ธปท. ปรับเงื่อนไข “คุณสู้เราช่วย” ชัดเจนใน มิ.ย. ย้ำ! ไม่ใช่แค่ค้าง 1 วันก็เข้าร่วมได้
ธปท. เผย ปรับเงื่อนไข “คุณสู้เราช่วย” ชัดเจนมิ.ย. 2568 โดยย้ำไม่ใช่แค่ค้าง 1 วันก็เข้าร่วมได้ ชี้ไตรมาส 2 ปีนี้ท้าทายจากสงครามการค้าและการแข่งขัน คาดสินเชื่อชะลอตัวต่อเนื่อง
วันที่ 20 พ.ค. น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ธปท. กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาปรับเงื่อนไขมาตรการคุณสู้เราช่วย ซึ่งต้องเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการชุดต่างๆ ด้วยโดยปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปในรายละเอียดออกมา คาดว่าจะชัดเจนในกลางเดือน มิ.ย.หรือปลายเดือนมิ.ย.นี้ ก่อนที่โครงการฯจะสิ้นสุดระยะมาตรการ
“ในการทำมาตรการต้องดูผลกระทบต่างๆ อย่างข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ของคุณสู้เราช่วย ว่าค้างชำระหนี้ 1 วันก็สามารถเข้าร่วมได้นั้น ต้องดูว่าลูกหนี้เข้าข่ายเป็นอย่างไรแต่ไม่ใช่ค้างแค่ 1 วันได้ ต้องมีเงื่อนไขอื่นประกอบด้วย”
น.ส.สุวรรณี กล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าการปรับโครงสร้างหนี้ ในไตรมาสแรกปี 68 ยอดช่วยเหลือสะสม 1.5 ล้านบัญชี คิดเป็น 8 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ธนาคารรัฐเป็นหลัก ส่วนโครงการคุณสู้เราช่วย มีขอความช่วยเหลือ 1.3 ล้านราย คิดเป็น 1.7 ล้านบัญชี ตรวจสอบแล้วสามารถเข้าร่วมได้ 5.8 แสนราย คิดเป็น 30% โดยมียอดหนี้ 4.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 48% ของผู้ลงทะเบียน
ขณะที่หนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 4 ปี 67 ยู่ที่ 88.4% ต่อจีดีพี คาดว่าแนวโน้มไตรมาสแรกของปี 2568 ที่คาดว่าจะออกมาเดือน มิ.ย. อาจจะลดลงต่ำกว่า 88% โดย NPLs ในไตรมาสแรก ปรับเพิ่มมาอยู่ที่ 5.48 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.9% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ 2.78% มาจากสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีคุณภาพหนี้ด้อยลง ขณะที่หนี้ใกล้เป็นเอ็นพีแอล หรือ เอสเอ็มปรับลดลงจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้สัดส่วนเอสเอ็มทรงตัวที่ 6.97%
“ในไตรมาสสองปีนี้ มีความท้าทายมาก จากผลกระทบของสงครามการค้าและสินค้าต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในไทย ถ้าผลการเจรจาไม่ได้ข้อยุติ แนวโน้มส่งออกจะได้รับผลกระทบ และอาจเจอพายุ ตามที่ผู้ว่าการ ธปท.บอกไว้ ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 3-4 นี้ โดย ธปท.ต้องติดตามใกล้ชิดและคุยกับธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบการ พร้อมคาดว่าไตรมาส 2 นี้ สินเชื่อธนาคารยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ตามการส่งผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เกิดการกระตุ้นปล่อยกู้ ซึ่งการที่ไม่ได้ปล่อยกู้เป็นเรื่องของความเสี่ยงผู้กู้มากกว่า แต่การลดดอกเบี้ยเป็นการลดภาระของผู้กู้ โดยยอมรับว่าการส่งผ่านในรอบนี้ ส่งผ่านน้อยกว่าสองรอบที่ผ่านมา