เปิดไทม์ไลน์ คดีลุงพล สู้กี่คดี-แพ้คดีอะไรบ้าง ก่อนศาลตัดสินคดีน้องชมพู่
เปิดไทม์ไลน์ คดีลุงพล สู้มาแล้วกี่คดี แพ้คดีอะไรบ้าง ก่อนศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีน้องชมพู่ ในวันที่ 31 ต.ค.นี้ หลังกลายเป็นข่าวดังเมื่อปี 2563
ตำนาน ลุงพล บ้านกกกอก เกิดขึ้น เมื่อมีคดี คดีน้องชมพู่ ข่าวดังปี 2563 ด.ญ.อรวรรณ (ขอสงวนนามสกุล) หรือ น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หายตัวออกไปจากบ้าน เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2563 ก่อนจะพบเป็นศพ ช่วงบ่ายของวันที่ 14 พ.ค. 2563 บริเวณภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านพักประมาณ 3 กิโลเมตร สภาพศพไม่สวมเสื้อผ้า
ซึ่งสร้างความความตกใจให้กับสังคมเป็นอย่างมาก มาพร้อมกับคำถามว่า เด็กอายุเพียง 3 ขวบ จะขึ้นไปทำไม ไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้หรือไม่ จนนำมาสู่การปักใจเชื่อว่า นี่คือ "คดีฆาตกรรม" ทิ้งศพเพื่ออำพรางคดี
หลังจากเกิดเหตุ ตำรวจเรียกผู้ต้องสงสัยและพยานแวดล้อมมาสอบปากคำทั้งหมด และตัดบุคคลที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ออกทีละคน จนมาถึง นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ลุงของน้องชมพู่ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งในคดีนี้ พิรุธหลายประเด็น ทั้งให้การไม่ตรงกัน สับสน วกวน ในหลาย ๆ เรื่อง การไม่ไปร่วมงานศพ และอีกมากมาย แต่ลุงพลก็ปฏิเสธเสียงแข็งมาตลอด ว่า "ไม่ได้เป็นคนฆ่าล้านเปอร์เซ็นต์" นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตไปยังพ่อแม่ของน้องชมพู่แทน
เมื่อไม่สามารถหาคนผิดในคดีนี้ได้ เรื่องราวนี้ก็ยิ่งเข้มข้นและกลายเป็นข่าวที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และลุงพลก็กลายเป็นบุคคลที่มีคดีความติดตัวกว่าหลายคดี
คดีที่ 1 คือ คดีทำร้ายร่างกาย โดยผู้สื่อข่าวช่องดังถูกลุงพลโผเข้าหา ก่อนทุบหลัง 2 ครั้ง พร้อมกับผลักไหล่ จากนั้นก็พยายามจะบีบคอ และกระชากหน้ากากอนามัยออก จนทำให้กลุ่มยูทูบเบอร์ที่ติดตามไลฟ์สดต้องมาดึงลุงพลออกไป หลังเกิดเหตุมีการแจ้งความดำเนินคดีกับลุงพลในข้อหาทำร้ายร่างกาย
ต่อมา ศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาว่า ลุงพล จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 309 วรรคแรก, 391 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ.มาตรา 90 จำคุก 2 เดือน ปรับ 10,000 บาท
จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 5,000 บาท พิเคราะห์ผลการชันสูตรบาดแผลผู้เสียหายแล้ว ไม่ปรากฏอันตรายร้ายแรง และจำเลยได้ลุแก่โทษโดยนำเงินค่าเสียหายมาวางศาล จึงให้โอกาสแก่จำเลยโดยรอการลงโทษจำคุก มีกำหนด 1 ปี
คดีที่ 2 คือ คดีตัดไม้ สร้างวังพญานาค เจ้าหน้าที่ป่าไม้มุกดาหาร เข้าแจ้งข้อกล่าวหาลุงพล พร้อมยูทูบเบอร์ 2 คน ในข้อหาตัดไม้ในเขตป่าสงวนดงภูพาน โดยมีหลักฐานเป็นคลิปยูทูบเบอร์กำลังตัดต้นกระถินป่า 4 ต้น ตรงจุดสร้างพญานาค และปรับพื้นที่ หลังจากมีคลิปการตัดไม้ของลุงพล พร้อมกับมียูทูบเบอร์เป็นคนช่วยตัดช่วยลากต้นไม้ถูกเผยแพร่ออกมา
คดีที่ 3 คือ คดีครอบครองไม้หวงห้าม โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัดมุกดาหาร ได้เข้าตรวจสอบท่อนไม้ที่ระบุว่าเป็น "ตะเคียนทอง" ตั้งเป็นศาลเจ้าแม่โสรภี ข้างบ้านของลุงพล ต่อมาผลตรวจสอบพบว่าเป็น "มะค่าแต้" ไม่ใช่ ตะเคียนทอง ซึ่ง มะค่าแต้ เป็นไม้หวงห้าม หากครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ตามมาตรา 69 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท
ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร เป็นโจทก์สั่งฟ้อง ลุงพล ฐานความผิด ทำไม้หวงห้ามในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต, รับไว้ซ่อนเร้น จำหน่าย หรือช่วยพาเอาไปเสียให้พ้น ซึ่งไม้หรือของป่าที่ตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้หรือของป่าที่มีผู้ได้
และ ศาลชั้นต้นพิพากษาลุงพล คดีครอบครองไม้หวงห้าม โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 4 เดือน ปรับเงิน 6,666 บาท ริบไม้ของกลาง โทษจำคุกรอลงอาญา 1 ปี
คดีที่ 4 คดีน้องชมพู่ โดยมีรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ของสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน จ.มุกดาหาร ได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง สำคัญสุดคือ เส้นผมของน้องชมพู่ที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของนายไชย์พล และเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ
ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติออกหมายจับ 3 ข้อหาหนัก คือ 1.พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร 2.ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และ 3.กระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ลุงพล ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีน้องชมพู่ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.66 ฝ่ายโจทก์ และฝ่ายจำเลยในคดี เดินทางมาที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร เพื่อนัดสืบพยานวันสุดท้าย หลังเริ่มสืบพยานมาตั้งแต่ 30 มิ.ย.65 ซึ่งกระบวนการของศาลได้มีการนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 31 ต.ค.2566 เวลา 10.00 น.