชี้ว่ากฎหมายคนเข้าเมืองฉบับใหม่นี้ทำให้ผู้ที่หลบหนีอันตรายจากประเทศต่างๆ เช่น เมียนมา และอัฟกานิสถาน ตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งภายใต้อนุสัญญาผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ปี 1951 ที่ญี่ปุ่นร่วมให้สัตยาบัน ระบุว่า จะต้องไม่ส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศที่พวกเขาเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิต หรือเสรีภาพของตน
รัฐบาลญี่ปุ่น ระบุว่า กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับใหม่ จะช่วยปรับปรุงกระบวนการคัดกรองผู้ลี้ภัยของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และรับประกันการคุ้มครองสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องลี้ภัยอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ริวจิ โคอิซูมิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อ "รับประกันถึงการคุ้มครอง ผู้ที่ควรได้รับการปกป้อง และส่งตัวผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่กลับประเทศอย่างรวดเร็ว"
ญี่ปุ่นถือว่าผู้ที่"ถูกข่มเหงด้วยเหตุผลทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกของกลุ่มสังคมใดกลุ่มหนึ่ง หรือความคิดเห็นทางการเมือง" มีสิทธิ์ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย ตามอนุสัญญาสหประชาชาติปี 1951
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ญี่ปุ่นยังได้เริ่มการนำเสนอสถานะ "ผู้ลี้ภัยเสมือน" ให้กับผู้ที่หลบหนีความขัดแย้งอีกด้วย โดยข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 3 เดือน นับถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการอนุมัติให้ผู้ที่มีสถานะกึ่งผู้ลี้ภัยดังกล่าว พำนักอยู่ในประเทศได้จำนวน 647 คน ในจำนวนนี้มีอยู่ 644 คน ที่หลบหนีภัยสงครามยูเครน
กระนั้นก็ตาม ญี่ปุ่นยังถือเป็นประเทศที่ยอมรับผู้ลี้ภัยน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2566 ญี่ปุ่นยอมรับผู้ลี้ภัยจำนวน 303 คน ซึ่งแม้จะสูงเป็นประวัติการณ์ของประเทศ แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.2% ของจำนวนผู้ขอลี้ภัยทั้งหมด 13,823 คน เทียบกับ เยอรมนี ซึ่งแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ3 ของโลกในปีนี้ ที่ยอมรับผู้ลี้ภัยมากกว่า 50% ของจำนวนผู้ขอลี้ภัยทั้งหมด 260,000 ราย ในปีที่แล้ว
เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น ชี้ว่า อัตราการยอมรับผู้ลี้ภัยที่ต่ำมาก เนื่องจากผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารจำนวนมาก ใช้ระบบการขอวีซ่าในทางที่ผิด ซึ่งโคอิซูมิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ระบุเมื่อเดือนที่แล้วว่า การปราบปรามผู้ที่ฝ่าฝืนกฎ เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างสังคมที่ชาวญี่ปุ่น และชาวต่างชาติเคารพซึ่งกันและกัน
ชิโอริ อิคูตะ เจ้าหน้าที่สมาคมผู้ลี้ภัยแห่งประเทศญี่ปุ่น วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ต้องการ โดยเมื่อคำร้องของผู้ลี้ภัยถูกปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลอย่างละเอียด และยังไม่ยอมบอกด้วยว่า ได้มีการตรวจสอบเอกสารฉบับไหนจริง ๆ บ้าง
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่นรายหนึ่ง บอกว่า ผู้ที่ถูกปฏิเสธสถานะผู้ลี้ภัย คือ กลุ่มที่ถูกพิจารณาแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครอง และจะมีการอธิบายอย่างชัดเจนต่อผู้ที่ถูกปฏิเสธทั้งหมด แต่การที่เอกสารที่ออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น จึงมีผู้สมัครบางคนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงถูกปฏิเสธ เนื่องจากอุปสรรคทางภาษา
ความกังวลเกี่ยวกับการยกเครื่องจัดการกับผู้ขอลี้ภัยของญี่ปุ่น ยังพุ่งเป้าไปที่บรรดาลูก ๆ ของผู้ลี้ภัยที่ไม่มีเอกสาร ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกเนรเทศ โดยในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว รัฐบาลได้ออกมาตรการชั่วคราว เพื่อให้วีซ่าพิเศษแก่เด็กที่เกิด และเติบโตในญี่ปุ่น ที่มีผู้ปกครองเป็นชาวต่างชาติที่ไม่มีเอกสาร โดยพ่อแม่และผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้น มีสิทธิ์ได้รับใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่แบบพิเศษเช่นกัน
อิคูตะ เจ้าหน้าที่สมาคมผู้ลี้ภัยแห่งประเทศญี่ปุ่น บอกว่า แม้ภายใต้กฎหมายฉบับปรับปรุงใหม่นี้ ผู้ที่ยื่นขอลี้ภัยไม่สำเร็จ สามารถยื่นเรื่องไดัถึงครั้งที่ 3 หากพวกเขามี "เหตุผลที่เหมาะสม" แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเหตุผลประเภทใดที่จะเข้าเกณฑ์ ซึ่งแหล่งข่าวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในประเทศบ้านเกิดของผู้ขอลี้ภัย จะเป็นเหตุผลที่เหมาะสมสำหรับการยื่นเรื่องใหม่
อิคูตะ บอกด้วยว่า กฎหมายฉบับใหม่นี้ อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในต่างประเทศ
"หากผู้คนในต่างประเทศได้ยินว่าญี่ปุ่นเข้มงวดมากขึ้นในเรื่องการเนรเทศ ก็อาจมีคนสมัครเข้ามาทำงานที่นี่น้อยลง ฉันคิดว่ากฎหมายฉบับนี้ เป็นกฎหมายที่มีปัญหา"
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เริ่ม ต.ค. นี้! 'ญี่ปุ่น' กำหนดให้ 'ชาวต่างชาติ' ต้องเข้า 'ระบบบำนาญแห่งชาติ'
- 'ญี่ปุ่น' มี 'แรงงานต่างชาติ' ทะลุ 2 ล้านคน เป็นครั้งแรก
- 'ญี่ปุ่น' เล็ง ยกระดับสถานภาพ 'แรงงานทักษะต่างชาติ' หวังแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
ติดตามเราได้ที่
เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X (Twitter):https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube:https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg