ปกติแล้วเราจะสื่อสารกับด้วยวาจาเป็นหลัก แต่จริง ๆ แล้วในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันยังมี ‘ภาษากาย’ คอยช่วยเสริมการสนทนาอยู่อย่างลับ ๆ ด้วย บ่อยครั้งที่ภาษากายหรืออวัจนภาษาบอกความหมายที่แท้จริงได้ดีกว่าคำพูดเสียอีกนะคะ LINE TODAY ORIGINAL ศุกร์นี้จะชวนอ่านภาษากายที่เราแสดงออกกันอยู่เวลาพูดคุยกัน ว่าท่าทางแบบไหนมีความหมายถึงอะไรบ้าง
1. สีหน้า
การแสดงออกท่าสีหน้าเป็นอะไรที่เห็นได้ชัดและเข้าใจง่ายที่สุดแล้วในบรรดาอวัจนภาษาทั้งหมด เช่น หากคู่สนทนายิ้มก็คือพึงพอใจ, ชักสีหน้าบูดก็อาจไม่ค่อยพอใจ, คิ้วขมวดก็คิดอยู่หรือมีความเครียดหรือสับสน และอีกมากมายหลายสีหน้าที่เราต่างก็เคยพบเจอในชีวิตประจำวัน
สีหน้าเป็นภาษาสากลที่ไม่ว่าเราจะพูดกันคนละภาษาแต่สีหน้าคือรู้เรื่องและเข้าใจตรงกันทั้งโลก !
2. สายตา
ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงเลยสักนิด เพราะสายตาสามารถแสดงออกถึงอารมณ์บางอย่างได้ไม่แพ้การพูด (ขนาดอิ้งค์ วรันธร ยังบอกเลยว่า สายตามันหลอกกันไม่ได้~)
มองตา : เวลาคุยกับใครแล้วเขามองตาเรา นั่นแปลว่าเขากำลังให้ความสนใจกับการสนทนานี้อยู่ แต่หากจ้องนานไปบางทีก็อาจทำให้รู้สึกน่าหวาดระแวงอยู่เหมือนกัน ในขณะเดียวกันหากคู่สนทนารู้สึกไขว้เขว, ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ หรือรู้สึกไม่ค่อยสบายใจในบทสนทนา สายตาจะมองซ้ายมองขวา หรือไปมองอย่างอื่นแทนที่จะสบตากันนั่นเอง
กระพริบตา : การกระพริบตาคือธรรมชาติของเราทุกคนอยู่แล้ว แต่หากใครสักคนกระพริบตามากหรือน้อยกว่าปกติ นั่นแสดงออกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติแน่นอน ว่ากันว่าหากใครกระพริบตาถี่มาก อาจเป็นเพราะเขากำลังรู้สึกเครียด หรือกดดันอยู่ก็เป็นได้
ขนาดรูม่านตา : ฟังแล้วอาจจะคิดว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ จริง ๆ ก็คือการสังเกตว่าเวลาเราคุยกัน อีกฝ่ายมีทีท่าทางสายตายังไง อย่างเช่น หากอีกฝ่ายรู้สึกสนใจ, ตื่นเต้น ดวงตาจะเบิกโพลง แต่หากอีกฝ่ายไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่ ตาอาจจะหรี่ ๆ ลงจากปกติหน่อยนั่นเอง
3. ริมฝีปาก
การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของริมฝีปากก็บอกอะไรบางอย่างของอีกฝ่ายได้นะ
กัดปาก : จะแสดงถึงความวิตกกังวล, ไม่สบายใจ หรือการต้องคิดอะไรเยอะแยะอยู่ในเวลานั้น
ยู่ปาก : เหมือนการทำปากจู๋นั่นแหละค่ะ แสดงออกถึงความไม่มั่นใจ, ไม่ไว้ใจในสิ่งที่กำลังพูดคุยกัน
เม้มปาก : ใช้แสดงออกเวลาเรากำลังปิดบังความรู้สึกบางอย่างที่แท้จริงภายในใจ
คว่ำปาก : แน่นอนว่าต้องหมายถึงความรู้สึกไม่พอใจ, ความเศร้า จนเผลอทำมุมปากคว่ำ
ยิ้ม : ที่มักจะเป็นภาษากายที่สังเกตได้ง่าย แต่จริง ๆ แล้วการยิ้มก็มีมิติพิศวงอยู่เหมือนกันนะ บางทีการยิ้มอาจแปลว่าพึงพอใจ, ถูกใจ, แฮปปี้ แต่หลาย ๆ ครั้งรอยยิ้มก็ถูกใช้ในการปกปิดความรู้สึกบางอย่างได้เหมือนกัน ยิ้มปลอมแบบนี้อาจจะต้องใช้การสังเกตภาษากายอื่น ๆ ร่วมด้วยเพื่อช่วยพิจารณาอีกขั้นหนึ่งว่า คน ๆ นั้นกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่
ยิ้มจริงจะใช้กล้ามเนื้อใบหน้าหลายส่วน เช่น ตาหยี, แก้มยกสูง แต่ยิ้มปลอมดูง่าย ๆ เลยคือจะยิ้มแค่ปากหรือมุมปากเท่านั้น
4. ท่าทาง
คือท่าทางประกอบเวลาเราคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นการยกไม้ยกมือประกอบ, ชูนิ้วแสดงจำนวน, การโบกมือ, ยกนิ้วโป้งให้, ทำมือโอเค ฯลฯ ซึ่งท่าทางนี้จะมีความพิเศษหน่อยตรงที่ แต่ละพื้นที่อาจมีความหมายแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นหากจะเดินทางไปต่างที่ต่างถิ่นก็อาจจะต้องทำความเข้าใจความหมายของท่าทางการแสดงออกไว้สักหน่อยก็ดีนะคะ จะได้ไม่โป๊ะ
5. แขนและขา
ภาษากายอีกอย่างที่เรามักจะทำโดยไม่รู้ตัวเวลาคุยกันคือ การใช้แขนและขาขยับไปมายุกยิก เช่น
กอดอก : แปลว่าคน ๆ นั้นอาจกำลังปกป้องตัวตนตนเองอยู่ หรือเป็นคนไม่ค่อยอยากเปิดเผยเท่าไหร่
ท้าวเอว : บ่งบอกเป็นนัยว่าคนนั้นอาจกำลังไม่พอใจอยู่ หรือแสดงออกว่าเตรียมพร้อมสำหรับอะไรบางอย่าง
เอามือไพล่หลัง : เขาอาจกำลังรู้สึกเบื่อหน่าย, กังวล หรือบางครั้งอาจหมายถึงกำลังโกรธก็ได้
เคาะนิ้ว : แสดงว่าคนนั้นกำลังเบื่อ, เร่งรีบ, อดทน หรือกำลังสับสนวุ่นวายใจ
นั่งไขว่ห้าง : หมายความว่าคนนั้นรู้สึกต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่นั่นเอง
6. ท่านั่ง
ท่าทางการนั่งเป็นคำใบ้บ่งบอกความหมายโดยนัยเหมือนกัน โดยเฉพาะบุคลิกภาพของคนสื่อสารเอง ได้แก่
ท่าทางแบบเปิดเผย : เวลานั่งจะนั่งแบบสบาย ๆ กางขาเล็กน้อย, เปิดมือ, มีแสดงท่าทางประกอบการพูด แสดงว่าเป็นคนเฟรนด์ลี่, ไม่ค่อยซีเรียส และค่อนข้างเปิดเผย
ท่าทางแบบปิด: เช่นคนที่นั่งหนีบขา, เอามือวางบนตักอย่างเรียบร้อย แสดงว่าเป็นคนขี้กังวล, ไม่ค่อยเป็นมิตร, ไม่เปิดเผยเท่าที่ควร
7. ระยะห่างระหว่างกัน
ความใกล้ชิด หรือระยะห่างระหว่างกันและกันเวลาสนทนานั้นก็สามารถบอกความหมายเราได้เหมือนกันนะ หากใครที่นั่งหรือยืนใกล้กันหน่อย นั่นแปลว่า มีความไว้ใจซึ่งกันและกัน กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนกันมากกว่าคนที่เว้นระยะห่างไว้เยอะ ๆ หรือแม้กระทั่งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขยับเข้าไปใกล้อีกคน แต่เขากลับยิ่งออกห่าง ก็เป็นสัญญาณว่าเขาอาจไม่สะดวกใจที่จะคุยกับเราก็ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่เป็นเพียงการสังเกตแบบคร่าว ๆ ไม่สามารถฟันธงได้ซะทีเดียวว่าความหมายของอวัจนภาษาเหล่านั้นจะแปลตามที่ตำราบอกได้ 100% เสมอไป ยังไงก็ขอให้เราหมั่นสังเกตคู่สนทนาไว้ด้วย ว่าเข้ากำลังรู้สึกอย่างไรกับการพูดคุย ณ เวลานั้น จะได้ทำตัวให้ถูกทั้งคู่ค่ะ
.
ขอบคุณข้อมูลจาก
.