ข้อมูลเบื้องต้น
King of Gods ราชันเทพเจ้า
เขานั้นดื้อดึงและไม่ยินยอมที่จะเป็นเพียงคนธรรมดา
ทว่าเส้นทางของเขากลับถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้น ถือกำเนิดขึ้นในตระกูลสาขาเล็กจ้อย
ทว่าวันหนึ่ง ดวงตาซ้ายของเขาก็ได้หลอมรวมเข้ากับดวงตาของเทพบรรพกาล
นับแต่นั้น เขาก็ได้แปรเปลี่ยนจากมัจฉาเป็นมังกร
เขารุ่งโรจน์ราวดารา เหยียบย่างในเส้นทางของผู้ฝึกตนอันเป็นตำนาน
จากมดปลวกเล็กจ้อย ณ จุดต่ำสุดของโลก
เติบโตขึ้นทีละก้าวไปยังสำนักมากอำนาจ สำนักโบราณอันแข็งแกร่ง เผชิญอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วน
นี่คือยุคแห่งตำนาน!!!
*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้บริษัท Ink Stone Entertainment ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ : China Literature
เรื่อง : King of Gods ราชันเทพเจ้า
ผู้เขียน : ไคว่ชานเตี้ยน
ผู้แปล : Netear.ST, 周姿玲 [Zhou Zi Ling], หยินเอ๋อ
---
[主宰之王] / [快餐店]
©2017 Ink Stone Entertainment Co., Ltd. All rights reserved.
Thai translation rights arranged with China Literature by Ink Stone Entertainment Co., Ltd.
บทที่ 1: เด็กหนุ่มจ้าวเฟิง
ในยามเช้ามืด ขอบฟ้าเพิ่งเผยแสงสว่างสลัวราง ทั่วทั้งเมืองประกายอรุณยังคงอยู่ภายใต้ความมืดก่อนอรุณรุ่ง…
ณ เมืองประกายอรุณ ตระกูลจ้าว
“พรึ่บ!”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งขยับตัวตามสัญชาติญาณ โยนผ้าห่มอุ่นสบายออกไป กระเด้งตัวออกจากเตียงแล้วสวมใส่เสื้อผ้าล้างหน้า ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น
ในเวลาที่ศิษย์ของตระกูลส่วนใหญ่หรือกระทั่งข้ารับใช้บางคนยังคงหลับใหล…
เด็กหนุ่มผู้นี้อายุเพียง 13-14 ขวบปี ร่างกายผอมเพรียวและมีใบหน้าเยาว์วัย แม้จะไม่หล่อเหลาเป็นพิเศษแต่ก็ดูดีมากโดยเฉพาะดวงตาใสกระจ่างเป็นประกายและมุ่งมั่นคู่นั้นของเขา “อีกเพียงนิดข้าก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตน ทำให้เจ้าพวกศิษย์ตระกูลจ้าวผู้อื่นหุบปากได้”
เด็กหนุ่มผู้นี้นามว่า จ้าวเฟิง ครึ่งปีก่อนเขามาจากตระกูลจ้าวสาขารองแห่งตำบลใบไม้เขียวเข้าสู่ตระกูลจ้าวแห่งเมืองประกายอรุณอันเป็นตระกูลหลักด้วยความสามารถที่โดดเด่น
ณ ตระกูลสาขาที่ตำบลใบไม้เขียวนั้น เขาเป็นคนโดดเด่นในหมู่เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกัน เป็นผู้แรกที่เข้าสู่ ‘ขั้นหนึ่งของผู้ฝึกตน’ นับแต่นั้นเขาก็ออกจากขอบเขตของคนธรรมดา ก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกฝน
ในตอนนั้น เหล่าผู้อาวุโสในตำบลต่างชื่นชมว่าเขามีพรสวรรค์ความสำเร็จในวันหน้าไม่อาจคาดเดาได้
ตระกูลของเขา บิดามารดาล้วนคาดหวังในตัวเขาไว้อย่างมาก
ทว่ามีเพียงตัวจ้าวเฟิงเท่านั้นที่รู้ว่าความพยายามมากเท่าใดที่เขาใช้เมื่อเทียบกับผู้อื่น ที่ทำให้เขาสามารถกลายเป็นอัจฉริยะแห่งหมู่บ้านใบไม้เขียวได้
ตระกูลจ้าวตำบลใบไม้เขียวเป็นหนึ่งในตระกูลสาขาของตระกูลหลักจ้าว ทุกๆ 5 ปีมีสองคนที่จะถูกแนะนำเข้าตระกูลหลัก
ผู้ที่มาพร้อมกับจ้าวเฟิงคือ จ้าวเสวี่ย เด็กสาวที่ก้าวเข้าสู่การฝึกฝนปราณขั้นแรกหลังจากเขาเพียงสองเดือน
หลังจากที่ออกจากหมู่บ้านใบไม้เขียว เด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ต้องการที่จะไปยังตระกูลหลักและแสดงความสามารถของเขา
ทว่าเพียงแค่เขาก้าวเข้ามาภายในพรรค เขาก็ตระหนักได้ว่า เขาเป็นเพียงกบที่อยู่ในก้นบ่อน้ำเท่านั้น…
ในด้านของประชากรนั้น ตระกูลสาขาที่หมู่บ้านใบไม้เขียวมีคนเพียง100คน และผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกับเขามีเพียง 7-8 คน
แต่ในพรรคตระกูลหลักจ้าวนั้นกลับมีคนนับหมื่น พวกเขาครอบครองที่ดิน เหมือง และทรัพยากรจำนวนมาก เมื่อเทียบกับตระกูลที่หมู่บ้านใบไม้เขียวแล้ว ตระกูลหลักนั้นใหญ่กว่านับ 100 เท่า!
เมื่ออยู่ในตระกูลสาขา เขาคือผู้มีพรสวรรค์ บางคนถึงขั้นยกยอเขาว่าเป็นอัจฉริยะ ทว่าเมื่อมายังพรรคตระกูลหลัก เขาก็เป็นได้แค่เพียงผู้ฝึกตนขั้นต่ำสุดในรุ่นเดียวกัน เป็นเพียงศิษย์สายนอกที่แสนต่ำต้อย
ภายในพรรคตระกูลจ้าวนั้น ศิษย์ในตระกูลรุ่นเดียวกับเขาจำนวนมากได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่2ของผู้ฝึกตนแล้ว พวกที่มีพรสวรรค์บางคนถึงขั้นสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่3ได้ และตามข่าวลือนั้น อัจฉริยะของตระกูลบางคนได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่4แล้ว…
เมื่อถูกความจริงถาโถมเข้าใส่ จ้าวเฟิงจึงได้สำนึกขึ้นว่าเขาไม่อาจนับเป็นอันใดได้เมื่อเทียบกับพวกนั้น เขาช่างดึงดันไร้เดียงสาและเป็นเพียงสิ่งกระจ้อยร่อย
กระทั่งจ้าวเสวี่ย เด็กสาวผู้งดงามที่มาพร้อมกับเขาจากหมู่บ้านใบไม้เขียวก็เริ่มสร้างระยะห่างจากเขาหลังจากเข้ามายังพรรค นางยิ่งทำตัวติดกับศิษย์หนึ่งในสามอันดับแรกของศิษย์สายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อจ้าวเสวี่ยยังคงอยู่ที่หมู่บ้านใบไม้เขียว เด็กสาวมองเขาด้วยความเกรงกลัวและกระทั่งชื่นชมเขา ทว่าในเวลานั้นจ้าวเฟิงยังคงตั้งมั่นในการฝึกฝนและไม่สนใจนาง
นับแต่นั้นเขาจึงยิ่งทุ่มเทให้กับการฝึกฝนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความรู้สึกสิ้นหวัง
เขาสาบานไว้ว่าเขาต้องเป็นอันดับหนึ่งในพรรคตระกูลจ้าวแห่งเมืองประกายอรุณ หรือมิเช่นนั้นเขาต้องกลับไปยังหมู่บ้านใบไม้เขียว!
หลังจากที่ล้างหน้าเสร็จ จ้าวเฟิงก็สูดหายใจลึกก่อนวิ่งไปยังลานฝึกฝนของตระกูล
“ฮ่าห์! ฮ่าห์!”
เด็กหนุ่มก้าวไปครึ่งก้าวพร้อมกับกำปั้นคู่ที่โอบอุ้มสายลมเอาไว้ และเริ่มฝึกฝน ‘หมัดเหล็กเพลิง’ แห่งตระกูลจ้าว
‘หมัดเหล็กเพลิง’ นั้นเป็นเพียงวิชาพื้นฐาน แต่จ้าวเฟิงได้ฝึกฝนมันอย่างตั้งใจและขัดเกลามันออกมาอย่างงดงาม
โดยปกติแล้ว วิชาสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ พื้นฐาน ต่ำ กลาง สูง และเชี่ยวชาญ
วิชาพื้นฐานและวิชาระดับต่ำถูกใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและโลหิตของผู้ฝึก พลังโจมตีจากวิชาเหล่านี้มีจำกัดนัก
ตามปกติแล้วยิ่งระดับขั้นของวิชาสูงมากขึ้นเท่าใด พลังโจมตีของมันก็จะมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งส่งผลดีในการฝึกฝนยิ่งขึ้น
ทว่าด้วยฐานะตระกูลสาขาของจ้าวเฟิง รวมกับพรสวรรค์ที่ไม่ได้มากมายอันใด มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในการได้เรียนรู้วิชาระดับสูงกว่านี้
“ข้าได้ติดอยู่ที่ขั้นหนึ่งแห่งผู้ฝึกตนมาเป็นเวลานาน ทว่าเพื่อที่จะทะลวงไปยังขั้นที่สองเวลานั้นนับว่ายังไม่เพียงพอ”
หลังจากที่ฝึกฝนอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจหอบถี่
พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงนั้นไม่อาจนับได้ว่าแย่ แต่สาเหตุที่ทำให้เขาไม่อาจตามผู้อื่นทันได้นั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีวิชาระดับสูง รวมทั้งเขายังไม่ได้ร่ำรวยเช่นศิษย์ตระกูลหลักที่จะสามารถซื้อยาราคาแพงเพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนได้
บางคนกล่าวว่าศิษย์จำนวนหนึ่งของตระกูลจ้าวได้ใช้ยาล้ำค่าเหล่านี้ตั้งแต่เกิดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ก่อนที่จะอายุ10ขวบ พวกเขาก็สามารถเข้าสู่ขั้น1ของผู้ฝึกตนได้แล้ว นับว่าได้เปรียบผู้อื่นนัก และที่จุดเริ่มต้นนั้นจ้าวเฟิงก็ได้ถูกกีดกันออกไปไกลจากพวกเขา
ครึ่งชั่วยามถัดมา ดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นบนฟากฟ้าอย่างเชื่องช้า
ในลานฝึกฝนนั้น ศิษย์ตระกูลจ้าวค่อยๆ ทยอยมาทีล่ะคนสองคน บ้างพูดคุยหัวเราะกับผู้อื่น บ้างก็เล่นกันเอง
ทว่าเมื่อสายตาของพวกเขาปะทะเขากับร่างของเด็กหนุ่ม ดวงตาของพวกเขาก็เย็นชาขึ้น บางคนถึงขั้นเผยสีหน้ารังเกียจออกมา
อาการเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเพียงแค่จ้าวเฟิง ศิษย์ตระกูลจ้าวทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ดูถูกทุกคนที่มาจากตระกูลสาขา เบื้องหน้าเหล่าตระกูลสาขานั้น พวกเขารับรู้ได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่!
ขณะที่จ้าวเฟิงจมอยู่ในความคิดของตน เสียงหวีดหวิวของสายลมก็ดังขึ้นจากเบื้องหลังของเขา
“เจ้าด้ามไม้กวาด! หยุดอยู่ตรงนั้น!”
“ป้าบ!”
ฝ่ามือที่แข็งราวกับเหล็กตบลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง
“เป็นเจ้า…” เด็กหนุ่มเกือบจะสูญเสียสมดุลและล้มลง โชคดีที่เขายังมีความสามารถจึงสามารถทรงตัวได้อยู่
ผู้ที่เป็นเจ้าของการกระทำนั้นคือเด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดสีดำสนิท เรือนร่างของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามและคิ้วดกหนา นัยน์ตาเจือความสนุกสนานมองเหยียดร่างที่กำลังพยายามทรงตัวเบื้องหน้า
“จ้าวคุน! นี่หมายความว่าอย่างไร?” ใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง รู้สึกอยากจะต่อยอีกฝ่าย
คราแรกที่เด็กหนุ่มมายังตระกูลหลักจ้าว ทั้งสองได้เกิดขัดแย้งกันขึ้นเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะว่าจ้าวคุนได้เอ่ยดูถูกผู้ที่มาจากตระกูลสาขาและจ้าวเฟิงรู้สึกไม่พอใจเขาอย่างมาก
จ้าวคุนเป็นผู้ที่จะเอาคืนผู้อื่นในทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้ และนับแต่นั้น เมื่อใดที่เขาเห็นจ้าวเฟิง เขาก็จะฉีกหน้าอีกฝ่ายทุกที่ที่พบ
“จ้าวคุน! ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า หากเจ้าไม่สามารถล้มเจ้าศิษย์ตระกูลสาขานี่ได้ภายใน10กระบวนท่า นั่นนับว่าย่ำแย่แล้ว!”
“10กระบวนท่า? จ้าวคุนตอนนี้ได้อยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นสองของผู้ฝึกตนแล้ว ถ้าจะสู้กับเจ้าลูกเต่านี่ ข้าว่าเพียง3กระบวนท่าก็เพียงพอ!”
“3กระบวนท่า? ฮ่าฮ่าฮ่า” จ้าวคุนแหงนหน้าหัวเราะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“พวกเจ้าดูถูกข้า จ้าวคุน แล้ว! แค่เอาชนะเจ้าลูกเต่านี่ ข้าลำบากเพียง1กระบวนท่าเท่านั้น!”
หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น!
เหล่าศิษย์ที่ได้ยินปรากฏความตื่นตะลึงขึ้นบนใบหน้า
“1กระบวนท่า?”
คิ้วของจ้าวเฟิงขมวดเข้าหากันพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป ความโกรธเคืองในใจพุ่งขึ้นอีกครั้ง
เขาและจ้าวคุนห่างกันเพียงหนึ่งขั้นของผู้ฝึกตน หากจ้าวคุนเอาจริง ใน3กระบวนท่าอาจเป็นไปได้
ทว่า แค่หนึ่งกระบวนท่า…
นี่นับว่าเป็นการฉีกหน้ายิ่งนัก!
เด็กหนุ่มมองตรงไปยังดวงตายั่วยุของอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มเยือกเย็นลงและคิดว่า
“ข้าไม่อาจตกลงไปในกับดักนี้ได้ แม้ว่าข้าจะรอดผ่านหนึ่งกระบวนท่านั่น เขาก็จะยังคงฉีกหน้าข้าหลังจากนั้นอยู่ดี”
นับแต่เข้ามาอยู่ในตระกูลหลักได้ครึ่งปี จ้าวเฟิงได้พ่ายแพ้อยู่สองสามครั้งและเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน
“วันนี้ข้าค่อนข้างเหนื่อยจากการฝึกฝน ให้ข้าได้พักผ่อนสัก2-3วัน จากนั้นข้าจะสู้กับเจ้า”
เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนจากไปโดยไร้ซึ่งคำพูดอื่นใด
ท่าทางของเขาทำให้จ้าวคุนซึ่งอายุเท่ากันชะงักไป
“ได้ เจ้าลูกเต่า ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อนในวันนี้ แต่ครั้งหน้าที่เจอ อย่าได้ลืมถึง ‘การประลองหนึ่งกระบวนท่า’ แล้วกัน” ดวงตาของจ้าวคุนฉายความเย็นชาและเจ้าเล่ห์ออกมา
การประลองหนึ่งกระบวนท่า?
หัวใจของจ้าวเฟิงเต้นเร็วขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มคิดในใจ
“ดูเหมือนจ้าวคุนจะไม่คิดปล่อยข้าไปจริงๆ”
“ข้าจะทะลวงสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตนในเร็วๆ นี้ มีเพียงแค่ทางนี้ที่ข้าจะสู้กับจ้าวคุนได้” หัวใจของเด็กหนุ่มบีบรัดอยู่ในอก
หลังจากกลับจากลานฝึกฝน เด็กหนุ่มก็กลับไปยังบ้านของเขา
ตั้งแต่ที่จ้าวเฟิงสามารถเข้ามายังพรรคตระกูลหลักได้ บิดามารดาของเขาก็ได้รับ ‘ชื่อเสียง’ จากเขาเล็กน้อยและสามารถเข้ามายังพรรคจ้าวได้
นี่ควรนับว่าเป็นเกียรติของบิดามาดาเขาแล้ว
ทว่าจ้าวเฟิงนั้นกลับรู้สึกละอายเพราะความสามารถของเขาในพรรคจ้าวนั้นอาจสร้างความผิดหวังให้บิดามารดาของเขา และเขาอาจสร้างความผิดหวังให้กับเหล่าผู้อาวุโสที่หมู่บ้านซึ่งคาดหวังกับเขาไว้มากเช่นกัน
“ข้ากลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มท่าทางเยือกเย็นและลุ่มลึกเดินออกมา เขาคือบิดาของจ้าวเฟิง จ้าวเทียนหยาง
“เฟิงเอ๋อร์ มากินข้าวเร็ว!” นี่คือมารดาของเขา จ้าวชี่ ผู้ซึ่งบนใบหน้าเต็มไปด้วยความใส่ใจขณะที่นางนำสำรับออกมาจากครัว
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มกลับมายังบ้าน เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความรักในที่แห่งนี้
“ขอบคุณขอรับ ท่านแม่… อร่อยมาก!”จ้าวเฟิงเอ่ยขณะที่ในปากเต็มไปด้วยอาหาร
ในขณะที่เขากำลังกินอยู่นั้น จ้าวเทียนหยางและจ้าวชี่มิได้เอ่ยคำอันใด ราวกับมีบางอย่างอยู่ในใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เป็นอันใด…”เด็กหนุ่มมองใบหน้าเคร่งเครียดของทั้งคู่ที่ราวกับมีบางอย่างอยากจะพูด จ้าวเทียนหยางและจ้าวชี่มองหน้ากันก่อนที่จะถอนหายใจยาว
“ให้ข้าพูดเถอะ ไม่นานมานี้ พวกระดับสูงของพรรคได้ส่งคนให้นำจดหมายมา” จ้าวเทียนหยางหยุดไปชั่วครู่
“พวกระดับสูงของพรรค?” จ้าวเฟิงไม่เข้าใจ
ใบหน้าของจ้าวเทียนหยางเคร่งขรึมขึ้นก่อนที่จะเอ่ยว่า
“บัดนี้พรรคได้มีกฎเกณฑ์ใหม่ หากบุตรหลานตระกูลสาขาไม่อาจทะลวงสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตนได้ จะไม่มีสิทธิเข้าร่วมใน ‘การประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูล’ หาก… ก่อนอายุครบ15ขวบปีไม่อาจทะลวงสู่ขั้น3ได้ ก็จะถูกส่งกลับไปยังตระกูลสาขา”
อันใดกัน!
หัวใจของเด็กหนุ่มหยุดเต้นไปชั่วครู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
การประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูล นั้นเป็นสถานที่ซึ่งเหล่าผู้เยาว์จะได้แสดงความสามารถของตน และผู้ที่ชนะจะได้รับรางวัลจำนวนมาก รวมทั้งมีโอกาสที่จะได้เป็นศิษย์สายในที่จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูล
ดังนั้นแล้ว การประลองแลกเปลี่ยนความรู้ประจำตระกูลนั้นจึงเป็นโอกาสในการเปลี่ยนเป็นมังกรจากปลาของศิษย์สายนอก
หากพวกเขาเสียโอกาสในการเข้าร่วม นั่นย่อมหมายถึงการถูกพรรคทอดทิ้งแล้ว!
และกฎที่ทำให้หัวใจของจ้าวเฟิงหนาวยะเยือกคือข้อสุดท้าย ก่อนหน้าที่จะอายุ15 ผู้ที่ไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขั้น3แห่งผู้ฝึกตนได้จะถูกส่งกลับไปยังตระกูลสาขา
“ไม่ ไม่ มันเป็นไปไม่ได้…” เสียงของเด็กหนุ่มเบาหวิว มือทั้งสองข้างกำแน่น
เขาและบิดามารดานั้นไม่มีหน้ากลับไปหากถูกส่งกลับ
“กฎนี้ถูกใช้กับศิษย์ตระกูลสาขาเท่านั้น” มารดาของเขา จ้าวชี่ มีสีหน้าไม่พึงพอใจ
“แม่ พ่อ มันไม่เป็นไร ข้าจะฝึกให้หนักยิ่งขึ้นและทะลวงเข้าสู่ขั้นสองแห่งผู้ฝึกตนก่อนที่จะถึงการประลอง” จ้าวเฟิงขบฟันก่อนเอ่ยด้วยร่างกายสั่นเทา
“มีเวลาเหลือเพียงสองเดือน และการสมัครนั้นต้องสมัครก่อนหนึ่งเดือน การทะลวงเข้าสู่ขั้นสองภายในหนึ่งเดือนนั้นไม่นับว่าง่าย”
จ้าวเทียนหยางส่ายศีรษะ
เพียงแค่หนึ่งเดือน?
ดวงตาของจ้าวเฟิงดำมืดลงราวกับตกลงไปในความมืดมิด
หากมีเวลาเหลือ1-2เดือน และเขาพยายามมากขึ้นเป็นเท่าตัว มันยังมีโอกาส20-30%ที่จะสำเร็จ ทว่าสำหรับการทะลวงขั้นภายในหนึ่งเดือนนั้น เขาไร้ซึ่งความมั่นใจโดยสิ้นเชิง!
หลังจากนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน จ้าวชี่ก็ปาดมือที่หางตาก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“เฟิงเอ๋อร์ มันไม่สำคัญหากเจ้าพลาด… เจ้าทำให้พวกเราภูมิใจแล้ว… อย่างมากก็เพียงแค่กลับไปยังหมู่บ้านและใช้ชีวิตธรรมดา”
“ใช่! หากเรากลับไปยังหมู่บ้าน เจ้าก็ยังคงเป็นอันดับ1 ข้าย่อมให้เจ้าเป็นศีรษะของไก่มากกว่าหางของฟีนิกซ์!”
จ้าวเทียนหยางพยักศีรษะอย่างเห็นด้วย
ในฐานะของบิดามารดาแล้ว พวกเขาย่อมอยากให้บุตรปลอดภัย แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะธรรมดาก็ตาม…
กลับไปยังหมู่บ้านใบไม้เขียว?
“ไม่!”
จ้าวเฟิงสั่นศีรษะอย่างฉุนเฉียว
“ข้าจะไม่กลับไปยังหมู่บ้านและมีชีวิตธรรมดา!”
เขาได้สาบานไว้แล้ว และเพื่อทำมันให้เป็นจริง เขาต้องอยู่ในพรรคจ้าวและในเมืองประกายอรุณ มีที่ดินเป็นของตนเอง
หัวใจของเขาเรียกร้องที่จะเข้าสู่ขั้น9ของผู้ฝึกตน และกรีดร้องถึงดินแดนด้านนอก…
ข้าจะพ่ายแพ้และกลับไปเช่นนี้ได้อย่างไร?
จ้าวเฟิงอดกลั้นจากความรู้สึกอยากร้องไห้กรีดร้อง และทำเพียงวิ่งออกไปบ้านไป
“เฟิงเอ๋อร์ อย่าได้ดื้อดึง!…” เสียงของบิดามารดาตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่ม
“เปรี้ยง!”
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็กรีดเสียงร้องพร้อมด้วยประกายสว่างวาบ หยาดน้ำเริ่มเทลงมาจากเบื้องบน จ้าวเฟิงเก็บกักความสิ้นหวังในจิตใจ กรีดร้องกลับไปยังท้องฟ้าและวิ่งฝ่าสายฝน บัดนั้นที่สายฟ้าได้ฟาดลงไปบนพื้นดิน ทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มสว่างวาบ
“ไม่ดีแล้ว!”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความกดดันที่มุ่งตรงมายังเขา จ้าวเฟิงจึงเงยหน้าก่อนจะนิ่งค้างไปกับสิ่งที่เห็น
ตั้งแต่เกิด เขาไม่เคยเห็นสายฟ้าที่ควบรวมกันราวกับใยแมงมุมเช่นนี้
ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ สายฟ้าเบื้องบนก็ราวกับถูกควบคุมด้วยพลังงานบางอย่างที่ราวกับจะฉีกกระชากมิติออก
“ฟิ้ววววว!”
ริ้วแสงสีดำพุ่งตรงมาจากอวกาศ ผ่านสายฟ้าสร้างรอยฉีกที่งดงามราวกับภาพฝัน
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาว่า ‘ริ้วแสงสีดำ’ นั้นคือสิ่งใด มันทำได้กระทั่งต่อต้านพลังของสายฟ้า
“เปรี้ยง! เปรี้ยง!”
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าปลายเท้าของเขาชาหนึบ ผมและเสื้อผ้ากลายเป็นสีดำ รวมทั้งเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นในหูของเขาไม่หยุด
บัดนั้นเองที่ทั้งโลกเงียบลง
“นี่มัน…”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มขาวซีด มองลงไปยังปลายเท้าปรากฏลูกแก้วหน้าตาแปลกประหลาดราวกับดวงตาสีดำสนิท มันคือสิ่งที่ทำให้เกิดริ้วแสงสีดำนั่น
“พรึ่บ! พรึ่บ!”
ลูกแก้วที่คล้ายดวงตานั้นราวกับมีชีวิต มันส่งเสียงราวกับกำลังจ้องมองลงไปยังดวงตาของจ้าวเฟิง
ทว่าเสียงของลูกตานั้นราวกับเป็นเชื่อมต่อกับหัวใจของเขา ให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
ในตอนนั้นเองที่เขารู้สึกราวกับว่าเขาเรียกมันมา
“เจ้านี่มีชีวิตเช่นนั้นหรือ?”เด็กหนุ่มสูดลมหายใจ เตรียมพร้อมรับมือกับอันตราย ทว่าก่อนที่เขาจะได้ทันขยับตัวนั้น
“ฟุบ!”
ลูกแก้วคล้ายลูกตานั้นก็กลายเป็นเพียงภาพเงาเรือนลางเมื่อมันพุ่งเข้าสู่ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่ม
“อ๊ากกกกกกกกก!” จ้าวเฟิงกรีดร้องออกมาก่อนจะสิ้นสติไป
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไปนั้น เขามีเพียงความคิดเดียวในศีรษะ
“ข้าต้องฝันไปแน่ๆ… ตาของข้าต้องบอดแน่ๆ!”
บทที่ 2: การประลองหนึ่งกระบวนท่า
นานเท่าใดมิมีผู้ใดรู้ ในที่สุดจ้าวเฟิงได้คืนสติกลับมาอีกครั้ง ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่อาจรู้สึกได้ถึงร่างกายของเขา สิ่งเดียวที่เขารับรู้คือความเจ็บปวดจากดวงตาข้างซ้าย
ตาข้างซ้าย?
จ้าวเฟิงหนาวเยือก สำนึกขึ้นได้ว่าสิ่งใดได้เกิดขึ้น ก่อนที่เขาจะสลบไปลูกแก้วแปลกๆ หน้าตาเหมือนลูกนัยน์ตานั้นได้พุ่งเข้าใส่ดวงตาซ้ายของเขา
หากไม่มีอันใดเหนือความคาดหมาย ดวงตาซ้ายของข้าย่อมบอดและเทียบได้กับเจ้านักรบบ้าเลือดน่าเกลียด ‘มังกรตาเดียว’ นั่นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงที่ราวกับเสียงหัวใจเต้น ให้ความรู้สึกคุ้นเคยและเป็นมิตรสะท้อนออกมาจากตาซ้ายซึ่งถูกทำลายของเขา
วูบบบ!
ในขณะที่เขากำลังคิดถึงดวงตาซ้ายของเขาอยู่นั้น สติของเขาก็หลอมรวมเขากับมัน
ตูม!
สมองของเขาสั่นสะท้านและเด็กหนุ่มก็ได้เข้าไปยังมิติสีดำมืด
“ที่นี่คือ…”
จ้าวเฟิงหวาดกลัวในสิ่งที่เขาไม่รู้จักและการเห็นสิ่งแปลกๆ ที่อยู่นอกเหนือจากความรู้ของเขาโดยสิ้นเชิง
ความสนใจของเขาถูกดึงดูดโดยแสงสีเขียวซีดที่สว่างขึ้นจากใจกลางของมิติสีดำนี้
แสงสีเขียวซีดนั้นดูลึกลับและไร้จุดสิ้นสุด มันหมุนช้าๆ ราวกับข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนานจากอดีตมาจนกระทั่งบัดนี้ ให้ความรู้สึกมีชีวิตและเป็นนิรันด์
ความสนใจของเด็กหนุ่มถูกดึงดูดโดยมันไปจนหมดสิ้น เขาถูกดึงดูดจนกระทั่งไม่อาจออกจากห้วงภวังค์ แม้ว่าฟ้าจะถล่มหรือโลกจะทลายก็ตามที
“อดีตได้พังทลาย และเทพบรรพกาลที่ถูกทำลายจนกระทั่งกลายเป็นเศษฝุ่น…”
เสียงถอนหายใจที่มาพร้อมกับเสียงนั้นทั้งเก่าแก่และเศร้าสร้อย มันดังก้องไปทั่วทั้งสถานที่สีมืด ราวกับถูกส่งผ่านห้วงเวลาอันยาวนาน
“นั่นใคร?!”
ใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน ทั่วทั้งร่างเย็นเยียบ เขาได้สำรวจที่นี้แล้วและไม่พบใครเลยแม้สักคน
เสียงนั่นราวกับดังมาจากความว่างเปล่า
“ยังมีดวงวิญญาณที่สามารถเชื่อมต่อกับข้าได้อย่างสมบูรณ์ในจักรวาลนี้? นี่คือโชคชะตาเช่นนั้นหรือ?”
เสียงลึกลับกล่าวกับตนเอง
“ผู้ใดแอบซ่อนอยู่ที่นี่!”
เด็กหนุ่มเอาชนะความกลัวของตนก่อนจะตะโกนออกมา
“เพื่อสืบทอดสายเลือดของดวงตาแห่งข้า เจ้าจะควบคุมทุกคน กำหนดทุกสิ่ง เจ้าเด็กน้อยผู้โชคดีเอ๋ย อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวัง…”
ทันใดนั้นทั่วทั้งมิติสีหมึกก็เต็มไปด้วยกลิ่นไอเก่าแก่ ก่อนที่มันจะจางหายไป
ทุกอย่างกลับไปเงียบสงบเช่นเดิม
ฮ่าห์!
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดสิ่งใดไปมากกว่านั้น ความรู้สึกเจ็บปวดก็พุ่งออกมาจากตาซ้ายของเขา
ภายในห้อง
แสงอาทิตย์แผดเผาได้ลอดผ่านหน้าต่างเข้าไป
“อ๊ากกกก ตาข้า”
จ้าวเฟิงกรีดร้องพร้อมกับกำดวงตาซ้ายที่บัดนี้ถูกกลืนกินด้วยสีแดงและความเจ็บปวด ในเวลานั้นเองที่เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาสู่ความเป็นจริง
นี่คือห้องของเขา
เด็กหนุ่มนอนเหยียดอยู่บนที่นอน ร่างของเขายังคงเกรียมจากการถูกฟ้าผ่า ในตอนนี้ความเจ็บปวดจากตาซ้ายทำให้เขาเหงื่อโชกและดิ้นพล่านไปทั่วห้อง ยังดีที่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดนั้นก็เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไป
“ตาข้า…” ใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความกังวล เด็กหนุ่มค่อยๆ ปล่อยมือออกจากเบ้าตาซ้ายของเขา
เขามั่นใจว่าตาซ้ายของเขายังคงมองเห็นอยู่
แม้ว่าเมื่อดวงตาซ้ายของเขามองผ่านแสงอาทิตย์ แสงนั้นก็ได้แผดเผาดวงตาของเขาจนต้องหรี่ตา แต่จ้าวเฟิงก็ยังคงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในที่สุดดวงตาซ้ายของเขาก็ปรับตัวกับแสงได้และสามารถมองเห็นได้ในที่สุด
ในช่วงเวลานั้น โลกทั้งใบก็ราวกับมีสีสันนับหมื่น
สิ่งที่ดวงตาซ้ายของเขามองเห็นนั้นช่างชัดเจนและงดงามยิ่งนัก เด็กหนุ่มมองเห็นแม้กระทั่งเศษฝุ่นในอากาศซึ่งโดยปกติแล้วไม่มีทางมองเห็นได้ เขามองเห็นแม้กระทั่งมดใต้ต้นไม้ใน100เมตรข้างหน้า และเส้นใบของใบไม้นอกหน้าต่าง
“เกิดอันใดขึ้น? ตาซ้ายของข้าสามารถ…”
เด็กหนุ่มครุ่นคิดถึงตาซ้ายของเขาหลังจากหายตกตะลึง ก่อนใบหน้าของเขาจะปรากฏความยินดีประการหนึ่ง
เขามั่นใจว่านัยน์ตาซ้ายของเขานั้นได้เปลี่ยนไปแปลงไปเมื่อเทียบกับดวงตาธรรมดาอย่างน้อย10เท่า หรือกระทั่งมากกว่านั้น
จ้าวเฟิงหยิบกระจกและเพ่งมองมันใกล้ๆ ดวงตาซ้ายของเขานั้นมีขนาดเท่าเดิม สิ่งเดียวที่แตกต่างไปนั้นคือนัยน์ตาดำของเขานั้นดำมืดกว่าปกติ และเมื่อเขาใช้ตาซ้ายของเขาอย่างเต็มที่ ลูกนัยน์ตาจะปรากฏแสงสีเขียวซีดขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แม้ไม่ชัดเจน ทว่ากลับทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรง
“นี่… เจ้าลูกตาลึกลับนั่นหลอมรวมกับข้า?” หัวใจของจ้าวเฟิงนั้นทั้งมีความสุขและกังวลไปพร้อมๆ กัน
หลังจากนั้นชั่วครู่เขาจึงสูดลมหายใจลึกและเดินออกจากห้อง
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนทีเดียว อย่าทำให้ข้ากังวลนักสิ” เมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนสบายดี จ้าวชี่ก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก
“แม่ ข้าไม่เป็นไร! ข้าอาจจะได้รับโชคดีจากภัยพิบัตินั่นก็ได้” จ้าวเฟิงหัวเราะ
ทว่าไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“เดี๋ยว! ท่านแม่ ท่านบอกว่า… ข้าสลบไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเลยเช่นนั้นหรือ?”
“ใช่ วันนั้นเจ้าถูกฟ้าผ่า แต่หมอบอกว่าเจ้าเพียงแค่สลบไป” จ้าวชี่ปาดน้ำตา รู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันนั้น ท้องของเด็กหนุ่มก็ร้องขึ้น บัดนั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกหิว
“มา! ข้าจะทำอาหารให้ทาน” จ้าวชี่เข้าไปยังครัวและเริ่มยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมสำรับ
ในตอนนั้น จ้าวเฟิงยังคงใช้ดวงตาซ้ายในการสำรวจทุกอย่าง และรู้สึกว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไป
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือปฏิกิริยาตอบสนอง
“หืมมมมม” ในขณะที่พวกเขากำลังกินข้าวอยู่นั้น ดวงตาของจ้าวเฟิงก็จับจ้องไปยังแมลงวัน
ดวงตาซ้ายของเขานั้นเห็นทิศทางการบินของมัน นอกจากนั้นเขายังสามารถแยกแยะเพศและเห็นลวดลายบนปีกของมันได้อีกด้วย
ฟึ่บ!
เด็กหนุ่มขยับตะเกียบของเขาไปตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นเสียงหึ่งๆ ก็เงียบลง
ฮะฮะฮะ
จ้าวเฟิงมองแมลงวันที่ถูกฆ่าด้วยตะเกียบของเขาพร้อมกับหัวเราะอยู่ภายในใจ
รู้สึกดียิ่งนัก!
นี่มันโคตรเยี่ยม!
ด้วยดวงตาซ้ายของเขา ปฏิกิริยาตอบโต้และความสามารถในการรับรู้ของเขานั้นได้พุ่งทะยานเหนือกว่าคนปกติมากนัก
หลังจากทานอาหารเสร็จ จ้าวเฟิงรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ดังนั้นเขาจึงเดินไปยังลานฝึกฝน
เขารู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงของดวงตาข้างซ้ายของเขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของเขาได้…
ดวงตาข้างซ้ายของเขาส่งเสียงฉ่าด้วยความร้อนและหลังจากนั้น มันแม้กระทั่งส่งเสียง ตึกตึก ราวกับเสียงหัวใจเต้น
เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่ลูกนัยน์ตาลึกลับได้หลอมรวมกับเขา โลหิตและร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปช้าๆ
ลานฝึกฝน
จ้าวเฟิงยังคงทำตัวเช่นปกติและเริ่มฝึกฝนเพลงหมัดระดับพื้นฐานของเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า! จ้าวเฟิง ในที่สุดเจ้าก็มา ข้านึกว่าเจ้าจะมัวแต่ทำตัวเช่นเต่าหดศีรษะอยู่ในกระดอง…” เสียงหัวเราะดังขึ้นจากอีกฝากของลานฝึกฝน
มารดามันเถอะ!
จ้าวเฟิงสบถในใจก่อนจะมองไปยังร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อของจ้าวคุนซึ่งกำลังสาวเท้ายาวๆ มาทางเขา
ทันใดนั้นเขาก็สำนึกถึง ‘การประลองหนึ่งกระบวนท่า’ ขึ้นได้
ด้วยเสียงหัวเราะของจ้าวคุนทำให้เหล่าศิษย์ของพรรคในลานฝึกฝนต่างมารวมตัวกัน
“ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้”
จ้าวเฟิงทำได้เพียงเดินตรงไปหาเท่านั้น
“จ้าวเฟิง เตรียมตัวไว้ หนึ่งกระบวนท่า! ข้าจะใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่าในการล้มเจ้า!” ร่างหนาของจ้าวคุนดูราวกับพยัคฆ์ สร้างความกดดันไปยังจ้าวเฟิง
เพียงสิ้นคำ มือทั้งสองและร่างกายของเด็กหนุ่มก็เฉกเช่นคับแคบลง ราวกับอสรพิษ ให้ความรู้สึกมืดทะมึนและน่าขนลุก จ้าวเฟิงรู้สึกหนาวเยือกราวกับถูกจับจ้องโดยอสรพิษ
“เพ้ย นั่นมันวิชาระดับสูง อสรพิษสิบสามลักษณ์!” เสียงตื่นเต้นดังขึ้นจากฝูงชนโดยผู้ที่ตระหนักถึงวิชาที่จ้าวคุนกำลังใช้
“วิชาระดับสูง เป็นไปได้อย่างไร! ศิษย์ขั้นสองส่วนมากทำได้เพียงไปยังหอตำราและได้รับเพียงวิชาระดับกลางเท่านั้น จ้าวคุนจะไปนำวิชาระดับสูงมาจากที่ใดกัน?”
“เจ้าน่าจะรู้ว่าปู่ของจ้าวคุนเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของพรรค…”
“มิน่าแปลกที่จ้าวคุนจะมั่นใจในการเอาชนะด้วยหนึ่งกระบวนท่า มันเป็นเพราะว่าเขาได้ฝึกฝนอสรพิษสิบสามลักษณ์!”
เหล่าศิษย์รอบบริเวณนั้นต่างรู้สึกเย็นยะเยือก กระทั่งผู้ที่มีระดับขั้นฝึกตนสูงกว่าก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“มันเป็นวิชาระดับสูง” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจหนาวเหน็บ
ในพรรคจ้าวนั้น ศิษย์ที่มีระดับการฝึกตนต่ำกว่าขั้น4จะสามารถฝึกฝนได้เพียงวิชาระดับต่ำหรือกลางเท่านั้น
สำหรับจ้าวเฟิง เพราะว่าเขายังไม่แม้กระทั่งทะลวงขั้น2ของผู้ฝึกตน ทำให้เขายังไม่สามารถเข้าไปยังหอตำรา ดังนั้นเขาจึงยังไม่แม้แต่เรียนรู้วิชาระดับต่ำ
อสรพิษสิบสามลักษณ์เป็นวิชาระดับสูง และพลังโจมตีของมันนั้นมากกว่าวิชาระดับต่ำและกลาง ไม่ต้องเอ่ยถึงวิชาระดับพื้นฐานเลย
ในตอนนั้นเอง การเคลื่อนไหวมือของจ้าวคุนได้สร้างความกดดันให้กับจ้าวเฟิงอย่างหนัก ราวกับว่าเพียงแค่เขาขยับตัว อสรพิษเบื้องหน้าก็จะฉกกัด
“มิแปลกใจที่จ้าวคุนจะมั่นใจว่าสามารถเอาชนะข้าได้ในหนึ่งกระบวนท่า!”
หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงขึ้น เขารู้ว่าหากเป็นสถานการณ์ปกติ เขาคงไม่อาจรับมือวิชาระดับสูงได้แม้แต่หนึ่งกระบวนท่า และนอกจากนั้นพลังปราณของจ้าวคุนเองก็สูงกว่าเขาหนึ่งขั้นเช่นกัน
ตึก! ตึก!
ภายใต้แรงกดดันนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกว่าดวงตาซ้ายของเขาสร้างความรู้สึกตื่นเต้นขึ้น เด็กหนุ่มรวบรวมพลังทั้งหมดของเขาไปในนัยน์ตาซ้ายและจับจ้องไปยังจ้าวคุน
ในตอนนั้นคล้ายมีแต่สวรรค์ทราบว่าดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้ส่องแสงสีเขียวซีดออกมา…
วูบบบบ!
จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับเขาได้เข้าสู่การมองเห็นขั้นสุดยอด ในสายตาของเขาตอนนี้ร่างกายของจ้าวคุนได้ถูกขยาย และทุกความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายรวมทั้งความถี่ของจังหวะหัวใจ จังหวะหัวใจ กล้ามเนื้อ เส้นเลือด ทั้งหมดถูกเห็นด้วยดวงตาซ้ายของเขา
ในตอนนั้นเอง ใต้หล้าก็ราวกกับเชื่องช้าลงหลายเท่า
ทว่าโลกนั้นมิได้ช้าลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นคือปฏิกิริยาตอบโต้ของจ้าวเฟิง!
ภายใต้ความกดดันนั้น หัวใจของเด็กหนุ่มรู้สึกเยือกเย็นและสงบถึงขีดสุด
คู่ต่อสู้ของเขา จ้าวคัง ร่างกายสะท้านวาบและรู้สึกราวกับทุกความลับของเขาถูกมองเห็นโดยฝ่ายตรงข้าม
“ลักษณ์ที่สามแห่งอสรพิษ!”
ใบหน้าของจ้าวคุนเต็มไปด้วยความทะมึนขณะใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกโดยไร้ซึ่งความลังเล ร่างกายของเด็กหนุ่มราวกับอสรพิษ รวดเร็วราวสายฟ้า ทั้งพลังและความรวดเร็วนั้นมากมายยิ่งนัก
ฟุ่บ!
ชั่วพริบตา นิ้วทั้งสองของจ้าวคุนแนบติดกัน ราวกับคมเขี้ยวของอสรพิษ พุ่งผ่านอากาศมุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิง
เร็วยิ่ง!
ศิษย์หลายคนคิดขึ้นพร้อมกัน
ผู้ที่อยู่ในระดับขั้นสองของการฝึกตนบางคนถึงขั้นไม่อาจมองเห็นการเคลื่อนไหวของจ้าวคุนได้
ในขณะที่นิ้วมือที่ราวกับคมเขี้ยวของจ้าวคุนกำลังจะไปถึงจ้าวเฟิงนั้นเอง
ปั่ก!
ทันใดนั้น กำปั้นอันแข็งแกร่งก็พุ่งผ่านอากาศ กระแทกเข้าที่แขนของจ้าวคุน ทำให้กระบวนท่าหยุดชะงักลง
“เกิดอันใดขึ้น?”
จ้าวคุนรู้สึกราวกับสมองของเขาสั่นสะเทือนในขณะที่ร่างกายของเขาแข็งค้างไปด้วยความตกตะลึง แขนของเขาไร้ความรู้สึก
นิ้วของเขาซึ่งอยู่ห่างจากแผ่นอกของจ้าวเฟิงเพียงนิ้วเดียวไม่อาจขยับเคลื่อนไปข้างหน้าได้แม้แต่น้อย
วูบบบ
ทันใดนั้นจ้าวคุนก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท้อง เช่นเดียวกับที่เขาถูกซัดลอยไปพร้อมกับเสียงร้อง
“เกิดอันใดกัน?”
ศิษย์ทุกคนต่างตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึง
“หนึ่งกระบวนท่า เจ้าแพ้แล้ว…”
บทที่ 3: ทะลวงขั้นสองของผู้ฝึกตน
“หนึ่งกระบวนท่า เจ้าแพ้แล้ว…”
จ้าวเฟิงพยายามควบคุมสีหน้าตะลึงและตื่นเต้นไม่ให้เผยออกอย่างเต็มความสามารถ
ข้าชนะ? และชนะด้วยหนึ่งกระบวนท่า?
ก่อนเริ่มประลองนั้น ด้วยความเปลี่ยนแปลงของนัยน์ตาซ้าย จ้าวเฟิงมั่นใจว่าด้วยปฏิกิริยาตอบโต้และสายตาของเขา เด็กหนุ่มย่อมสามารถป้องกันหนึ่งกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ และหากเขาทำได้ดีก็อาจรับมือได้มากกว่า10กระบวนท่า
ทว่าผลลัพธ์นั้นกลับเกินความคาดหมายทั้งหมดของเขา
การโจมตีของจ้าวคังนั้นนับได้ว่ารวดเร็วยิ่งในสายตาของผู้ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ บางคน ทว่าด้วยตาซ้ายของเขานั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดนั้นชัดเจนยิ่งนัก
และเมื่อตาซ้ายของเขาถูกใช้งานจนเต็มประสิทธิภาพ การโจมตีของอีกฝ่ายก็ดูราวกับเชื่องช้าและเงอะงะ
เขาตะลึงเมื่อเห็นจุดผิดพลาดในการโจมตีของจ้าวคัง
จุดผิดพลาด!
จุดผิดพลาดในวิชาระดับสูง!
จ้าวเฟิงไม่อาจเข้าใจได้เช่นกันว่าเหตุใดเขาจึงสามารถมองเห็นจุดผิดพลาดในวิชาของอีกฝ่ายได้ง่ายดายเช่นนี้ อาจเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เชี่ยวชาญในวิชานี้ก็เป็นได้
สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงตอบโต้ออกไปตามสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับที่เขากระทำกับแมลงวันนั้น จู่โจมไปที่จุดบกพร่องโดยไร้ปราณี และชนะด้วยหนึ่งกระบวนท่า
เฮือก!
ศิษย์ทุกคนบนลานฝึกฝนล้วนตกตะลึง
“ข้ามองผิดไปหรือไม่! ผู้ที่แพ้คือจ้าวคังงั้นรึ!”
“เจ้าพูดถูก! คนแพ้คือจ้าวคัง!”
ศิษย์ทุกคนล้วนถลึงตาโตและมีใบหน้าบิดเบี้ยวแปลกประหลาด
“เป็นไปได้อย่างไร… ข้าแพ้เจ้านั่นได้อย่างไร?”
ใบหน้าของจ้าวคังเต็มไปด้วยคำถาม
ใช่!
เขาแพ้อย่างรวดเร็วจนไม่อาจเข้าใจ
บัดนั้น สีหน้าของทั้งจ้าวเฟิงและจ้าวคังก็เหมือนกัน
“มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ!”
เมื่อเหล่าศิษย์ตระกูลจ้าวเห็นสีหน้าของจ้าวคัง พวกเขาจึงเข้าใจ
หลังจากเอ่ยเช่นนั้น ทุกคนจึงเริ่มส่งเสียงสนับสนุน
“เจ้ากล่าวถูกต้อง! ดวงของเจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดา เขาชนะโดยบังเอิญ”
“ดวงของเจ้านั่นย่อมดีมากแน่…”
ทุกคนล้วนยอมรับเรื่องนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้จ้าวเฟิงชนะ
“ดวงดี? อาจเป็นเช่นนั้น” จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มบางและหมุนตัวกลับ
“ไอ้หนู! หยุด!” จ้าวคังกุมท้องแน่นในขณะที่ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า และเอ่ยด้วยท่าทางถมึงทึง
“จ้าวเฟิง! เจ้าก็แค่โชคดี จึงทำให้เจ้าชนะ มาประลองกันอีกครั้ง!”
“ประลองอีกครั้ง?” จ้างเฟิงขมวดคิ้วและมองไปยังอีกฝ่าย
“อย่างแรก เจ้าบาดเจ็บ อย่างที่สอง ข้าไม่มีเวลา”
หลังจากเอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็หันหลังกลับไปยังมุมหนึ่งของลานฝึกฝนและทิ้งกลุ่มศิษย์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงไว้เบื้องหลัง
“เจ้าสวะ! หลังจากข้าหายบาดเจ็บ ข้าจะฝึกฝนวิชาอสรพิษสิบสามลักษณ์จนสมบูรณ์แล้วไปประลองกับเจ้า”
ใบหน้าของจ้าวคังเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวก่อนจะจากไปหลังจากกล่าวจบ
เมื่อมองกลับไป จ้าวคังรู้ถึงสาเหตุที่เขาแพ้ มันมีด้วยกัน 3 อย่าง
อย่างแรก เขาดูถูกคู่ต่อสู้
อย่างที่สอง เขาได้เพิ่งได้เรียนเพียง 3 กระบวนท่าแรกของวิชาอสรพิษสิบสามลักษณ์ และมันยังคงมีจุดผิดพลาดอยู่มาก
อย่างสุดท้าย จ้าวเฟิงโชคดีนัก
อีกด้านของลานฝึกฝน จ้าวเฟิงเริ่มการฝึกฝนของเขา
“สาเหตุที่ข้าชนะนั้นสาเหตุหลักเป็นเพราะจ้าวคังดูถูกข้ายิ่ง รวมกับเขายังไม่สามารถฝึกฝนกระบวนท่าระดับสูงได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ข้าสามารถหาจุดผิดพลาดได้…”
จ้าวเฟิงตระหนักถึงคำตอบอยู่ในหัวใจ
จ้างคังย่อมไม่ประมาทเขาอีกครั้งในการประลองรอบหน้าเป็นแน่ และหากเขาฝึกอสรพิษสิบสามกระบวนท่า 3กระบวนท่าแรกได้สมบูรณ์ เช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะชนะอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะว่าระหว่างผู้ฝึกตนขั้นแรกและขั้นสองนั้นมีความแตกต่างกันมากเกินไป
ผู้ฝึกตนนั้นมีด้วยกันทั้งหมด 9 ขั้น 3 ขั้นแรกเป็นที่รู้จักกันในนาม “ขั้นพลัง”
“ขั้นพลัง” นั่นเป็นขั้นที่ทำการเพิ่มความแข็งแกร่งและเสริมสร้างร่างกาย
ดังนั้นแล้วระหว่างขั้นหนึ่งและขั้นสองของผู้ฝึกตนนั้นมีความแตกต่างอยู่ที่น้ำหนักหมัด 100 กิโลกรัม
นั่นเป็นสาเหตุให้ในภาวะปกติแล้ว การที่ขั้นหนึ่งจะเอาชนะขั้นสองได้นั้นนับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่ง ยิ่งเป็นการเอาชนะด้วยหนึ่งกระบวนท่าด้วยแล้ว
“จุดสำคัญยังคงเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง!”
จ้าวเฟิงสูดหายใจลึกและเริ่มฝึกฝน ‘หมัดเหล็กเพลิง’ อีกครั้ง
กระบวนท่าแรก… กระบวนท่าที่สอง… กระบวนท่าที่สาม…
‘หมัดเหล็กเพลิง’นั้นดูลื่นไหลราวกับสายน้ำ ต่อเนื่องยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
ฮ่าห์!
ในขณะที่จ้าวเฟิงสิ้นสุดกระบวนท่านั้น ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความตื่นเต้นขึ้น ‘หมัดเหล็กเพลิง’นั้นมีทั้งหมด32กระบวนท่า และบัดนี้เขาสามารถสำเร็จมันได้เพียงในหนึ่งลมหายใจ เป็นความเร็วที่มากกว่าก่อน และพลังโจมตีก็มากขึ้นเช่นกัน
หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนท่า เด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับโลหิตทั่วกายไหลเวียนได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น ราวกับมันกำลังเผาไหม้
ตึก! ตึก!
ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกของการเต้นที่ดวงตาซ้ายก็ชัดเจนขึ้นกว่าทุกครา
จ้าวเฟิงปิดดวงตาของเขาและเข้าไปยังมิติสีดำสนิทในนัยน์ตาซ้าย ใจกลางของมิตินั้นส่องประกายสีเขียวซีด
คราแรกนั้นแสงสีเขียวซีดมีรัศมีราวๆ 60 เซนติเมตรและเรือนลางยิ่ง ทว่าบัดนี้แสงสีเขียวซีดนั้นกว้างขึ้นและสว่างขึ้น ราวกับมันเพิ่มขึ้น
“หรือว่า? ความสามารถของนัยน์ตาซ้ายนี่สัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของข้า?” เด็กหนุ่มคาดเดาอยู่ในใจ
ความเปลี่ยนแปลงของนัยน์ตาซ้ายของเขาเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา อย่างแรกเขาได้เอาชนะจ้าวคัง อย่างที่สอง เมื่อเขาฝึกฝนกระบวนท่า มันก็เป็นไปอย่างลื่นไหลยิ่งนัก
“อีกครั้ง!”
ดวงตาของเด็กหนุ่มแหลมคมขึ้นเมื่อเขาเริ่มฝึกฝน ‘หมักเหล็กเพลิง’ อีกครั้ง
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ความรวดเร็วของกระบวนท่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และแต่ละกระบวนท่าเริ่มหลอมรวมเข้าหากัน
หลังจากฝึกฝนเป็นรอบที่สาม ความเร็วของมันก็มากเป็นสองเท่าจากเดิม และความรุนแรงก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“ด้วยความเร็วระดับนี้ ข้าคงใช้เพิ่ง2-3วันในการทะลวงเข้าสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตน”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เขาฝึกฝนจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้าจึงปาดเหงื่อและมุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ยังคงครุ่นคิดถึงความเปลี่ยนแปลงของนัยน์ตาซ้ายของเขา
“เพื่อสืบทอดสายเลือดของดวงตาแห่งข้า เจ้าจะควบคุมทุกคน กำหนดทุกสิ่ง เจ้าเด็กน้อยผู้โชคดีเอ๋ย อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวัง…”
เขายังคงจำเสียงที่ดังก้องจากมิติอันมืดมิดก่อนที่เขาจะสลบไปนั่นได้
“ดวงตานี่อาจมาจากตัวตนที่อาจเรียกได้ว่าเทพบรรพกาลนั่น และด้วยเหตุบังเอิญบางอย่างมันได้หลอมรวมเข้ากับดวงตาของข้า” จ้าวเฟิงคาดเดา
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว เมื่อเขาเปิดดวงตาของเขาขึ้น เขาก็ยังคงสามารถมองเห็นทุกสิ่งด้านนอกหน้าต่างนั่นได้ ความมืดยามราตรีนั้นแทบไม่ลงผลอันใดต่อเด็กหนุ่ม ดวงตาของเขายังคงมองเห็นนกที่บินอยู่ไม่กี่ไมล์ข้างหน้า
จ้างเฟิงเอนตัวลงนอนในยามกลางคืนและรู้สึกว่านัยน์ตาซ้ายของเขาส่งเสียงความร้อนซึ่งหลอมรวมกับโลหิตของเขาออกมา
จ้าวเฟิงหลับไปเช่นนั้น
เช้าวันที่สอง
จ้าวเฟิงตื่นและยืดร่างกายก่อนมุ่งไปฝึกฝนในสวนเล็กๆ
“สวนนี่เก่าแก่เกินไป ทั้งสภาพแวดล้อมก็แย่ยิ่ง เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะให้ท่านพ่อท่านแม่ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้” จ้าวเฟิงคิดในใจ
เขาเริ่มฝึกฝน 32 กระบวนท่าของ ‘หมัดเหล็กเพลิง’ อย่างรวดเร็ว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
บัดนี้หมัดที่พุ่งฝ่าสายลมไปนั้นเต็มไปด้วยพลังงานมากมาย ทันที่ทีเด็กหนุ่มส่งหมัดออกไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไป
ระหว่างลมหายใจของเขา โลหิตของเขาเดือดพล่านและให้ความรู้สึกถึงพลัง ทุกหมัดที่ใช้ออกมีความหนักอย่างน้อย 200-250 กิโลกรัม
“อันใดกัน!” จ้าวเฟิงตกตะลึง หมัดทั้งสองของเขาปรากฏแสงสีแดงครอบคลุม
แคร่ก แคร่ก แคร่ก
หนึ่งในหมัดของเขาตรงไปยังต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า จากนั้นต้นไม้ที่หนาพอๆ กับกำปั้นก็กระจายเป็นเศษ
“ไม่! นี่ไม่ใช่พลังของขั้น1 เป็นไปได้ว่า…”
หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุก
เพื่อที่จะยืนยันความคิดของเขา จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกและกระทืบเท้าด้วยแรงทั้งหมด
ตูม!
พื้นดินสั่นสะเทือน พื้นแตกระแหง ทิ้งรอยเท้าของเด็กหนุ่มลึกลงไปครึ่งนิ้วบนพื้นดิน
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนไปมีความสุข จากนั้นฝ่ามือของเขาก็กระแทกไปยังก้อนหินที่หนักอย่างน้อย 30 กิโลกรัม ทำให้มันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
พลังเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นหนึ่งจะทำได้
“ขั้นสองของผู้ฝึกตน… ข้าทะลวงเข้าสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตนแล้ว!”
จ้าวเฟิงหลับตาลงและเริ่มรับรู้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านในร่างกาย คราแรกเขาคาดว่าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสองได้ภายใน2-3วัน มิคาดว่าจะสามารถทะลวงได้เพียงแค่นอนหลับไปหนึ่งคืน
เด็กหนุ่มเข้าสู่ภายในดวงตาซ้าย ที่นั่น จ้าวเฟิงพบว่าแสงสีเขียวซีดได้ขยายจาก60เซนติเมตรไปเป็น67เซนติเมตร เขารู้สึกว่าพลังของเขานั้นดีกว่าแต่ก่อน และมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขาไม่อาจอธิบายได้…