ยกรถ-ปรับเพิ่มเท่าตัว!พรบ.จราจรฯจอดที่ห้ามจอด
พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 เกณฑ์การเคลื่อนย้ายรถที่จอดอยู่ในที่ห้ามจอดเตรียมปรับกฎใหม่ ผู้ที่จอดในที่ห้ามจอดจะถูกยกรถและเสียค่าปรับเพิ่มเท่าตัวโดยมีบริษัทเอกชนเข้าดำเนินการแทนเจ้าหน้าที่ คาดบังคับใช้ก่อนสิ้นปี
วันนี้ (21 ส.ค. 60) หลักเกณฑ์และวิธีการเคลื่อนย้ายรถ การใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถที่หยุดหรือจอดอยู่อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 ถูกร่างเสร็จเรียบร้อยตามขั้นตอนของการร่างระเบียบให้เอกชนเข้ามายกรถผู้ที่กระทำผิดกฎจราจร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเสนอให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงนามก่อนส่งไปประกาศพระราชกิจจานุเบกษาและบังคับใช้อย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าร่างระเบียบฯนี้จะลงนามภายในเดือนก.ย.นี้จากนั้นจะประกาศใช้ก่อนสิ้นปี 2560
โดยอัตราค่าบริการอ้างอิงจากราคายกรถของเอกชนที่ดำเนินการอยู่และเห็นว่าไม่เป็นภาระแก่ประชาชนมากดังนี้ รถยนต์ส่วนบุคคล รถเก๋ง รถกระบะ อัตราค่ายกรถประมาณ 1,000 บาท รถ 6 ล้ออัตราค่ายก 2,500 บาท รถสิบล้ออัตราค่ารถยก 3,000 บาท ซึ่งหากต้องมีอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติมราคาเพิ่มอีก 500 บาท
ขณะที่การเก็บรักษาคิดเป็นรายวัน รถเก๋งคันละ 500 บาทต่อวัน รถบรรทุกตั้งแต่ 4 – 6 ล้อคิดคันละ 750 บาทต่อวัน ส่วนรถบรรทุก10 ล้อขึ้นไปคันละ 1,000 บาทต่อวัน นอกจากนี้ยังเสียค่าปรับอีกไม่เกิน 1,000 บาท เพราะฉะนั้นหากเป็นรถเก๋งเดิมเคยจ่ายแค่ 1,200 บาท ต่อไปนี้จะต้องจ่ายขั้นต่ำที่ 2,000 บาท โดยบวกกับค่าปรับอีก 500 บาท
พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า พื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ที่มีประชาชนฝ่าฝืนกฎเป็นจำนวนมากและส่งผลกระทบต่อสภาพการจราจร จึงจำเป็นต้องให้เอกชนเข้ามาช่วยดูแล แม้ว่าจะเปิดให้เอกชนเข้ามาดำเนินการตำรวจแต่ละพื้นที่ก็ยังมีอำนาจในการยกรถเช่นเดิม พร้อมทั้งให้คิดอัตราค่าบริการตามร่างระเบียบการใหม่เหมือนกับเอกชนเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการบังคับใช้กฎหมาย
ทั้งนี้ในช่วงบ่ายวันนี้จะมีการแถลงเปิดตัวใบสั่งรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเริ่มใช้งานพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนธ.ค. 2560 โดยรูปแบบใบสั่งแบบใหม่นั้นจะเพิ่มรหัสบาร์โค้ด สามารถสแกนผ่านระบบจ่ายเงินของธนาคารได้ทันที มีภาษาอังกฤษกำกับในเนื้อหาพร้อมภาษาไทย ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเกิดความสะดวกในการจ่ายค่าปรับผ่านธนาคารได้มากยิ่งขึ้น และไม่ว่าจะอยู่จุดใดก็สามารถจ่ายค่าปรับได้ทันทีไม่จำเป็นจะต้องเดินทางไปยังสถานีตำรวจเหมือนที่ผ่านมา