เคยอ่านเจอบทความหนึ่ง เขาบอกว่า การที่เราย้อนกลับไปดูตัวเองในอดีต แล้วเห็นความผิดพลาด เห็นสิ่งที่อยากย้อนอดีตกลับไปแก้ไข แบบที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า regret นั้น แว้บแรกเราจะรู้สึกว่าตอนนั้นกูคิดอะไรของกูนะ ทำลงได้ไปยังไง แต่เมื่อเราผ่านแว้บนั้นไปได้ การที่เรามีความผิดพลาด มีสิ่งที่อยากแก้ไขในอดีตนั้นเป็นสิ่งที่บอกว่าเราโตขึ้น เก่งขึ้น มีพัฒนาการจนไม่เหมือนกับตัวเราในอดีตแล้ว
ที่ผ่านมา เราอาจจะรู้สึกผิดกับเรื่องโง่ๆในอดีตมาตลอด เช่น เลิกคบกับเพื่อนตอน ม.ต้น เพราะมันแอบขโมยสมุดพกไปดูชื่อพ่อแล้วเขียนบนกระดานดำหน้าห้อง หรือทรงผมบอยแบนด์ทรงรากไทรตอนเรียนมหาลัยปีหนึ่ง หลังจากเก็บกดกับทรงไถเกรียนรองทรงสูงมาหลายปี และแน่นอนว่าไม่มีใครที่เพอร์เฟกต์เหมือนได้เกรด 4.00 ด้านการใช้ชีวิตมาตลอด เมื่ออายุของเราก้าวเข้าสู่เขตวัยสามสิบ เราก็ยังคงมีเรื่องโง่ๆในอดีตตามมาหลอกหลอนเราอยู่เสมอ
แต่ในวัยสามสิบของผม เมื่อผมมองย้อนไปกลับเรียนรู้เรื่องโง่ๆ และความผิดพลาดในอดีต ผมพบว่ามีหลายเรื่องที่ผมดีใจมากที่เราเลิกทำมันได้เสียที และนี่คือสามเรื่องโง่ๆที่ดีใจที่ผมเลิกทำไปแล้วครับ
หนึ่ง – พูดจาแรงๆกับทุกสิ่งมีชีวิตในสังคม คือมันจะมีอยู่ช่วงนึงของชีวิต ที่เรารู้สึกว่าการพูดตรงๆ แรงๆ จะทำให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการง่ายขึ้น เอะอะคือใช้คำพูดแรงๆฟาดคนอื่นไว้ก่อน หลายครั้งที่เส้นคั่นระหว่างคำว่าหยาบคาย กับคำว่าพูดตรงๆเป็นเส้นที่บางจนแทบมองไม่เห็นแล้ว
ซึ่งพอมานั่งย้อนกลับมาคิดดีๆก็พบว่า เออ… เรื่องบางเรื่องเนี่ย คุยกันดีๆ ขอกันดีๆก็ได้นี่หว่า น่าจะได้สิ่งที่ต้องการเหมือนกัน ผลลัพธ์เหมือนกันเป๊ะ ซึ่งมันใช้ได้กับทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวันเลย เช่น เวลาไปกินข้าวในร้านอาหาร การพูดกับน้องพนักงานดีๆ พี่ขอส้อมหน่อยครับ พี่รบกวนช่วยตามอาหารให้หน่อยครับ แค่เนี้ย… มันง่ายและไม่เป็นพิษกับคนรอบข้างเลย
ยิ่งในยุคนี้ที่ใครๆก็มีตัวตน กลายเป็นเซเลป เป็นอินฟลูเอนเซอร์ในโลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้นทุกวัน หลายคนเลือกที่จะใช้ความแรง ความเหวี่ยง ความฟาดด้วยถ้อยคำหยาบเพื่อสร้างตัวตนให้โดดเด่นขึ้นมา ซึ่งมันก็ได้ผลแหละครับ เพราะเราก็เห็นๆกันอยู่ว่าทุกวันนี้มีคอนเทนต์ที่เต็มไปด้วยคำหยาบแจ้งเกิดโด่งดังไปทั่วอินเตอร์เนทเยอะแยะ
ซึ่งไม่ได้บอกว่าวิธีนี้มันผิดนะครับ แต่เมื่อเรามีสติไตร่ตรองมากขึ้นแล้วเราจะพบว่า มันไม่ได้เป็นหนทางเดียวที่เราเลือกได้ เรายังเลือกที่จะทำตัวดีๆ พูดดีๆ เพื่อให้คนชอบเรา เพื่อให้คนทำในสิ่งที่เราต้องการได้เช่นกัน ซึ่งไอ้การพูดดีๆขอดีๆเนี่ย มันง่ายและไม่ต้องใช้พลังงานอะไรเยอะแยะเลยนะ แต่ไอ้การทำตัวเฟี๊ยซๆ ต้องรักษาแอตติจูดแรงๆตลอดเวลาต่างหากที่เหนื่อย
สอง – เกรงใจกับคนที่ไม่ต้องเกรงใจ อ้าว เมื่อกี้ยังบอกอยู่หยกๆว่า ให้พูดกันดีๆ ทำไมข้อนี้บอกว่าไม่ต้องเกรงใจกันแล้วล่ะ คืองี้ครับ ผมพบว่าต่อมเกรงใจของมนุษย์เนี่ย มันจะค่อยๆเริ่มทำงานผิดปกติเมื่อเราเริ่มสนิทกับเพื่อนบางคนมากๆ เราก็จะเริ่มไม่เกรงใจมัน เพราะคิดไปเองว่า ก็มันเป็นเพื่อนสนิทเราแล้ว มันรู้จักเราดี ทำอะไรไปมันก็คงไม่คิดมากหรอก
กลายเป็นว่าเราดันไปเกรงใจกับคนที่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเกรงใจด้วยเท่าไร เช่น คนที่เราไม่รู้จัก หรือคนแปลกหน้าที่ทั้งชีวิตนี้อาจจะได้เจอกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทีนี้ล่ะเกรงใจเขาซะเหลือเกิน แต่กลายเป็นว่าอีเพื่อนที่เราเข้าใจไปเองว่าสนิทจนไม่ต้องเกรงใจนั่นน่ะ น้อยใจไปถึงไหนแล้วไม่รู้ ซึ่งบางทีความวัวในข้อนี้ ก็ไปรวมร่างกับความควายในข้อแรก
บางทีพูดจาแรงๆตรงๆด่ามัน แซะมันแบบไม่ยั้ง หรือทำอะไรแบบไม่เห็นหัวกันจนเข้าใจผิดกัน สุดท้ายมาเสียเพื่อนกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก ซึ่งก็ต้องรอสติสัมปชัญญะแห่งวัยสามสิบมาตบกบาลเราให้รู้สำนึก ว่าคนที่เราสนิทที่สุด เข้าใจและรักที่สุดนี่แหละ ยิ่งต้องเกรงใจเว้ย
สาม – คิดว่ากูต้องได้ทุกอย่าง อันนี้คือมาแบบแอตติจูดนางเอกช่องเจ็ดมาก แบบอะไรที่ฟ้าอยากได้ ฟ้าต้องได้! (ทำตาถลึงพร้อมมองกล้องสองแล้วยิ้มมุมปากสะใจอย่างไร้เหตุผล) คือมีความมั่นใจให้ห้ามั่นหน้าให้ร้อยในทุกสถานการณ์ ว่าอะไรที่เราอยากได้เราจะต้องได้ ซึ่งหลายอย่างก็ได้อย่างใจหวัง แต่ทุกอย่างมันมีต้นทุนของมัน เลยต้องแลกกับสุขภาพเอย เพื่อนเอย ครอบครัวเอย
สรุปว่าเบื้องหลังคือพังพินาศมาก สติในวัยสามสิบจะบอกเราว่า มึง… ชีวิตคนเราน่ะ มันไม่สามารถมีครบทุกอย่างได้หรอก เราจะเริ่มเรียนรู้กับการยอมรับความผิดหวัง แล้วก็สปริงตัวเองเด้งขึ้นมาหน้าเชิดเพื่อใช้ชีวิตต่อได้อย่างรวดเร็วและสง่างาม ลองสังกตได้จากเพื่อนบางคนที่สมัยสาวๆ เลิกกับแฟนทีจะเป็นจะตาย โอดครวญสารพัด ซีนมิวสิควิดิโอแกรมมี่ยุคเก้าศูนย์คือมาครบ ทั้งร้องไห้ในอ่างอาบน้ำ ร้องไห้หน้าซบพวงมาลัยในรถ ร้องไห้ยันฟ้าสว่าง
ชั้นจะมีชีวิตอย่างไรเมื่อไม่มีเธอ ตัดภาพมาอีกที เพื่อนคนนั้นในวัยสามสิบกว่าเพิ่งอกหักกับแฟนที่คบกันมานาน แต่นางก็สามารถฟื้นร่างสปริงตัวเองขึ้นมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะนางรู้แล้วว่าชีวิตเรามันก็ต้องพังบ้าง คราวนี้พังก็ช่างหัวมัน และที่สำคัญเดดไลน์งานมันก็ยังอยู่ที่เดิมแม้เราจะอกหักก็ตาม
ครับ วัยสามสามสิบคือวัยแห่งสติที่สอนให้เรารู้ว่า เราไม่มีทางได้เกรด 4.00 ในทุกวันของการใช้ชีวิต เราจะเจอบทเรียนที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ที่บางบทเราไม่มีทางเลือกนอกจากเผชิญหน้าแล้วรับมือมันแบบพังๆไปก่อน เพราะเรายังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะแกร่งกล้าสามารถจนเข้าใจบทเรียนพวกนี้ได้
และเชื่อเถอะครับว่าเมื่อเราอายุสี่สิบแล้วหันกลับมามองชีวิต เราก็จะยังคงมีเรื่องโง่ๆอีกหลายเรื่องที่เรารู้สึกดีใจที่เลิกทำมันได้ซะที
ความเห็น 14
Lek
Good idea
03 เม.ย. 2562 เวลา 01.50 น.
🐰🎉Sun Shine🌞✨
🤗
03 เม.ย. 2562 เวลา 01.40 น.
Thanwarins
ชอบมากเลยค่ะ
26 มี.ค. 2562 เวลา 03.53 น.
เออ..จริงที่พุด ทัมมัยเราถึงมั่ยพุดกับเขาดีๆ หั้ยความสำคันต่อเขามากๆ กว่าเพื่อนที่เราอาจมีโอกาสเจอกันแค่ครั้งเดียว...ฟรายยยยเอ้ยยยย
22 มี.ค. 2562 เวลา 14.54 น.
จริงครับ เขียนได้ดีมาก
เยี่ยมมาก
10 มี.ค. 2562 เวลา 06.38 น.
ดูทั้งหมด