การเป็นคนเอเชียน ในอเมริกา ท่ามกลางช่วงไวรัสโควิด19 ระบาดนั้น
นอกจากจะกลัวติดโรคแล้ว
ขึ้นชื่อว่า อเมริกา ประเทศแห่งการคลั่งเชื้อชาติตัวเอง และรังเกียจกลุ่มคนที่ไม่ใช่ ‘คนขาว’ ซะขนาดนี้
เราก็เครียดเลยไปถึงว่า ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลจริงๆ ‘เขาจะปฎิเสธการรักษาของเรามั้ย’ เพียงเพราะเราไม่ใช่คนอเมริกัน?
เมืองลอส แองเจลิสที่เราอยู่นั้นช่างกว้างใหญ่ ชุดตรวจโควิด19 ก็มีไม่พอ ขนาดเพื่อนสนิทเราชาวอเมริกัน ที่มีอาการตามโรคนี้ทุกอย่าง ไปคลินิกขอตรวจ หมอยังบอกให้กลับไปพักผ่อนรักษาเองที่บ้านเลย เพราะชุดตรวจมีไม่พอ ต้องเก็บไว้ให้คนที่เป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง
คิดภาพมาที่เรา ความหวังแทบริบหรี่ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนถ้าเราอยู่ที่ไทย
แต่ลึกๆ แล้ว สิ่งที่เราผวามากกว่าการติดโรค – คือการโดนเหยียดเชื้อชาติ
ประเทศที่มีประธานาธิบดีเรียกไวรัสตัวนี้ว่า ‘Chinese Virus’ หรือไวรัสจีน –เพิ่มความเกลียดชัง ความแค้นเข้าไปอีก
ถึงเราอยู่เมืองลอสเองเจลิส เมืองที่ถือว่ามีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูงมาก
แต่มันก็ยังประหม่าอยู่ดี ว่าจะเผลอๆ เดินอยู่แล้วเจอแจ็กพอตโดนคนอี๋ใส่
เพราะเพื่อนคนจีนของเราที่นี่ เกิดและโตที่อเมริกา ก็ยังโดนทำร้ายมาแล้ว ‘แค่เพราะหน้าจีน’
เขาบอกว่า เวลาเห็นข่าว ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
วันนี้จะมาพูดถึงการ ‘เหยียดเชื้อชาติ’
ที่เรามักนึกถึงกันแค่ การพูดจาเหยียดชนชาติที่ไม่ใช่คนขาวด้วยภาษาที่หยาบคาย หรือการแกล้งและทำร้ายร่างกายให้เจ็บแสบ
มันมีอีก 4 พฤติกรรมอ้อมๆ ที่ก็สื่อได้ว่ามีนัยยะของความไม่เท่าเทียม การเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ หรือเหยียดกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่เหมือนตัวเอง ปนอยู่
- การทำให้มีค่าน้อยลง (Minimization)
คือการทำตัวมืดบอด บอกว่า ‘ปัญหานี้มันไม่มีอยู่จริง มันไม่ได้เป็นปัญหาของสังคมเราเลย’ หาว่าคนอื่นที่ชูประเด็นนี้ขึ้นมานั้น คิดมากเกินไป
ตัวอย่างเช่น มีใครสักคนพูดถึงคนที่ถูกเหยียดว่า
‘ฉันไม่เชื่อ ว่าจะมีใครเหยียดผิวในเมืองฮอลลีวูด!’
‘เครียดเรื่องโรคระบาดก็หนักพอแล้ว ยังจะมาเครียดเรื่องโดนเหยียดนี่อีกทำไม!’
- การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง (Rationalization)
คือการเลือกที่จะไม่ใส่ใจปัญหานี้ และหาเหตุผลมาทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ
ตัวอย่างเช่น มีใครสักคนพูดถึงคนที่ถูกเหยียดว่า
‘ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ’
‘ก็เป็นกรรมของเขาอ่ะเนอะ’
- การเบี่ยงเบนความสนใจ (Deflection)
ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถึงหลักฐานความไม่เท่าเทียมและการเหยียดต่างๆ โดยเอาข้อเท็จจริงอื่นมาอ้าง
ตัวอย่างเช่น มีใครสักคนพูดถึงคนที่ถูกเหยียดว่า
‘คนอเมริกันไม่ได้เหยียดผิวเลย เห็นไหม บารัค โอบาม่ายังเคยได้เป็นประธานาธิบดีเลย’ แล้วก็ทำเป็นหลับหูหลับตาถึงเรื่องปัญหาการเหยียดที่ยังมีอยู่ในประเทศนี้
- การอวดเก่งเรื่อง ‘การตกเป็นเหยื่อ’ (Competing Victimization)
คือการเล่าเรื่องวีรกรรมสุดเศร้าของเราให้อีกฝ่ายฟัง เพื่อหวังจะกลบความหนักใจของเขาด้วยความน่าสงสารของเรา
ตัวอย่างเช่น มีใครสักคนพูดถึงคนที่ถูกเหยียดว่า
‘โอ้ย ผมก็เคยโดนเหยียดหนักมากตอนเด็กๆ เพราะผมน่ะจน’ เพื่อละเลยความเศร้าจากการโดนเหยียดเชื้อชาติของอีกฝ่ายที่กำลังฟังอยู่
การโดน ‘กด’ ไว้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดของมนุษย์สักคน มันระบมหัวใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
บางครั้ง ‘การเหยียด’ มันก็มาในรูปแบบของการ ‘เมินเฉย’
และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาหลายอย่างที่ตามมา
เหมือนที่มาร์ธิน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นักสิทธิมนุษยชนผิวสีเคยพูดไว้ว่า
‘โศกนาฏกรรมที่รุนแรงที่สุดนั้น ไม่ได้มาจากเสียงอันดังลั่นของคนชั่วทั้งหลายหรอก
แต่มาจากความเงียบเฉยของพวกคนดีทั้งหลายต่างหาก’
อ่านบทความใหม่จากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร
ความเห็น 29
W...
พวกคนรวยและคนไทยที่เรียนอเมริกากลับมาทำเป็นหยิ่งว่าจบนอกล่ะ มันภูมิใจมากนะ
07 เม.ย. 2563 เวลา 08.44 น.
ซ้น
ต่างกับไทนเหนต่างชาติตานำ้ข้าวยังกะเหนเทวดาเขามองเราเปนพวกปรสิตอย่างงั้นเรยเวลาเราอยู่มบ้านเมืองเขา
07 เม.ย. 2563 เวลา 08.14 น.
NOT
ไทยยกย่องไอ้หรั่งยิ่งกว่าพ่อแม่มันอีกใครได้ผัวฝรั่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาทั้งที่แม่งไม่ได้รวยจริงสุดท้ายแม่งเกาะเมียไทยแดกสบาย
07 เม.ย. 2563 เวลา 08.35 น.
>YO<
เป็นบทความที่ดีครับ จะได้รู้ว่าอะไรคือพูดแล้วแสดงถึงการเหยียด
07 เม.ย. 2563 เวลา 08.48 น.
เรื่องนี้คงจะเป็นการสื่อให้ได้รู้ถึงว่า ก่อนที่ตัวของเราจะไปตำหนิอะไรคนอื่นเขา เราก็ควรที่จะสำรวจตัวของเราเองให้ดีเสียก่อนหรือยังอย่างนั้นหรือปล่าวครับ.
07 เม.ย. 2563 เวลา 06.42 น.
ดูทั้งหมด