โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

“ไม่เห็นด้วย” อย่างไรไม่ทำให้วงแตก | ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ - Exclusive Writer

Ad Addict

อัพเดต 28 เม.ย. 2565 เวลา 23.53 น. • เผยแพร่ 28 เม.ย. 2565 เวลา 23.56 น. • ชญาน์ทัต วงศ์มณี

เคยเจอคนที่แสดงความเห็นออกมาแล้ววงแตกไหมครับ ?

การทำงานด้วยกันแล้วมีความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่เราจะมีวิธีแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างไรให้เกิดประโยชน์ และพูดไปแล้ววงไม่แตก ไม่กลายเป็นการทะเลาะกัน ผิดใจกัน เรามาดูกันครับ

1. มีวัฒนธรรมการทำงานที่อนุญาตให้คนแสดงความคิดเห็นได้อย่างเป็นอิสระ และพร้อมจะรับฟังกันและกัน

ถ้าทุกคนอยู่ด้วยกันบนวัฒนธรรมการทำงานแบบ“ไม่เห็นด้วย” เท่ากับ“ไม่เคารพ” หรือ“ไม่เห็นด้วย” เท่ากับ“ไม่ใช่พวก” แบบนี้ใครจะกล้าแสดงความไม่เห็นด้วยขึ้นมาได้ ทุกคนก็คงจะก้มหน้าก้มตาเออออตามกันไปหมด บางทีรู้อยู่แล้วว่ามันไม่เวิร์คแต่ไม่สามารถแสดงความเห็นได้ เสียเวลากันหมด และนั่นแหละครับที่จะทำให้ทุกคนก้มหน้าก้มตาเดินลงเหวไปพร้อมกันหมด เพราะไม่มีคนทัดทานคัดค้านหรือช่วยกันระวังหน้าระวังหลัง

แต่ถ้าทุกคนอยู่ในวัฒนธรรมการทำงานที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเป็นอิสระ และพร้อมจะรับฟังกันและกัน ทุกคนก็จะดึงศักยภาพของตัวเองออกมา จะระวังหลังให้กัน ช่วยกันรีเช็คว่าไอเดียนี้ควรต่อยอดไปแบบไหน มีอะไรต้องอุดรอยรั่วบ้าง ช่วยกันมองคนละมุม จะทำให้เห็นทางออกได้มากกว่าก้มหน้าก้มตาเห็นด้วยทั้งๆ ที่ไม่เห็นด้วย

2. ก่อนจะอ้าปากแสดงความเห็น เช็ค 3 ข้อก่อนว่า พูดเรื่องจริงไหม? / เป็นประโยชน์หรือเปล่า? / คนฟังอยากฟังหรือไม่?

เวลาที่จะสื่อสารใดๆ ออกไป มี3 เรื่องที่เราต้องเช็ค และต้องติ๊กถูกทั้ง3 ข้อ ขาดข้อใดข้อหนึ่งการสื่อสารก็ล่มได้เหมือนกันครับ

เรื่องแรกคือ เรื่องที่เราพูดเป็นเรื่องจริงไหม? กลับมาดูว่าความเห็นที่เรากำลังแสดงออกไปนั้นอยู่บนพื้นฐานความจริง ปราศจากอคติ มีเหตุผล คิดรอบคอบแล้วหรือยัง ถ้าเรื่องที่จะพูดไม่เป็นความจริงก็ไม่จำเป็นต้องพูด

เรื่องต่อมาคือ เรื่องที่เราพูดเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์หรือเปล่า? พูดความจริงอย่างเดียวแต่เป็นความจริงที่ไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่มีความหมายครับ กลับมาดูว่าความเห็นนี้จะช่วยต่อยอดไอเดียหรือทำให้เกิดประโยชน์ต่องานอย่างไรบ้าง ถ้าดูแล้วมีทั้งความจริง และเป็นประโยชน์ เชิญที่ข้อต่อไปได้เลยครับ

เรื่องสุดท้ายคือ เรื่องที่เราจะพูดนั้นคนฟังอยากฟังหรือไม่? ต่อให้เป็นเรื่องจริงที่เป็นประโยชน์แต่คนฟังไม่อยากรับฟัง การสื่อสารก็พังอยู่ดีครับ ไม่มีประโยชน์ที่จะยัดเยียดความเห็นที่ดีให้กับคนที่ไม่พร้อมจะเปิดรับ ข้อนี้เอาไว้เช็คอารมณ์ของคนฟัง เช็คกาละเทศะแวดล้อมต่างๆ ในการสื่อสารว่าเหมาะที่จะแสดงความเห็นไหม

ข้อสุดท้ายนี้สำคัญไปถึงการพิจารณาว่า นี่มันใช่เรื่องที่จำเป็นต้องการความคิดเห็นไหม? เรามีความเห็นกับทุกเรื่องได้หมดครับ แต่ไม่ได้แปลว่าทุกเรื่องจำเป็นต้องการการแสดงออก ถ้าดูทรงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องการความเห็น เป็นเรื่องที่จุดประสงค์คือแจ้งเพื่อทราบ ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องพูดครับ แต่ถ้าเรื่องไหนจำเป็นต้องการความเห็น และคนฟังอยู่ในโหมดที่พร้อมจะรับฟัง ขอให้ใช้โอกาสแสดงความเห็นให้เป็นประโยชน์ที่สุด

3. บอกสิ่งที่เราเห็นด้วยก่อน และตามด้วยสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย

ไม่มีใครอยากรู้สึกว่าเราอยู่ตรงข้ามกันทุกเรื่อง วิธีที่ดีคือเริ่มประโยคแสดงความคิดเห็นด้วยการบอกว่าคุณเห็นด้วยเรื่องใดก่อน มันต้องมีสักเรื่องแหละที่เห็นตรงกัน เช่น เห็นด้วยว่าอยากให้โปรเจ็กต์นี้ออกมาดีที่สุด เห็นด้วยว่ายังมีพื้นที่ให้เราแก้ไขได้อยู่ เห็นด้วยว่ามีสิ่งที่จำเป็นต้องแก้ไขอยู่ เพื่อจูนให้เราเป็นพวกเดียวกันก่อน และเป็นการบอกว่าคุณได้ฟังเขาอย่างละเอียดจนสามารถแยะแยะได้ว่าอะไรบ้างที่เห็นด้วย อะไรบ้างที่เห็นต่างออกไป ถ้ามาถึงคุณยิงก่อนเลยว่าไม่เห็นด้วยเรื่องอะไร คนฟังก็คงอยากปิดใจไม่อยากฟังต่อแล้วล่ะครับ

ลึกไปกว่านั้น คุณอาจจะแยกให้ชัดเป็น เห็นด้วย/ ไม่เห็นด้วยในวัตถุประสงค์ และ เห็นด้วย/ ไม่เห็นด้วยในวิธีการ การแยกชัดๆ แบบนี้ทำให้ทีมสามารถแยกได้ถูกว่าอะไรคือสิ่งที่ควรปรับ ตกลงเป้าหมายใช่หรือเปล่า หรือเป้าหมายใช่ แต่วิธีการไม่ใช่ ยิ่งแจกแจงได้ว่าเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับอะไร จะทำให้ทีมสามารถทำงานต่อได้ถูก ความเห็นของเราก็มีประโยชน์

4. ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่อตอบโต้

แม้เราจะพูดกันเรื่องการแสดงความเห็น แต่หัวใจของการแสดงความเห็นที่ดีมาจากการฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่การฟังเพื่อตอบโต้2 อย่างนี้ต่างกันตรงที่ แบบแรกคือการฟังเพื่อทำความเข้าใจมุมมองและเหตุผลของอีกฝ่าย แล้วจึงมาแยกแยะว่าอะไรคือสิ่งที่เห็นด้วย อะไรคือสิ่งที่ไม่เห็นด้วย เพราะอะไรบ้าง เมื่อเข้าใจแล้วจึงเลือกวิธีการสื่อสารกลับไปอย่างถูกวิธีได้

แต่แบบที่สองคือการฟังเพื่อหาช่องว่าจะตอบโต้อย่างไร มีร่องไหนให้ซัดกลับไปได้บ้าง มีเรื่องไหนที่หักล้างได้ พอเป็นแบบนี้ก็จะกลายเป็นการฟังเพื่อจับผิด ฟังเพื่อเถียง สุดท้าย การแสดงความเห็นเพื่อทำให้งานดีขึ้นก็จะหายไปกลายเป็นเวทีสาดน้ำลายใส่กันแทน แม้จะเห็นต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือ

การให้พื้นที่คนที่เห็นต่างในการแสดงเหตุผล

โดยไม่ถูกขัดจังหวะ

ยิ่งคนที่ไม่เห็นด้วยแสดงท่าทีนอบน้อม ตั้งใจฟัง ฟังแล้วคิดตาม ให้โอกาสพูดจนจบ โอกาสทะเลาะกันก็จะน้อยครับ แต่ถ้าตั้งท่ามาแบบพี่มาเพื่อชนะ! พี่มาไฟท์ ! พี่มาเพื่อพูดไม่ใช่มาเพื่อฟัง ! ใครจะอยากทำงานด้วยล่ะครับ

5. Move on & Respect

เมื่อแสดงความคิดเห็นแล้วแต่สุดท้ายที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับเรา หรือไม่ได้เลือกทางที่เราเสนอ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักเรานะครับ อย่าเอามาปนเป็นเรื่องส่วนตัว ออกนอกห้องประชุมไปก็คุยกันเป็นปกติ ไม่ใช่มองกันว่าเป็นศัตรู เพราะเราเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกันในระดับ“ความคิด” ไม่ได้เกี่ยวกับ“ตัวบุคคล” สุดท้ายไม่ว่าทีมเลือกทางที่ไม่ตรงกับเรา เราก็ต้องไปในทางนั้นกันทั้งทีม เพราะเป็นทีมเดียวกัน เคารพมติของทีม

ให้นึกถึงเวลาสหรัฐฯ เลือกตัวแทนพรรคลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ตอนแรกแต่ละพรรคก็จะมีการแข่งขันกันเอง แต่สุดท้ายเมื่อได้หนึ่งคนเป็นตัวแทนพรรค อดีตคู่แข่งจากพรรคเดียวกันก็จะเปลี่ยนมาเป็นผู้สนับสนุนตัวแทนหนึ่งเดียวจากพรรค ไม่มีการแบ่งพวกอีกแล้ว ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันหมด

ลองดูก่อนครับ ทางนั้นอาจจะเวิร์คก็ได้ ขณะเดียวกัน ถ้าทางนั้นมันไม่เวิร์ค ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทีท่าว่า“ไงล่ะ ! ฉันบอกแล้วว่ามันต้องไม่เวิร์ค !” ไม่จำเป็นต้องรอเหยียบ รอทับถม สุดท้ายเวิร์คหรือไม่เวิร์คก็เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งทีมอยู่ดี เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ร่วมกันหมด เราเองก็ได้เติบโตไปพร้อมกันครับ

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...