‘หนึ่งในพฤติกรรมที่ทรงพลังที่สุดของมนุษย์ มีรากเหง้ามาจากความต้องการที่จะคงภาพลักษณ์ที่มั่นคงและดูดีของตนเองเอาไว้!’
นี่คือคำพูดจากเอลเลียต อรอนสัน นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกัน
และแน่นอน หลายครั้งการ ‘อยากคงภาพลักษณ์ที่ดูดี’ นี้เอาไว้ของแต่ละคน มันก็ลื่นไถลลงไปในสิ่งที่เรา ‘ไม่เคยคาดคิดว่าจะทำมาก่อน’ เหมือนกัน
.
.
.
มีคำหนึ่งที่เขาเรียกว่า ‘Cognitive Dissonance’ ถ้าแปลเป็นไทย คงหมายความถึง
‘ความไม่กลมกลืนกันของกระบวนความคิด/การรับรู้’
อธิบายได้ว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่การกระทำของเรา มันขัดกับความเชื่อและหลักศีลธรรมในใจที่เรายึดถืออยู่ จิตใจก็จะเกิดปรากฎการณ์ หาวิธีอะไรก็ได้ มาทำให้เราเลิก ‘หงุดหงิดหรือไม่สบายใจ’ กับความรู้สึกนั้นซะ!
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
ผู้ชายคนหนึ่งกำลังมีความสุขกับการลอกข้อสอบเพื่อนอยู่ ทันใดนั้น ‘ศีลธรรมในจิตใจ’ ก็ดังขึ้นมาว่า ‘นี่มันเป็นสิ่งที่ผิดนะ!’ ทีนี้ ผู้ชายคนนี้ก็พยายามหาความคิดหรือการกระทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เขากลับมา ‘มีความสุข’ ตามเดิม
อาจเป็นการ ‘หยุดลอกข้อสอบนั้น’ เพื่อให้ชีวิตกลับมาตรงกับศีลธรรมที่ใจตัวเองเชื่อไว้
หรืออาจเป็นการบอกตัวเองว่า ‘โอ้ย ไม่เห็นเป็นไรเลย ใครๆ เขาก็ทำกัน’ เพื่อให้เขาสบายใจ และกลับมีความสุขได้เหมือนเดิม
หรืออีกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น เราโดนหลอกให้ซื้อเครื่องสำอางแพงๆ โมโหตัวเองจนต้องไปหารีวิวเครื่องสำอางต่างๆ แล้วก็บอกตัวเองว่า เห้ยยยยย มันดีนะ คุ้มค่านะ เราคิดถูกแล้ว ให้ตัวเองสบายใจ
.
.
.
ทำไมเจ้า Cognitive Dissonance มันถึงจะรุนแรงได้?
เพราะหลายคน เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันทะแม่งๆ แต่บางครั้งมันเลยเถิดจนกลับลำไม่ได้แล้ว จึงเลือกหาวิธีคิดต่างๆ มาทำให้ตัวเองสบายใจขึ้น
ตัวอย่างหนักๆ ก็เช่น
มีนักจิตวิทยา เคยไปติดตามพิธีทางศาสนาฮินดูในเทศกาลไทปูซัม พิธีนี้ จะแบ่งศาสนิกชนออกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายแรกก็คือเคารพแบบเบาๆ กราบไหว้บูชา ร้องเพลงก็ว่ากันไป ส่วนอีกฝ่ายคือ ฝ่ายจัดหนัก โดยสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องทำ คือการเอาทั้งเข็มมาเจาะ เอาตะขอมาเกี่ยวแผ่นหลังของตัวเองเอาไว้ โดยมีตุ้มหนักๆ ถ่วงเอาไว้อีก และยังต้องเอาตะขอมากมายที่เกี่ยวหลังนั้น ลากรถเลื่อนที่อยู่ข้างหลัง เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง จากนั้นก็ปีนขึ้นภูเขาด้วยเท้าเปล่า เพื่อให้ไปถึงจุดสุดยอด
หลังจากนั้น นักจิตวิทยาก็ไป เดินเรี่ยไรเก็บเงินผู้ไม่ประสงค์ออกนามเพื่อบำรุงศาสนา จากผู้เข้าร่วมพิธีทั้งฝ่ายเบาๆ และฝ่ายจัดหนัก
ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ที่จัดหนักกับพิธีสุดทรมานนั้น บริจาคเงินเยอะกว่าผู้ที่ผ่านพิธีแบบเบาๆ หลายเท่าตัวนัก
‘ยิ่งเขาผ่านเหตุการณ์หนักหนาที่ทางวัดได้ให้เขาทำมากเท่าไหร่
เขายิ่งรู้สึกผูกมัดกับทางวัดมากเท่านั้น ยิ่งเจ็บแสบ ยิ่งภูมิใจ’
(ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่คือความเชื่อทางศาสนาส่วนบุคคล เราไม่ได้มีเจตนาจะวิจารณ์ให้สั่นคลอน เราอยากอธิบายให้เห็นถึงพลังของความคิด/ความเชื่อนี้เท่านั้น
.
.
.
มีตัวอย่างที่หนักกว่านี้อีก!
ในปี 1997 มีกลุ่มนิกายหนึ่งชื่อว่า เฮเวนส์ เกท (Heaven’s Gate)
ผู้เริ่มตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมามีนามว่า มาร์เชล แอปเปิ้ลไวท์ (Marshall Applewhite) เขามีความเชื่อหนักแน่นกับเรื่องเหนือธรรมชาติแบบสุดๆ เขาเชื่อว่า จะมีดาวหางดวงหนึ่งที่โคจรเข้ามาในโลกมนุษย์ และนำพาทุกคนที่เชื่อในสิ่งนี้ ไปสู่สรวงสววรค์ในโลกใหม่ ซึ่งการจะเดินทางไปถึงโลกใหม่นั้นได้ ทุกคนจะต้องออกจาก ‘ร่างของในโลกนี้’ และขึ้นยานดาวหางนี้ออกเดินทางไปพร้อมกัน
ใช่ค่ะ ตัดภาพมา ในที่สุดแล้ว มีคนไปเจอศพของผู้ร่วมนิกายจำนวน 39 ศพ ‘เต็มใจฆ่าตัวตาย’ ด้วยความสงบ ในสถานที่ประกอบพิธีสุดหรูในเมืองแคลิฟอร์เนีย เพื่อพร้อมไปเจอโลกใหม่ที่เขาโหยหา
และใช่ค่ะ ดาวหางที่พวกเขาเชื่อมั่น ก็ไม่ได้มารับพวกเขาไป
ก่อนหน้าที่จะถึงวันฆ่าตัวตาย มีผู้ร่วมนิกายบางคนถึงขั้นไปซื้อกล้องโทรทรรศน์ที่แพงที่สุดมา เพื่อตามหาดาวหางนี้ และเมื่อเขาหาดาวหางนั้นไม่เจอ แทนที่เขาจะตระหนักรู้ว่า ‘ดาวหางนั้นไม่มีจริง’ เขากลับบอกว่า ‘กล้องโทรทรรศน์นั้นไม่มีประสิทธิภาพมากพอ’
.
.
.
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เหล่าผู้ร่วมนิกายเหล่านี้ เมื่อถามเพื่อนบ้านของพวกเขา ทุกคนต่างบอกว่า พวกเขาเป็นคนฉลาด มีเหตุมีผล เป็นคนร่าเริงอัธยาศัยดี
‘แต่เมื่อเราเอาตัวเองเข้ามาถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ถลำเข้ามาลึกแล้ว มันยากที่จะดึงตัวเองออกมาพร้อมกับความจริงที่ว่า ความเชื่อที่ผ่านมานั้นมัน ‘ผิด’
มันเลยง่ายกว่าสำหรับบางคน ที่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อคงไว้ซึ่งการกระทำและความคิดที่ถลำเข้ามาในดินแดนแห่งความทะแม่งๆ นี้’
.
.
.
วิธีแก้ไข Cognitive Dissonance พูดง่าย แต่อาจจะทำยาก
คือการคอยเช็คตัวเองตลอดว่า สิ่งที่เราทำอยู่ มันสอดคล้องกับศีลธรรมที่เรายึดไว้ในใจหรือไม่ และเมื่อไหร่ที่เราเริ่มรู้สึกว่ามันขัดกับศีลธรรมที่เรายึดไว้
มันจะเป็นไปได้หรือไม่
ที่เราจะทำลายทิฐิหนาแน่นที่เรามี
ด้วยการเดินออกมา หาจุดที่ถูกต้องและ ‘ใช่’
เพื่อให้ชีวิตกลับมามีความสุขได้ตามเดิม.
อ่านบทความใหม่จากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร
ความเห็น 10
GoodDviele Angel
ขอบคุณค่ะสำหรับ โพสต์นี้ที่ทำให้ได้รู้ว่ามีคนที่ไม่ใช่นักจิตวิทยาและนักจิตวิทยาเข้าใจในมุมมอวเดียวกันคือ #คิดบวก#แบบไม่เข้าข้างตัวเองแต่ให้ค้นหาตัวเองและมองโลกให้กว้างขึ้น เพราะทุกวันนี้มีคนมองเห็นแต่ความสวนความงามและหลงชื่นชมเพียงรูปลักษณ์ภาพนอก แต่ลืมสวยจากภายในสู่ภาพนอก
17 มี.ค. 2563 เวลา 08.55 น.
David_kop
Cognitive dissonance = สลิ่ม
11 มี.ค. 2563 เวลา 13.02 น.
KunDe💕
พึ่งรู้เหรอเพจ ควรเรียนรู้นานละนะช้าไปเขาไปถึงไหนกันละมัวนั่งปั่นเพจเที่ยวได้ไปแซกแซงคนอื่นเขาจนเสียหาย ก็เพราะโซเชี่ยลห่วยๆนี่แหละ สามันสำนึกที่เรียนมาคงมีไห้ไว้เพื่อเดินทางที่ถูกที่ควร
11 มี.ค. 2563 เวลา 07.04 น.
ตรรกะผิดเพี้ยนสินะ
แต่การหลอกตัวเองก็ยังดีดีกว่าคุณไปหลอกชาวโลก
11 มี.ค. 2563 เวลา 04.41 น.
คนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะมีแต่เพียงเหตุผล บางทีก็เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกด้วย ถ้ามีแต่เหตุผลก็ตอบคำถามได้ยากแล้วว่ามีชีวิตอยู่ไปทำไม นอกจากอยู่ไปงั้นๆ
ปัญหาคือ ควรอยู่ตรงไหน
ผมว่าถ้าเป็นความเชื่อแบบไม่มีอะไรรองรับ ก็ให้สมมุติคิดอีกทางว่าถ้าสิ่งที่เราเชื่อมันไม่จริงล่ะ เราจะทำแบบเดิมหรือจะทำแบบใหน น่าจะช่วยหาความกลางๆได้
แต่ถ้าหากเป็นความชอบส่วนตัวอันนี้ก็ต่างจิตต่างใจ ชอบไม่เหมือนกันได้ คงต้องใช้วิธีคิดว่าทำความเดือดร้อนคนอื่นหรือชีวิตอื่นๆรึเปล่าระดับใหน
ก็คร่าวๆ
11 มี.ค. 2563 เวลา 03.24 น.
ดูทั้งหมด