โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

หรือจีนจะตามทัน ? เจาะลึก DeepSeek AI จิ๋วแต่แจ๋วจากแดนมังกร ทำไมดัง ทำไมสหรัฐกลัว

BT Beartai

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 27 ม.ค. เวลา 16.35 น.
หรือจีนจะตามทัน ? เจาะลึก DeepSeek AI จิ๋วแต่แจ๋วจากแดนมังกร ทำไมดัง ทำไมสหรัฐกลัว
หรือจีนจะตามทัน ? เจาะลึก DeepSeek AI จิ๋วแต่แจ๋วจากแดนมังกร ทำไมดัง ทำไมสหรัฐกลัว

สงครามการพัฒนา AI ทั่วโลกยังคงดุเดือด สหรัฐอเมริกาที่ครอบครองห่วงโซ่การผลิตเทคโนโลยี New Tech ไว้ในเงื้อมมือตั้งแต่ออกแบบยันผลิต ดูเหมือนจะยังครองบัลลังก์ AI ที่มีตัวชูโรงเป็น GPT ของ OpenAI ซึ่งสูบทรัพยากรมหาศาล

แม้ว่าสหรัฐฯ จะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการพัฒนา AI ของจีน แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจีนรุดหน้าพัฒนา AI พร้อมเขย่าเก้าอี้เบอร์ 1 ของสหรัฐฯ ด้วย DeepSeek แชตบอต AI ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งไม่เพียงแต่จะพัฒนาได้ไว แต่ยังใช้ต้นทุนทางเทคโนโลยีที่น้อยกว่าด้วย

จุดเริ่มต้นของ DeepSeek

เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek
เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek

DeepSeek เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นผลงานพัฒนาของสตาร์ตอัปที่ใช้ชื่อเดียวกันจากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ก่อตั้งโดย เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักธุรกิจวัยราว 40 ปี โดย DeepSeek เวอร์ชันแรกได้รับการเปิดตัวเมื่อปี 2023 ซึ่งก็ถือว่าไม่นานมานี้เอง

จุดเริ่มต้นของ DeepSeek ในฐานะกลุ่มผู้พัฒนาเป็นการเติบโตมาจากแผนกวิจัย AI ของกองทุนบริหารความเสี่ยง (Hedge fund) ที่มีเป้าหมายในการสร้าง AGI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถทัดเทียมมนุษย์ เป้าหมายปลายทางเดียวกับ OpenAI และนักพัฒนา AI ทั่วโลกที่ฝันจะเห็น AI ที่คิดได้เหมือนคน

ตัว DeepSeek เป็นโมเดล AI ที่สร้างขึ้นโดยใช้โค้ดแบบโอเพนซอร์ส เป็นโค้ดที่บรรดานักพัฒนา AI ชาวจีนได้เขียนขึ้นและแบ่งปันกันไปมา ขณะเดียวกันก็ทดสอบกันมาเรื่อย ๆ ด้วย

DeepSeek V3 ม้ามืดวงการ AI

ผลงานสุดท้าทายของ DeepSeek คือ DeepSeek V3 ที่เปิดตัวเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ความน่าทึ่งของมันก็คือจากการทดสอบโดยใช้เครื่องมือหลายตัว พบว่า DeepSeek V3 อยู่ในระดับเดียวกับ ChatGPT 4o และ Claude 3.5 Sonnet ของ Anthropic ซึ่งแม้จะไม่ใช่โมเดล AI ตัวท็อป แต่ก็ถือว่าเป็น AI แถวหน้าของการแข่งขัน AI โลก

ชิป H800 (ที่มา Tech Powerup)
ชิป H800 (ที่มา Tech Powerup)

ความน่าสนใจของ DeepSeek V3 ยังไม่หยุดแค่นั้น การพัฒนา DeepSeek V3 ทำโดยใช้ชิป H800 จากค่าย NVIDIA ที่ถือว่าเป็นชิป AI รุ่นที่ประสิทธิภาพต่ำกว่าชิปรุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้ในการฝึก แต่แม้กระนั้น H800 ก็ยังถูกแบนในปี 2023

ทีมพัฒนาของ DeepSeek อ้างว่าการพัฒนา DeepSeek V3 แบบครบจบกระบวนการใช้เงินไปเพียงแค่ไม่ถึง 6 ล้านเหรียญ (ราว 202.4 ล้านบาท) เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าโมเดลคู่แข่งที่ใช้เงินหลายพันล้านเหรียญมาก ต้นทุนที่ต่ำนี้ก็เกิดจากโค้ดโอเพนซอร์สและเทคโนโลยีที่มีจำกัด

ยังไม่หยุดแค่นั้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว DeepSeek ยังได้ประกาศเปิดตัว R1 ที่ประสิทธิภาพพอเทียบชั้นได้กับ GPT o1 ของ OpenAI ที่สูงไปอีกขั้น

สำหรับในประสิทธิภาพการทำงาน การตอบคำถามของ DeepSeek ยังลื่นไหล และมีความเป็นธรรมชาติ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีการให้แหล่งที่มาของข้อมูล แต่สามารถสร้างข้อมูลในรูปแบบตัวอักษรเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังชี้ว่าทั้ง V3 และ R1 มีความสามารถในการทำงานยาก ๆ ที่ซับซ้อนได้ดีมาก อีกทั้งยังมีความสามารถในการคำนวณที่ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าอื่น ๆ

อย่างไรก็ดี DeepSeek ก็ยังคงมีข้อจำกัดเหมือนโมเดล AI ตัวอื่น ๆ จากฝั่งจีน คือยังไม่สามารถตอบคำถามในประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนต่อรัฐบาลจีนในภาษาอังกฤษได้ อาทิ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ข้อมูลเชิงลบของผู้นำทางการเมืองจีน และประเด็นไต้หวัน โดยพบว่า DeepSeek มีความพยายามในการตอบคำถามเหล่านี้ในบางกรณี แต่สุดท้ายก็ขึ้นข้อความว่า ‘เกินขอบเขตที่จะตอบได้’ (That’s currently beyond my current scope.)

ทั้งนี้ เมื่อลองถามคำถามในลักษณะเดียวกันเป็นภาษาไทย ยังพบว่าสามารถตอบบางคำถามได้เป็นปกติโดยไม่มีการปกปิดคำตอบ ยกเว้นคำถามที่เกี่ยวกับตัวผู้นำโดยตรง จะถูกปฏิเสธเป็นภาษาอังกฤษ

สหรัฐฯ คว่ำบาตรไม่ได้ผล ?

DeepSeek ทำลายขีดจำกัดของเทคโนโลยี AI ด้วยการที่มีความสามารถในการแข่งขันกับ Google และ OpenAI แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ชิป AI ในจำนวนที่น้อยกว่าด้วย

ความสำเร็จของ DeepSeek สะท้อนให้เห็นว่าอาวุธทางการค้าของสหรัฐฯ ที่คว่ำบาตรการส่งออกชิป AI ขั้นสูงไปยังคู่แข่งข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างจีน กลับการเป็นฐานกระโดดให้กับนักพัฒนาจีนที่ต้องทรหดแหกกำแพงเทคโนโลยีด้วยทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด

แน่นอนว่าการห้ามส่งออกเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กระทบกับ DeepSeek โดยตรง เหลียงเคยออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้วว่า “เงินไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเรา แต่การห้ามส่งออกชิปขั้นสูงต่างหากที่เป็นปัญหา”

อย่างไรก็ดี ก็ทำให้นักวิเคราะห์ คนวงการธุรกิจ และเจ้าหน้าที่รัฐหลายคนเกิดข้อสงสัยว่า DeepSeek พัฒนา AI มาได้ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่จริง ๆ หรือแท้จริงแล้วมาตรการของสหรัฐฯ ไม่มีประสิทธิภาพจนชิปบางส่วนเล็ดลอดออกมาได้

ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีมีหนาว

การปรากฏตัวของ DeepSeek R1 ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ต้องสั่นสะเทือน หุ้นโลกตะวันตกร่วงกราวกันเป็นแถบ ๆ โดยพบว่าตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ร่วงลด 4% มากกว่า 800 จุด ส่วน Dow Jones มูลค่าหดลง 300 จุด ขณะที่ S&P ปรับตัวลดลง 2%

สถานการณ์หุ้นปัจจุบันของ NVIDIA (ที่มา Yahoo)
สถานการณ์หุ้นปัจจุบันของ NVIDIA (ที่มา Yahoo)

หุ้นของผู้นำตลาดเทคโนโลยี Meta และ Microsoft ก็ทำท่าโน้มหัวลงหลังเปิดตัว DeepSeek เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ เจ้าพ่อชิป AI อย่าง NVIDIA ก็มูลค่าร่วงลงมาแล้วจนถึงตอนนี้ 18% และมีทีท่าจะไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก นี่ยังไม่รวมบริษัทอื่น ๆ หลายสิบบริษัทที่รับแรงกระแทกส่วนนี้

มาร์ก แอนดรีสเซน (Marc Andreessen) ที่ปรึกษาของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และนักลงทุนจากซิลิคอนวัลลีย์ถึงกับอธิบายว่า R1 เป็นเหมื่อนกับยานสปุตนิกของวงการ AI หรือก็คือช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ถูกไล่ทางเทคโนโลยีมาติด ๆ แบบไม่ทันตั้งตัวอีกครั้งนับแต่สงครามเย็น

Satya Nadella
สัตยา นาเดลลา

เช่นเดียวกับผู้บริหารวงการ AI อย่าง สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) แห่ง Microsoft และแซม อัลต์แมน (Sam Altman) แห่ง OpenAI ที่ออกมาให้ความเห็นต่อปรากฏการณ์ DeepSeek ที่แตกต่างกัน บางรายงานก็ว่า Meta ถึงกับต้องตั้งวอร์รูมฉุกเฉินเพื่อประเมินสถานการณ์

ความกังวลของตลาดไม่ได้จำกัดวงอยู่ในสหรัฐฯ เท่านั้น หุ้นของ ASML ผู้พัฒนาเครื่องพิมพ์ชิปจากเนเธอร์แลนด์ และ Siemens Energy ที่ผลิตฮาร์ดแวร์เกี่ยวกับ AI จากเยอรมันก็หุ้นร่วง 10% และ 21% ตามลำดับด้วย

ผู้ใช้งานก็ดูจะตอบรับเป็นอย่างดี ผู้ใช้งานทะลักเข้าไปลองใช้โมเดล DeepSeek จนแอปฯ ได้ความนิยมจนแซง ChatGPT ขึ้นไปติดอันดับ 1 ใน App Store สหรัฐฯ และยังทำให้เซิร์ฟเวอร์ของ DeepSeek ล่มร้ายแรงที่สุดในรอบ 90 วัน

การแข่งขันดุเดือดขึ้น

ไม่ว่า DeepSeek จะได้รับการตอบรับที่ทั้งอบอุ่นและหวาดผวา แต่ก็ถือว่าเป็นจุดที่สงคราม AI เข้าสู่บทใหม่แล้ว การที่นักพัฒนาเอาชนะขีดจำกัดทางเทคโนโลยีได้ก็อาจถือได้ว่ามนุษย์ก็คงยังอยู่เหนือ AI

แต่ DeepSeek ก็ยังต้องเผชิญสมรภูมิการแข่งขันและทดสอบอีกมาก แต่ท้ายที่สุด ผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็คงไม่พ้นผู้ใช้งานที่จะมีตัวเลือก AI มาให้เลือกใช้มากมายในตลาดที่กว้างใหญ่ขึ้น

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0