คอลัมน์ : นอกรอบ ผู้เขียน : เพ็ญพิชชา สกลวิทยานนท์ BNOMICS : ธนาคารกรุงเทพ
เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวรัฐบาลมักใช้ “มาตรการเงินโอน” (Cash Transfer Programs) เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชน กระตุ้นอุปสงค์ และในบางกรณีช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของมาตรการนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยรวม หากประชาชนเลือกออมเงินแทนการใช้จ่าย หรือใช้เงินเพื่อชำระหนี้แทนการบริโภค การกระตุ้นเศรษฐกิจอาจไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง
พัฒนาการของมาตรการเงินโอนในไทย ประเทศไทยมีการดำเนินมาตรการเงินโอนในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ตัวอย่างเช่น
– เช็คช่วยชาติ (2552) แจกเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
– เพิ่มรายได้แก่เกษตรกร (2557) โอนเงินให้เกษตรกรเพื่อพยุงเศรษฐกิจฐานราก
– กองทุนประชารัฐสวัสดิการ (2560-2566) เพิ่มเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
– เราไม่ทิ้งกัน (2563) แจกเงินเยียวยาโควิด-19 5,000 บาท/เดือน
– คนละครึ่ง (2563-2565) รัฐช่วยออกครึ่งหนึ่ง กระตุ้นการบริโภค
– เราชนะ (2564) แจกเงินให้ประชาชนใช้จ่ายผ่านแอปเป๋าตัง
– Digital Wallet (2567) แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
แม้มาตรการเหล่านี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ผลลัพธ์ระยะยาวยังขึ้นอยู่กับว่าเงินถูกนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหรือไม่
ช่องว่างระหว่างปริมาณเงินและ GDP : บ่งชี้ปัญหาทางเศรษฐกิจ
แม้ว่ามาตรการเงินโอนจะช่วยเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ (Money Supply) แต่หากพิจารณาสถิติพบว่าช่องว่างระหว่างปริมาณเงินและ GDP ของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงหลังปี 2562 สะท้อนว่าปริมาณเงินที่ถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบอาจไม่ได้ถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของมาตรการ ได้แก่ อัตราการหมุนเวียนของเงิน (Velocity of Money) ที่มีแนวโน้มลดลง
และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาการใช้จ่ายของภาครัฐมากกว่าการลงทุนของภาคเอกชน
Money Velocity : ดัชนีวัดความมีประสิทธิภาพของสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ
อัตราการหมุนเวียนของเงิน (Money Velocity) เป็นตัวชี้วัดว่ามีการใช้จ่ายเงินในระบบเศรษฐกิจเร็วเพียงใด โดยคำนวณจากตัวเลข GDP หารด้วย Money Supply
ถ้าค่า Velocity สูง = เงินถูกใช้จ่ายบ่อย เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ถ้าค่า Velocity ต่ำ = คนออมเงินมากกว่าจับจ่าย ใช้หนี้มากกว่าลงทุน
ทำไมการเพิ่มปริมาณเงินจึงไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่คาดหวัง
แม้ว่าปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่อัตราการหมุนเวียนของเงินในประเทศไทยกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2567 พบว่าค่า Money Velocity อยู่ที่เพียง 0.71 เท่า แสดงให้เห็นว่าเงินจำนวนมากถูกสะสมอยู่ในระบบ แทนที่จะถูกใช้จ่ายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สาเหตุสำคัญ ได้แก่
– ภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ทำให้เงินถูกนำไปชำระหนี้แทนการบริโภค
– เศรษฐกิจชะลอตัว และความไม่แน่นอน ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่าย
-รายได้แท้จริงเติบโตไม่ทันเงินเฟ้อ ทำให้คนมีเงิน แต่ใช้จ่ายน้อยลง
บทเรียนจากต่างประเทศ : แจกเงินช่วยเศรษฐกิจได้จริงหรือ
“สหรัฐอเมริกา” กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่เงินถูกออมมากขึ้นในรอบหลัง
สหรัฐแจกเงิน Stimulus Checks สามรอบในช่วงโควิด-19 คือ $1,200, $600 และ $1,400 ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วในรอบแรก แต่ในการแจกเงินรอบหลัง คนเริ่มออมเงินมากขึ้น ใช้จ่ายเพียง 20% ของเงินที่ได้รับ เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภาระหนี้
“ญี่ปุ่น” แจกแสนเยน แต่ประชาชนเลือกออมมากกว่า
ญี่ปุ่นแจกเงินสด 100,000 เยนต่อคน ในปี 2020 หวังเพิ่มการบริโภค แต่ผลสำรวจพบว่าประชาชนใช้จ่ายเพียง 10% ของเงินที่ได้รับ ที่เหลือถูกเก็บออม สะท้อนวัฒนธรรมการออมที่สูง ทำให้มาตรการไม่ได้ผลเต็มที่
“เยอรมนี” Kinderbonus (เงินช่วยเหลือเด็ก) ไม่เข้าสู่เศรษฐกิจมากนัก
รัฐบาลเยอรมันแจกเงิน 300 ยูโรต่อเด็กหนึ่งคน ในปี 2020 และในปี 2021 แจกเพิ่มอีก 150 ยูโร หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ธนาคารกลางเยอรมันพบว่าประชาชนส่วนใหญ่เลือกออมเงินมากกว่าการใช้จ่าย ทำให้ผลกระตุ้นเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาด
“เคนยา” เงินโอนให้คนยากจน สร้างผลคูณทางเศรษฐกิจสูงถึง 2.5 เท่า
ในปี 2014 เคนยาแจกเงินสด 1,000 ดอลลาร์ให้ครัวเรือนยากจน และพบว่าทุก ๆ 1 ดอลลาร์ที่แจกไป ก่อให้เกิดการใช้จ่ายและรายได้เพิ่มขึ้นถึง 2.5 ดอลลาร์ แสดงให้เห็นว่าการแจกเงินสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจได้ หากเงินไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่ขาดแคลนจริง ๆ
อัดฉีดเงิน # การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
การแจกเงินช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ แต่หากประชาชนเลือกออมมากกว่าจับจ่าย เงินที่อัดฉีดเข้าไปก็อาจไม่เกิดผลหมุนเวียนที่ต้องการ ทางออกที่ได้ผลกว่าคือ
– ลดภาระหนี้ครัวเรือน ลดแรงกดดันด้านการเงิน
– สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและนักลงทุน ส่งเสริมความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
– กระตุ้นการลงทุนในภาคเอกชน ให้เงินหมุนเวียนเข้าสู่การผลิต
– เงินไม่ใช่คำตอบเดียวของปัญหาเศรษฐกิจ
– การอัดฉีดเงินเข้าเศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมือระยะสั้น แต่ไม่สามารถทดแทนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจได้
– ถ้าผู้บริโภคและนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น เงินที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ถูกใช้จ่ายในระบบ แต่กลายเป็นเงินออมที่ไม่ถูกนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจ
– การกระตุ้นเศรษฐกิจที่แท้จริงต้องมาจากการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากกว่าการใช้จ่ายชั่วคราว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : นโยบายแจกเงินอัดฉีด ความหวังเศรษฐกิจที่อาจไม่เป็นไปตามคาด
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net