โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

นิยาย Dek-D

อัพเดต 26 พ.ค. 2567 เวลา 06.41 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. 2567 เวลา 06.41 น. • enjoybook
ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?
โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ข้อมูลเบื้องต้น

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?
โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

重生八零旺夫小辣妻

***ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้หจก. EnJoyBook ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
สงวนลิขสิทธิ์
ผู้แต่ง : 兜兜缺钱 ผู้แปล : ไหหม่า

เรื่องย่อ
ในชาติก่อน หลินเซี่ย เป็นสไตลิสต์คนโง่ผู้ไร้ความคิดเป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงคอ แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่อชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเซี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

ตอนที่ 1 ลูกสาวบุญธรรมถอดหน้ากากออกซิเจน

ตอนที่ 1 ลูกสาวบุญธรรมถอดหน้ากากออกซิเจน

ห้องพิเศษของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองหลวง

หลินเซี่ยกำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงผู้ป่วย เบื้องหน้าเธอมีชายหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดีคู่หนึ่งยืนอยู่ รวมถึงเด็กสาวอีกคนที่อายุประมาณสิบเจ็ดย่างสิบแปดปี

ใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความจริงจัง หล่อนเงยหน้ามองชายหญิงวัยกลางคน ถามว่า “คุณพ่อ คุณแม่ ตอนนี้เลยเหรอคะ?”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ชายและหญิงวัยกลางคนพยักหน้าเบา ๆ

เด็กสาวจึงก้าวเท้าช้า ๆ ไปยังเตียงผู้ป่วย

หลินเซี่ยลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรงเพื่อมองหล่อน “เจียเจีย มีอะไรหรือเปล่าลูก?”

เด็กสาวคลี่ยิ้มจาง ๆ แต่ประโยคที่หล่อนพูดหลังจากนี้กลับขัดแย้งกับรูปลักษณ์ภายนอกสิ้นดี “แม่ หนูคิดว่าแม่อย่ามัวนอนพะงาบให้เปลืองเงินค่ารักษาอยู่เลย หนูจะช่วยให้แม่ได้ไปเกิดใหม่เร็วขึ้น”

“รู้ตัวหรือเปล่าว่าแกพูดอะไรออกมา!” หลินเซี่ยมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่านี่เป็นสิ่งที่ลูกสาวของเธอจะกล้าพูดออกมา

“หนูไม่ใช่ลูกของคุณ” หลินเจียยังคงยิ้มอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะมองไปทางชายหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง “จริงไหมคะ? คุณพ่อ คุณแม่”

เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ใบหน้าที่ซีดเซียวของหลินเซี่ยพลันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ พยายามเปล่งเสียงถามอย่างสุดกำลัง “เธอเรียกพวกเขาว่าอะไรนะ?”

หญิงวัยกลางคนเดินลากส้นสูงเข้ามา มองผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยสีหน้าประชดประชัน พูดว่า “เธอได้ยินถูกแล้ว เจียเจียเป็นลูกสาวของจื้อหมิงกับฉัน ตอนนั้นฉันแอบไปคลอดหล่อนอย่างลับ ๆ แต่เพราะกลัวว่าเธออาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าวงการบันเทิงของฉัน ฉันก็เลยมาหาเธอ ขอให้เธอช่วยรับเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรม แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะผลักดันให้เจียเจียเข้าวงการบ้าง หลังจากนี้ฉันจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนของหล่อนอีก”

เมื่อได้ยินคำพูดจากปากหล่อน หลินเซี่ยก็ตกใจมากจนหน้ากากออกซิเจนเกือบหลุด “หล่อนเป็นลูกสาวของเธอกับหลิวจื้อหมิงจริงเหรอ? เป็นไปได้ยังไง? เธอกับสามีฉันแอบคบชู้กัน แล้วแอบไปคลอดลูกลับหลังฉันเนี่ยนะ?”

เธอพยายามยกเปลือกตาขึ้นด้วยความยากลำบาก มองไปที่หลิวจื้อหมิงราวกับจะขอคำยืนยัน

หลิวจื้อหมิงดันแว่นตาให้เข้าที่ ไม่กลัวการจ้องมองอย่างคาดคั้นของหลินเซี่ย แต่กลับจ้องกลับอย่างยั่วยุ “อวี้อิ๋งพูดถูก เจียเจียเป็นลูกของหล่อนกับผม”

หลินเซี่ยรู้สึกว่าในหัวสมองเต็มไปด้วยเสียงโครมคราม ราวกับมันกำลังจะระเบิด

“ใครใช้ให้เธอโง่เองล่ะ? ตอนที่ภูมิหลังของเราสองคนถูกเปิดเผย พ่อแม่ฉันก็รีบส่งตัวเธอกลับไปอยู่บ้านนอก แต่เธอไม่ยอมท่าเดียว กระเสือกกระสนจะกลับเข้ามาในเมืองเหมือนหมาจนตรอก จื้อหมิงกับฉันคบกันได้สักพัก เธอก็กลับมา”

“รู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นเธอถึงถูกขายให้กับคนขายเนื้อชื่อหวังต้าจ้วงนั่น?” เสิ่นอวี้อิ๋งขยับเข้าไปใกล้หูของเธอแล้วกระซิบ “เป็นเพราะฉันกับจื้อหมิงร่วมมือกันไงล่ะ เราหาทางกำจัดเธอให้พ้นทาง ทำให้เธอต้องติดอยู่ที่บ้านนอกตลอดไป ใครจะไปรู้ว่าไอ้เฉินเจียเหอนั่นจะช่วยเธอออกมาได้ ฉันจะบอกอะไรให้ ผู้ชายน่าเบื่อคนนั้นรักเธอยิ่งกว่าอะไรดี เขาไม่ยอมแต่งงานใหม่มาหลายปีแล้ว น่าเสียดาย เขากลับมอบความรักให้หมาเลี้ยงไม่เชื่องอย่างเธอ”

“สารเลว!”

ร่างกายของหลินเซี่ยสั่นเทาอย่างรุนแรง เธอไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ว่าความจริงทุกอย่างจะโหดร้ายขนาดนี้

เมื่อสิบห้าปีก่อน เธอพวกค้ามนุษย์จับตัวไปขายให้กับหวังต้าจ้วง คนขายเนื้อในหมู่บ้านของเธอ คืนนั้นเธอเกือบโดนฆ่าตายเพราะพยายามขัดขืนคนขายเนื้อที่สุดแสนจะน่าขยะแขยงคนนั้น ในที่สุดเฉินเจียเหออดีตสามีและแม่แท้ ๆ ของเธอก็บุกเข้ามาช่วยได้ทันเวลา

คืนนั้นยังเป็นคืนเดียวกันกับที่แม่ผู้ให้กำเนิดของเธอถูกหวังต้าจ้วงแทงจนตายคาที่ เหตุการณ์นั้นทำให้เธอมีปมทางจิตใจที่ร้ายแรงตั้งแต่นั้นมา จนไม่สามารถยอมรับการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนได้อีกต่อไป

ถึงอย่างนั้น หลิวจื้อหมิงผู้ที่ฉากหน้าเป็นสามีผู้แสนดีก็ยังคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ

เสิ่นอวี้อิ๋ง พี่สาวที่แสนดีคนนี้เลยถือโอกาสโน้มน้าวให้เธอยอมรับเลี้ยงเด็กหญิงวัยสามขวบคนหนึ่ง

เสิ่นอวี้อิ่งอ้างว่าเด็กคนนี้จะทำให้ชีวิตของเธอสมบูรณ์พร้อมด้วยทุกสิ่ง

ที่ผ่านมาเธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้พบกับพวกเขา ตลอดระยะเวลาหลายปีหลังจากนั้น เธอทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของเสิ่นอวี้อิ๋งแบบถวายหัวทั้งแรงกายแรงใจ สนับสนุนให้เธอได้เข้าสู่แวดวงบันเทิง โดยมีหลิวจื้อหมิงเป็นผู้จัดการส่วนตัวอีกทีหนึ่ง ส่วนเธอเป็นทั้งสไตล์ลิสต์ประจำตัวและพี่เลี้ยง

เธอเคยถูกแมวมองสนใจและติดต่อเซ็นสัญญาด้วย แต่ก็ปฏิเสธโดยไม่ลังเลเพราะเห็นแก่เสิ่นอวี้อิ๋ง

เสิ่นอวี้อิ๋งเองก็รักใคร่หลินเจียเหมือนเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองเสมอมา

พวกเขาทั้งสามรักใคร่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี และทำงานร่วมกันมานานมาก ไม่คาดคิดมาก่อนเลย ทุกคนที่เธอรักรวมหัวกันวางแผนชั่ว วางแผนชั่วมาโดยตลอด!

ประมาณหนึ่งเดือนก่อน ลูกศิษย์คนหนึ่งแยกตัวเธอออกไปคุยด้วยตามลำพัง บอกว่าตัวเองบังเอิญได้ยินเสิ่นอวี้อิ๋งกับหลิวจื้อหมิงแอบคุยกันว่าทำอย่างไรเธอถึงจะหายไปจากโลกนี้ จึงมาเตือนให้เธอระวังตัว

แต่ตอนนั้นเธอกลับคิดว่าลูกศิษย์คนนี้กำลังสร้างความขัดแย้ง เธออยู่กับเสิ่นอวี้อิ๋งมานานหลายปี รู้ทุกความลับเบื้องหลังอันสกปรกทั้งหมดของอีกฝ่าย และมั่นใจว่าตัวเองรับมือกับเสิ่นอวี้อิ๋งได้ ดังนั้นหลังจากฟังคำเตือนของลูกศิษย์แล้ว เธอก็ยังไม่ได้ใช้มาตรการตอบโต้ใด ๆ

ใครจะไปคิดว่าตัวเองจะมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างกะทันหันเข้าเสียก่อน

เธอคิดว่าต่อให้เสิ่นอวี้อิ๋งหาข้ออ้างมาไล่เธอออกจริง ๆ ก็คงไม่พ้นเหตุผลว่าเธอรู้ความลับส่วนตัวต่าง ๆ มากเกินไป

ที่ไหนได้ เธอเป็นฝ่ายเลี้ยงดูอุ้มชูลูกชู้ของสามีตัวเองเสียเอง

ความไร้ยางอายของผู้หญิงคนนี้ ช่างชั่วช้าเหนือจินตนาการ!

อุบัติเหตุทางรถยนต์ไม่ได้คร่าชีวิตเธอก็จริง แต่ลูกสาวที่เลี้ยงมากับมือแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะถอดหน้ากากออกซิเจนของเธอออก

“ตลกสิ้นดี ฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูลูกแทนพวกแก ตอนนี้พวกแกกลับรวมหัวกันเพื่อมาฆ่าฉันเหรอ?”

เสิ่นอวี้อิ๋งตอบกลับเบา ๆ “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอตาย ถึงยังไงเธอก็ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาหลายปีโดยที่ไม่เคยได้รับเครดิตอะไรกับใครเขา แต่เป็นเพราะเธอโชคดีเกินไป เธอมันก็แค่คนโง่คนหนึ่งที่มีพ่อเป็นบุคคลทรงอิทธิพลก็เท่านั้น”

“ฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลย ฉันไม่มีวันปล่อยให้เธอได้เจอเขาเด็ดขาด สมบัติทุกอย่างของเขาที่ควรเป็นของเธอ ฉันจะทำให้มันตกเป็นของฉันทั้งหมด อย่าหวังเลยว่าชาตินี้เธอจะมีโอกาสได้ปีนข้ามหัวฉันไป” ใบหน้าที่บอบบางและสวยจัดของเสิ่นอวี้อิ๋งเต็มไปด้วยความดุร้ายน่ากลัว

หลินเจียผลักหล่อนออกไป “คุณแม่คะ หยุดพูดไร้สาระกับหล่อนเถอะ หนูจะถอดหน้ากากออกซิเจนเดี๋ยวนี้”

หลินเซี่ยเฝ้าดูการเติบโตของลูกสาวที่เธอฟูมฟักทะนุถนอมมาสิบห้าปี เวลานี้กรงเล็บปีศาจของอีกฝ่ายกลับยื่นออกมาหมายปลิดชีพ ทำให้เธอตัวสั่นด้วยความโกรธ พ่นคำสาปแช่งอย่างดุเดือด “นังปีศาจเลี้ยงไม่เชื่อง!”

หลินเจียแสยะยิ้มให้เธอ “แม่ หนูจะเรียกคุณว่าแม่เป็นครั้งสุดท้าย อย่าโทษหนูเลย หนูก็อยากพาตัวเองเข้าวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่หนูจะต้องมีครอบครัวที่มีฐานะดี มีพ่อแม่ที่มีชื่อเสียง เป็นสิ่งที่ชาตินี้คุณไม่มีวันมอบให้หนูได้”

หลังจากที่หลินเจียพูดจบ หล่อนก็กางนิ้วมือทั้งห้าดึงหน้ากากออกซิเจนออกทันที

การหายใจของหลินเซี่ยเริ่มอ่อนลงเรื่อย ๆ เธอมองไปทางเสิ่นอวี้อิ๋ง จากนั้นใบหน้าซีดเซียวก็แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย พยายามเปล่งเสียงพูดออกมาเฮือกสุดท้าย “เสิ่นอวี้อิ๋ง ฉันก็มีอะไรอยากบอกเธอเหมือนกัน หลายปีที่ผ่านมา ฉันเก็บรวบรวมรูปถ่ายของเธอกับผู้ชายพวกนั้นบนเรือไว้เป็นอย่างดี ไหนจะหลักฐานที่เธอเข้าไปมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมทางการค้า ถ้าฉันตายเมื่อไหร่ เรื่องทั้งหมดจะถูกเปิดโปงทันที”

“หลิวจื้อหมิง คุณคงไม่รู้สินะว่าตัวเองถูกสวมเขาอยู่? ใครจะรู้ว่านังเด็กสารเลวคนนี้เป็นลูกของหล่อนกับผู้ชายคนไหนกันแน่ ฮ่าๆๆๆ!”

หลินเซี่ยที่ถูกถอดหน้ากากออกซิเจนไปแล้วดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นทั้งร่างก็กระตุกเกร็ง

เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในโลกนี้ แม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายก็สูดเข้าไปได้ยากเย็น

เสิ่นอวี้อิ๋งที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่าได้เริ่มอาละวาดเพราะตกใจในคำพูดของเธอ “พูดบ้าอะไรน่ะ? หลินเซี่ย ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ แกกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร? ใครก็ได้ยื้อชีวิตมันที!”

หลินเซี่ยฟังเสียงตะโกนโหวกเหวกที่เต็มไปด้วยความตระหนกของเสิ่นอวี้อิ๋ง มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเยาะเบาบาง จากนั้นการมองเห็นของเธอก็เริ่มพร่ามัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

เธอมองสามพ่อแม่ลูกที่อยู่ตรงหน้า จำได้ว่าเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตอนที่เสิ่นอวี้อิ๋งถูกพ่อแม่บุญธรรมพาตัวกลับมาที่บ้าน สมาชิกตระกูลเสิ่นก็มองเธอด้วยสายตาเฉยเมยไร้เยื่อใย ก่อนจะจัดการผลักไสเธอให้ออกจากบ้านตระกูลเสิ่นอย่างไม่ไยดี

ตลอดชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความล้มเหลวผิดพลาด

เธอทำให้คนที่ปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดีต้องผิดหวัง ถูกปีศาจพวกนี้หลอกใช้ จนสิ้นชีวิตลงด้วยจุดจบที่เลวร้าย

เธอนึกเสียใจขึ้นมาที่ไม่ตัดสินใจเปิดโปงความลับโสมมเหล่านั้นให้เร็วกว่านี้

แต่เธอเชื่อมั่นว่าหู่จื่อจะจัดการทุกอย่างแทนเธออย่างสาสม

หลังจากนั้นชายหญิงแพศยาคู่นี้จะถึงคราวล่มจม ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก น่าเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสได้เห็นวันนั้นกับตา

“โอ๊ย…” หลินเซี่ยรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าผาก เธอกลับมามีสติรู้ตัวอีกครั้ง

เธอตกอยู่ในความงุนงงทันที ผู้หญิงคนนั้นตะโกนเรียกให้คนช่วย เธอก็เลยรอดตายอีกครั้งเหรอ?

เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตากลับกลายเป็นคานไม้สีเข้ม

ไม่ใช่ห้องในโรงพยาบาล!

เธอรีบกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว พบว่ามันเป็นบ้านก่อด้วยอิฐที่เก่าโทรมตามอายุขัย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสับสนงุนงง

พอขยับร่างกายอีกครั้ง กลับไม่รู้สึกอ่อนปวกเปียกเหมือนตอนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย

ทันทีที่เธอยกผ้านวมผ้าซาตินลายดอกโบตั๋นหนัก ๆ ออกจากตัว ก็เห็นว่าตัวเองสวมเสื้อสเวตเตอร์สีแดงแบบเรียบง่าย ท่อนล่างสวมกางเกงผ้าสีดำ

ชุดนี้ทำไมดูเหมือนชุดที่เธอชอบใส่สมัยอายุยังน้อยเลยนะ?

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ แอบอยู่หลังประตู กำลังมองเข้ามาในห้องด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ

“หู่จื่อ?”

หลินเซี่ยเบิกตาโพลงเมื่อเห็นเด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงประตูอย่างชัดเจน เปิดปากเรียกเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น

เขาคือลูกชายของเฉินเจียเหอ หู่จื่อในวัยเด็กใช่ไหม?

เธอเห็นภาพหลอนอยู่หรืออย่างไรกัน?

เมื่อหู่จื่อได้ยินเสียงของเธอ เขาก็ยกหนังสติ๊กในมือขึ้นทันที เล็งเป้าไปที่เธออย่างแม่นยำ “ฮึ่ม ผู้หญิงไม่ดีขี้เกียจตัวเป็นขน ผมจะยิงคุณเดี๋ยวนี้แหละ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล

เริ่มเรื่องมาอย่างซับซ้อน ต่างฝ่ายต่างกุมความลับของกันและกัน รอดูเลยค่ะว่านางเอกย้อนกลับมาในวัยสาวแล้วจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดอย่างไรบ้าง

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 2 กลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย

ตอนที่ 2 กลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย

เมื่อเห็นท่าทางต่อต้านของเขารวมถึงหนังสติ๊กในมือ หลินเซี่ยจึงยกมือสัมผัสหน้าผากตัวเองที่เจ็บปวด ถึงรู้ว่าบริเวณดังกล่าวปูดโปนออกมา

ฉากนี้ช่างดูคุ้นเคยเสียจริง ๆ!

เธอหันมองไปทางประตูอีกครั้งด้วยสายตาว่างเปล่า

อย่าบอกนะว่านี่คือการเกิดใหม่?

คิดได้แบบนั้นเธอก็กระโดดลงจากเตียงเตา(1)ด้วยความเหลือเชื่อ คว้ากระจกกลมบานเล็กบนโต๊ะไม้เก่า ๆ มาถือไว้เพื่อส่องใบหน้า

ใบหน้าสวยงามของหญิงสาวแรกรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะปรากฏขึ้นในกระจก

นี่คือเธอสมัยสาว ๆ!

แถมยังเป็นเธอในช่วงที่เพิ่งจะแต่งงานกับเฉินเจียเหอ

สายตาของเธอจับจ้องไปที่ปฏิทินบนผนังอีกครั้ง ตัวเลขบนปฏิทินบ่งบอกว่าตอนนี้เธอได้ทะลุมิติมาเกิดใหม่อีกครั้งแล้วจริง ๆ

เธอย้อนเวลากลับมาในเดือนสิบสองของปี 1988 ซึ่งเป็นวันที่สามของการแต่งงานระหว่างเธอกับเฉินเจียเหอ

ในเวลานั้นเธอเพิ่งถูกส่งตัวกลับมายังบ้านเกิดของตัวเองในชนบท จากนั้นก็ถูกย่า อารอง และคนอื่น ๆ จัดแจงให้เธอไปแต่งงานกับใครบางคนอย่างรีบร้อน

เธอแต่งงานกับเฉินเจียเหอซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีอายุมากกว่า และมีลูกชายวัยห้าขวบ

เดิมทีเธอไม่เต็มใจ แต่หลังจากคิดทบทวนดูอีกที เฉินเจียเหอทำงานอยู่ในไห่เฉิง บางทีการแต่งงานกับเขาอาจทำให้เธอสามารถกลับไปโลดแล่นอยู่ในเมืองได้อีกครั้ง ดังนั้นจึงตอบตกลง

หลังจากแต่งงานได้สองวัน เธอก็ไม่ยอมให้เฉินเจียเหอนอนร่วมเตียงอีก

แต่เธอขี้เกียจเกินกว่าจะลงจากเตียง เลยเอาแต่นอนหลับอุตุอยู่บนเตียงนี้

เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าเช้าวันที่เธอต้องกลับไปเยี่ยมบ้านในชาติที่แล้ว หู่จื่อใช้หนังสติ๊กยิงหน้าผาก จากนั้นเธอก็ร้องเอะอะโวยวาย และไม่ได้กลับไปหาครอบครัวเดิม

หู่จื่อตกใจจนเตลิดหนีออกจากบ้านไปด้วยเหตุนี้ จากนั้นเขาก็แขนหัก

ตอนนี้ เมื่อเธอมองไปที่เด็กน้อยซึ่งกำลังจ้องเขม็งมองเธอจากหน้าประตู เธอกลับรู้สึกเคลิ้มไปด้วยความสุข รีบสวมรองเท้าแล้ววิ่งออกจากห้อง

หู่จื่อคิดว่าหลินเซี่ยต้องการไล่ตามเขาเพื่อลงโทษ เขาก็เก็บหนังสติ๊ก แล้ววิ่งซอยเท้าสั้น ๆ ไปหลบที่ไหนสักที่

หลินเซี่ยก้าวข้ามธรณีประตู ลมหนาวด้านนอกพัดโชยมาปะทะ ทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้าน

มุมกำแพงอิฐทางทิศใต้ของลานบ้าน ชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งสวมเสื้อนอกสีเทา ใบหน้าเคร่งขรึมและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน กำลังขนซังข้าวโพดมาสร้างห้องน้ำกลางแจ้ง

พอหลินเซี่ยเห็นฉากนี้ ความทรงจำเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในสมองของเธออีกครั้ง

ช่วงแรก ๆ ที่เธอแต่งงาน เธอเคยออกปากว่าไม่ชอบห้องน้ำในบ้านที่ไม่มีอากาศถ่ายเท เฉินเจียเหอรับฟังเงียบ ๆ จากนั้นก็ฝ่าลมหนาวออกไปขนซังข้าวโพดจากกลางทุ่งกลับมา แล้วลงมือสร้างห้องน้ำที่แข็งแรงและมีอากาศถ่ายเทอย่างเพียงพอ

เมื่อมองไปที่ร่างสูงใหญ่นั้น หลินเซี่ยก็สูดจมูก ดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัวด้วยหยดน้ำตา

ขณะนี้เธอสวมเสื้อผ้าเนื้อบาง ยืนดูผู้ชายคนนั้นทำงานด้วยอาการเหม่อลอย หู่จื่อที่วิ่งไปหลบอยู่หลังประตูไม่เห็นเธอวิ่งไล่ตามมา จึงคิดว่าหลินเซี่ยยอมแพ้แล้ว ทันใดนั้นก็รวบรวมความกล้าหาญขึ้นมาอีกครั้ง จึงหยิบเอาก้อนหินลักษณะแหลมคมบนพื้นขึ้นมา กดก้อนหินเข้ากับหนังสติ๊ก แล้วยิงใส่เธออีกครั้ง

ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ฝีมือของเด็กชายค่อนข้างแม่นยำ

หินก้อนนั้นพุ่งปะทะหลังมือของหลินเซี่ยแบบไม่พลาดเป้า

หลินเซี่ยร้องโอ๊ยออกมาอีกครั้ง

เมื่อยกมือขึ้น ถึงเห็นว่าผิวหนังบริเวณหลังมือมีเลือดไหลซึมออกมา พร้อมกับหินรูปเพชรก้อนเล็ก ๆ ที่กลิ้งไปตามพื้น

เธอเงยหน้าขึ้น เห็นว่าตัวการที่ใช้หนังสติ๊กทำร้ายเธอกำลังมองมาที่เธออย่างท้าทาย

แถมยังทำเสียงล้อเลียนด้วย

เจ้าเด็กนี่ กล้าดียังไง?

“เฉินหู่จื่อ!”

หลินเซี่ยเปล่งเสียงคำรามลั่นราวกับสิงโตเหอตง ก้าวเท้ายาว ๆ ตรงไปหา แล้ววาดขาเตะก้นเจ้าเด็กจอมซนคนนั้นทันที

หู่จื่อที่กำลังภูมิใจกับฝีมือการยิงอันแม่นยำของตัวเองไม่คาดคิดว่าเธอจะไล่ตามมาเตะก้นของเขาอย่างจัง เขารีบกุมบั้นท้ายตัวเองไว้ด้วยความอับอายและโกรธเคือง ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง

“ผู้หญิงไม่ดี กล้าดียังไงมาเตะผม?”

หลินเซี่ยไม่ยอมเขาเช่นกัน อธิบายกับเขาด้วยเหตุผล “ก็เธอมายิงฉันก่อนทำไม?”

หู่จื่อในตอนเด็กเป็นเด็กแสบจอมดื้อรั้น คำสั่งสอนดี ๆ ใช้ไม่ได้ผลกับเขาเลย นอกจากนี้ เธอจำได้ว่าชาติที่แล้วตัวเองมักจะวางตัวเย่อหยิ่งและเจ้ากี้เจ้าการขนาดไหน เมื่อย้อนเวลามาเกิดใหม่อีกครั้ง เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เธอก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

อีกอย่าง เพื่อรับมือกับเด็กแสบแบบเขาให้อยู่หมัด ผู้ใหญ่จะต้องโหดกว่า เอาชนะความร้ายกาจด้วยความร้ายกาจ

“ดูสิ มือของฉันเลือดออกเพราะเธอนะ” หลินเซี่ยพลิกหลังมือตัวเองขึ้นมาแล้วสะบัดอย่างแรงต่อหน้าเขา

หู่จื่อรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่โต้กลับว่า “ใครใช้ให้คุณเป็นผู้หญิงขี้เกียจ ใครใช้ให้คุณมาอยู่บ้านย่าของผม ใครใช้ให้คุณนอนกับพ่อของผมกันล่ะ?”

หลินเซี่ยอธิบาย “ฉันแต่งงานกับพ่อของเธอ เราสองคนต้องนอนด้วยกันอยู่แล้ว และต่อจากนี้ไปฉันก็จะกลายเป็นแม่ของเธอด้วย”

“คุณไม่ใช่แม่ผม แม่ผมตายไปนานแล้ว คุณมันแม่เลี้ยงใจร้าย”

“แม่เลี้ยงก็แม่เหมือนกัน”

ทั้งสองเผชิญหน้ากัน เหมือนไก่ชนสองตัวที่พร้อมจิกอีกฝ่ายเสมอ ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร

เฉินเจียเหอขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่นี่ เขาวางซังข้าวโพดในมือลง แล้วเดินมาทางนี้

“ผู้หญิงไม่ดี ออกไปจากบ้านย่าผมนะ ผมไม่ต้องการให้คุณมาเป็นแม่ของผม แล้วผมก็ไม่ยอมให้ย่าเอาแต่ปรนนิบัติคุณทั้งวันด้วย”

เมื่อได้ยินคำกล่าวหาจากปากเด็กน้อย หลินเซี่ยก็นึกถึงพฤติกรรมอันน่าเอือมระอาในชาติที่แล้วหลังจากที่ตัวเองเพิ่งจะแต่งงานกับเฉินเจียเหอ ทันใดนั้นก็นึกอยากตบหน้าตัวเองขึ้นมา

เธอเคยชินกับชีวิตที่สุขสบายตอนอยู่ในเมือง แต่แล้วจู่ ๆ ก็ถูกส่งตัวมาอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่แห้งแล้งห่างไกลความเจริญโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวรับมือมาก่อน อีกทั้งสภาพอากาศในบ้านนอกช่วงฤดูหนาวก็หนาวเย็นเกินไป เธอจึงเอาแต่นอนห่มผ้าอยู่บนเตียง อาศัยคนอื่นคอยเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำให้ถึงที่
ในขณะที่เธอกำลังประจานตัวเองอยู่ในใจ เธอก็ยังแสร้งทำตัวเป็นผู้หญิงใจร้ายเมื่อเผชิญหน้ากับหู่จื่อ “ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะอยู่กับพ่อของเธอไปตลอดชีวิต ต่อให้เธอไม่เห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วย”

กลับมาชาตินี้ เธอจะไม่เลือกเส้นทางชีวิตผิดพลาด และทอดทิ้งพวกเขาอีกต่อไป

เฉินเจียเหอหยุดชะงักเล็กน้อย นัยน์ตาลึกล้ำของเขามองไปยังหญิงสาวที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะความหนาวเย็น ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่ยอมแพ้

อยู่กับเขาไปตลอดชีวิต

หู่จื่อเถียงเธอไม่ได้ ทันทีที่เขาเห็นเฉินเจียเหอกำลังเดินมาทางนี้ เขาก็เริ่มร้องไห้และฟ้องว่า “พ่อ ผู้หญิงไม่ดีทำร้ายผม หล่อนเตะก้นผมด้วย”

“หุบปาก”

สายตาของเฉินเจียเหอเลื่อนจากหน้าผากที่ปูดบวมของหลินเซี่ย เรื่อยลงมายังหลังมือที่เปื้อนเลือดของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว คว้ามือของเธอไว้ ก่อนจะหันหลังจูงมือเธอเข้าไปที่ห้องโถง

หลังจากก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง คว้าแขนหู่จื่อไว้ด้วยมืออีกข้าง จากนั้นก็จับจูงทั้งสองคนซ้ายขวาให้เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน

“ไปยืนหันหน้าเข้ากำแพงซะ”

หลังออกคำสั่ง เขาก็คว้าหนังสติ๊กจากมือของหู่จื่อมาเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะพาหลินเซี่ยมานั่งลงที่ขอบเตียง แล้วหันไปค้นหาบางอย่างภายในห้อง

แม่เฒ่าโจวคุณย่าของเฉินเจียเหอรีบวิ่งออกมาจากห้องครัวทันทีเมื่อได้ยินเสียงเอะอะ เมื่อเห็นว่าหลังมือของหลินเซี่ยได้รับบาดเจ็บจนเลือดออก แล้วมองไปเห็นว่าหลานชายกำลังถูกทำโทษให้ยืนหันหน้าเข้ากำแพง นางก็หน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ

“เจียเหอ ในตู้มีผ้าก๊อซอยู่ เดี๋ยวย่าไปเอามาให้”

“ครับ”

เฉินเจียเหอหยิบผ้าขนหนูออกมาประคบหน้าผากที่ปูดนูนของเธอเบา ๆ จากนั้นก็จับมือเย็นเฉียบของเธอเอาไว้ แล้วบรรจงเช็ดคราบเลือดบนหลังมือ

มือของหลินเซี่ยถูกเขาจับไว้แน่น เธอจึงถือโอกาสจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาซึ่งอยู่ใกล้เธอมาก ๆ ใกล้เสียจนสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาที่ลึกล้ำของเขา

จากนั้นเธอก็ร้องไห้อีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้

เมื่อเห็นเธอร้องไห้ เฉินเจียเหอก็คิดว่าเธออาจจะเจ็บ จึงหยุดเช็ดทำความสะอาดแผลไปชั่วครู่

หลังจากเฉินเจียเหอเช็ดแผลเสร็จแล้ว คุณย่าโจวก็คลี่ผ้าก๊อซผืนใหญ่ออกเพื่อให้เขาใช้พันแผล

หลินเซี่ยร้องบอกเขา “เอาแค่พอปิดแผลมิดก็พอแล้ว ไม่ต้องห่อทั้งหมดหรอก”

น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล เฉินเจียเหอชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้ามองเธออย่างสงบ

ดูเหมือนว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้หญิงที่มักจะตะคอกใส่เขาอย่างรุนแรงตลอดสองวันที่ผ่านมา จะพูดคุยกับเขาอย่างอ่อนโยนแบบนี้

“อืม”

เฉินเจียเหอหายาเม็ดสีเหลืองจากในตู้ จากนั้นก็บดมันเป็นผงแล้วโรยลงบนแผล จากนั้นตัดผ้าก๊อซเป็นขนาดที่พอเหมาะ แล้วพันรอบมือเธออย่างระมัดระวัง

“นี่คือยาอะไรเหรอคะ?” เธอถามด้วยความสงสัย

“ออกซีเตตราไซคลีน ยาป้องกันการติดเชื้อ” ชายคนนั้นตอบกลับสั้น ๆ โดยไม่เงยหน้ามอง จดจ่ออยู่กับการเย็บผ้าก๊อซด้วยด้ายธรรมดา

หลังจากพันแผลเสร็จแล้ว คุณย่าโจวก็หยิบเสื้อคลุมลายเกล็ดหิมะสีแดงมาให้เธอสวมใส่ หญิงชราขอโทษขอโพยเธอด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย อย่าไปถือสาเด็กโง่คนนั้นเลย เขาคงไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ไว้ฉันค่อย ๆ สั่งสอนเขาในภายหลัง”

ทันทีที่คุณย่าโจวพูดจบ เด็กชายที่เพิ่งถูกลงโทษให้ไปยืนอยู่ตรงมุมห้องก็ส่งเสียงสะอื้นไห้ “เด็กคนนี้น่าสงสาร ตอนเขาอายุได้สองหรือสามขวบก็กำพร้าแม่เสียแล้ว”

หลินเซี่ยมองไปทางเด็กชายตัวน้อยที่กำลังสะอื้นไห้จนตัวโยน มุมปากของเธอกระตุกเล็กน้อย

ชาติที่แล้วเธอคงตามืดบอดไปจริง ๆ ถึงได้เกลียดชังเด็กน้อยที่หน้าตาน่ารักคนนี้

เฉินเจียเหอเดินไปหาเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ก้มมองลงไปที่ลูกชายของเขาซึ่งถูกลงโทษให้ยืนอยู่ตรงมุมห้อง “สำนึกผิดแล้วหรือยัง?”

“พ่อนิสัยไม่ดี พวกคุณทุกคนเป็นคนไม่ดีกันหมด” หู่จื่อจ้องมองเขาอย่างดุเดือดด้วยดวงตาแดงก่ำ

เฉินเจียเหอมองไปที่เด็กชายตัวน้อยซึ่งเอาแต่ต่อปากต่อคำกับตัวเอง ไม่ได้ลงมือทุบตีหรือดุด่าลูกชาย

เด็กแสบเอ๊ย เขาเคยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะยอมรับหลินเซี่ย แต่แค่สองวันผ่านไปก็กลับคำเสียแล้ว
……………………………………………………………………………………………………………….
(1) เตียงเตา หรือ กัง 炕 คือเตียงหรือแท่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น ด้านบนจะปูด้วยฟูกหรือเบาะรองนั่ง พบได้ทั่วไปในบ้านเรือนของชาวจีนทางเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น

สารจากผู้แปล
ทำผิดเรื่องอะไรไว้ก็ค่อยๆ แก้ไขไปทีละเรื่องล่ะค่ะ คิดซะว่าเป็นการฝ่าด่านเคราะห์เพื่อมีชีวิตชาติใหม่ที่ดี
ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 3 อีกไม่นานก็กลายเป็นชายชรา

ตอนที่ 3 อีกไม่นานก็กลายเป็นชายชรา

คุณย่าโจวมองไปที่เหลนผู้น่าสงสาร จากนั้นก็มองไปที่หลานชายซึ่งกำลังทำหน้าดำคร่ำเครียด นางได้แต่ห่อไหล่งองุ้มลงราวกับว่าไม่รู้จะทำอย่างไรดี

สิ่งสำคัญที่สุดคือนางกลัวว่าหลินเซี่ยจะรู้สึกเสียใจกับชีวิตแต่งงาน เมื่อเห็นท่าทางของสองพ่อลูกคู่นี้

หลานชายของนางอายุเกือบสามสิบแล้ว ในที่สุดเขาก็แต่งภรรยาใหม่ได้ ฉะนั้นเด็กคนนี้ไม่ควรรบกวนเวลาของทั้งสอง

“หู่จื่อ กลับไปที่ห้องโถงกับย่าทวด” คุณย่าโจวเดินไปจับมือหู่จื่อ

หู่จื่อมองไปที่เฉินเจียเหอราวกับจะถามว่าพ่อจะเลือกผมหรือเลือกผู้หญิงคนนี้?

เฉินเจียเหอสบตาเขา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “มัวมองอะไรอยู่? ยังไม่สำนึกผิดอีกหรือไง? ออกไปผิงไฟกับคุณย่าทวดก่อน เดี๋ยวพ่อจะออกไปจัดการกับลูกทีหลัง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หู่จื่อก็เชิดหน้าแล้วเริ่มร้องไห้ประท้วงอีกครั้ง

เฉินเจียเหอเงื้อมือขึ้นด้วยความโกรธ

เมื่อเห็นแบบนี้ หลินเซี่ยก็ย่องลงมาจากขอบเตียง และพูดกับเฉินเจียเหอว่า “คุณออกไปกับคุณย่าก่อนได้ไหมคะ? ฉันขอคุยอะไรกับเขาหน่อย”

ดวงตาลึกล้ำของเฉินเจียเหอกวาดมองทั้งสองคน

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากปล่อยให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง

หลินเซี่ยส่งยิ้มให้เขา “ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันไม่ทุบตีเขาหรอก”

เมื่อมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ เฉินเจียเหอก็สับสนมึนงงไปชั่วขณะ

ในที่สุดเขาก็ดึงมือผู้เป็นย่าออกไปจากห้องแต่โดยดี

เมื่อเห็นพ่อของเขาจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ใบหน้าของหู่จื่อก็ทรุดลง อยากจะร้องไห้

ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะเชื่อฟังผู้หญิงไม่ดีคนนี้มากจริง ๆ

เมื่อกี้นี้หลินเซี่ยเตะก้นของเขาอย่างแรง แม้ว่าเขาจะสวมกางเกงผ้าฝ้าย แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บไปถึงข้างใน

พอเห็นว่าหลินเซี่ยเริ่มเดินเข้ามาใกล้เขา ทันใดนั้นเขาก็ย่อตัวลงอย่างระมัดระวังแล้วถอยกรูดไปที่มุมกำแพง ขณะเดียวกันก็กำหมัดแน่นพร้อมชูกำปั้นขึ้น ทำท่าทางไม่พอใจ “อย่าเข้ามานะ”

เมื่อเห็นหู่จื่อตอนที่เขายังตัวเล็ก ๆ แบบนี้ หลินเซี่ยอดรู้สึกปวดแปลบในใจไม่ได้ เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ของหู่จื่อตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ชาติที่แล้ว เธอแค่อาศัยเฉินเจียเหอเป็นสะพานเพื่อกลับเข้าไปในเมืองเท่านั้น จึงไม่มีความผูกพันใด ๆ กับพวกเขา

หลังจากเธอแต่งงานแล้วหู่จื่อพยายามสร้างความลำบากใจให้กับเธอ เธอก็ไม่ลังเลที่จะโจมตีเขาด้วยสารพัดคำพูดจาที่เลวร้าย หรือแม้กระทั่งใช้ความรุนแรงอย่างเย็นชา

เป็นการสร้างบาดแผลที่ทำร้ายจิตใจเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างมาก

จนกระทั่งเด็กน้อยซุกซนคนนี้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขากลายเป็นคนมีความคิดอ่านและมีเหตุผล เขาคิดด้วยซ้ำว่าสาเหตุที่เธอทอดทิ้งเฉินเจียเหอเป็นเพราะเขา

ดังนั้นเขาจึงพยายามตามหาเธอมาโดยตลอด โดยหวังว่าเธอจะกลับไปใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเฉินเจียเหออย่างที่เคยเป็น

เวลานั้นเองที่หู่จื่อเล่าความจริงเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเขาให้เธอฟัง

ตอนที่เธอถูกล่อลวง หลังจากหย่าขาดกับเฉินเจียเหอไปแล้ว เฉินเจียเหอยังคอยช่วยเหลือให้เธอรอดพ้นจากความหายนะหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่เธอยังรู้สึกได้ว่าเฉินเจียเหอนั้นรักเธอจากใจจริง

แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เธอประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายจนเกือบถูกทำลายทั้งชีวิตโดยหวังต้าจ้วง จนเธอไม่สามารถเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนได้อีกต่อไป แถมเธอยังมีลูกสาวบุญธรรมที่ต้องเลี้ยงดู จึงล้มเลิกความคิดว่าจะกลับไปหาเขา

พอคิดถึงเรื่องนี้ ภายในใจหลินเซี่ยก็เกิดอารมณ์หลากหลาย ไม่น่าเชื่อเลยว่าชาติก่อนเธอจะเลี้ยงเด็กปีศาจให้โตมาฆ่าตัวเอง

ในขณะที่หู่จื่อเป็นเทพบุตรตัวน้อยอย่างแท้จริง

เธอมองหู่จื่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก สาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันทอดทิ้งสองพ่อลูกอีกต่อไป

“เธอรู้ไหมว่าพ่อตัวเองจะอายุเท่าไหร่หลังผ่านวันปีใหม่ไปแล้ว?” หลินเซี่ยถาม ก้มมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มกลมโตของหู่จื่อ

หู่จื่อไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงไม่ดีถึงถามคำถามนี้กับเขา จึงส่ายหัวอย่างว่างเปล่า

หลินเซี่ยพูดต่อ “หลังวันปีใหม่เขาจะอายุสามสิบแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะกลายเป็นชายชรา”

ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะทะเลาะกัน ชายหนุ่มจึงคอยแอบฟังอยู่นอกประตู แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง “!!!!”

“ถ้าเธอไล่ฉันออกไปจากที่นี่ อีกหน่อยพ่อของเธอก็จะเป็นได้แค่ท่อนไม้โดดเดี่ยว”

หลินเซี่ยมองเขาแล้วถามต่อ “รู้ไหมว่าท่อนไม้โดดเดี่ยวคืออะไร?”

หู่จื่อทำหน้ามุ่ย ไม่สนใจตอบคำถาม

“คือคนโสดที่ไม่มีภรรยาสักที และอาจจะต้องอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต”

หู่จื่อหลับตาลง

ลุงเซี่ยก็เป็นคนโสดเหมือนกัน ทุกครั้งที่เขาแวะมาหาพ่อ พ่อจะดุลุงเซี่ยอยู่เสมอ ถามลุงเซี่ยว่าจะครองตัวเป็นโสดไปอีกนานแค่ไหน

แน่นอนว่าเขาไม่เคยอยากให้พ่อกลายเป็นคนโสด

แต่พอลองคิดดูอีกที พ่อก็ยังมีเขาอยู่ทั้งคนนี่นา

เขาไม่สนใจหรอกว่าอีกหน่อยพ่อจะเป็นอย่างไร

อีกอย่าง แม่ของเสี่ยวฮวาที่อยู่ร่วมอาคารเดียวกันในเขตโรงงาน ยังอยากแต่งงานกับพ่อของเขาเลย

“เธอเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วหรือยัง?”

หู่จื่อถูกดึงออกจากห้วงความคิดด้วยเสียงของเธอ เขาตอบอย่างโกรธ ๆ “เข้าแล้ว อยู่อนุบาลสองแล้วด้วย”

พูดแล้วก็เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

แหงนหน้าจนคางแทบชี้ฟ้า

“แล้วเธอมีแม่ไปรับกลับจากโรงเรียนอนุบาลเหมือนเด็กคนอื่นเขาหรือเปล่าล่ะ”

หูจื่อ “!!!”

หลินเซี่ยจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ถามต่อไปว่า “พวกเขามีเสื้อผ้าชุดใหม่ ๆ ใส่ ห่ออาหารอร่อย ๆ ที่แม่ของพวกเขาทำให้ไปเรียนด้วยไหม? แล้วพวกเขาหัวเราะเยาะเรื่องที่เธอเป็นเด็กไม่มีแม่หรือเปล่า?”

หู่จื่องับปากทันที สะอึกสะอื้นเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง

ใบหน้าของเฉินเจียเหอมืดมนลงทันที ในขณะที่เขายืนอยู่ข้างนอกเพื่อฟังความเคลื่อนไหวข้างใน

ยังไม่ทันจะเปิดประตูและก้าวเข้าไปห้ามทัพ น้ำเสียงเย่อหยิ่งของหลินเซี่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ตราบใดที่เธอเชื่อฟังและยอมรับฉันเป็นแม่ จากนี้ไปฉันจะปกป้องเธออย่างดีที่สุด และจะทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่เพียบพร้อมที่สุดในโรงเรียนอนุบาล”

“เด็กที่เพียบพร้อมที่สุดคืออะไร?” ใบหน้าที่เศร้าหมองของหู่จื่อฟื้นคืนพลังในทันที เขาเงยหน้าขึ้นและมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็น

“หมายถึงเด็กที่มีทุกอย่าง จนคนอื่นเห็นแล้วต้องอิจฉา”

หลินเซี่ยกรีดนิ้วนับทีละนิ้ว “มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ห่อของว่างไปโรงเรียนทุกวัน มีกระเป๋าใส่ดินสอเก๋ ๆ ไปอวดเพื่อน มีคุณแม่คนสวยไม่น้อยหน้าใคร พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ เราสามคนยังได้ไปเที่ยวสวนสาธารณะด้วยกันอีก…”

ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นว่าแววตาของเด็กน้อยเป็นประกาย

มุมปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยืนตัวตรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันจะให้เวลาเธอคิดสามวินาที”

หลินเซี่ยเริ่มนับถอยหลัง “สาม… สอง…”

“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยทำกระดิ่งลมให้หน่อยได้ไหม?” ทันใดนั้นหู่จื่อก็มองเธอแล้วถาม

กระดิ่งลมที่ว่าเป็นการบ้านที่คุณครูมอบหมายให้ในช่วงวันหยุดฤดูหนาว พ่อของเขาทำไม่ได้ ปู่ทวดและย่าทวดก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน ป่านนี้การบ้านยังไม่เสร็จสักที

นัยน์ตาของหลินเซี่ยวูบไหว จากนั้นเธอก็ยืดคอและตอบว่า “ฉันทำให้ได้อยู่แล้ว”

ดวงตาสีเข้มของหู่จื่อเป็นประกายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ตอนนี้เลยสิ”

“แต่ฉันมือเจ็บเพราะเธอนะ จะทำเลยได้ยังไง? ขอฉันพักสักสองวันแล้วกัน ถ้ามือหายดีแล้วจะทำให้นะ”

สายตาของหู่จื่อจดจ้องไปที่มือซึ่งพันด้วยผ้าก๊อซของหลินเซี่ย ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเจือความรู้สึกผิด ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปร้องขอเรื่องอื่น “งั้นคุณช่วยขอหนังสติ๊กคืนจากพ่อให้ผมหน่อยได้ไหม?”

หลินเซี่ยกลอกตา “จะเอาหนังสติ๊กไปทำอะไรอีกล่ะ? เอามายิงฉันอีกแล้วเหรอ?”

หู่จื่อมองมือที่พันด้วยผ้าก๊อซของเธออีกครั้ง ใบหน้าน้อย ๆ แสดงความละอายใจ รีบอธิบายว่า “ไม่ใช่ ผมจะเอาไปยิงกระต่าย ลุงเอ้อร์เลิ่งบอกว่าในป่ามีกระต่ายหลายตัวเลย”

“เด็กน้อยอย่างเธอยิงกระต่ายเป็นด้วยเหรอ?”

เมื่อเผชิญกับสายตาที่น่าสงสัยของหลินเซี่ย หู่จื่อพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เธอมั่นใจ

“อย่าดูถูกผมเชียวนะ ถ้าคุณเอามันมาคืนผมได้ ผมจะไปยิงกระต่ายมาให้ดู”

“ถ้าช่วงนี้เธอทำตัวดี ฉันจะพาเธอเข้าป่าไปยิงเอง” หลินเซี่ยมองหน้าเขา ตีเหล็กในขณะที่ยังร้อน “เธออยากได้อะไรอีก ถึงจะยอมรับฉันเป็นแม่เลี้ยง?”

หูจื่อเป็นปีศาจตัวน้อย ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะผูกมิตร “ผมยังไม่ยอมรับคุณง่าย ๆ หรอก เว้นแต่ว่าคุณจะขยันขันแข็งให้มากกว่านี้ ไม่ให้ย่าทวดคอยปรนนิบัติอีก”

เมื่อได้ยินคำของ่าย ๆ จากปากเด็กน้อย หลินเซี่ยก็ละอายใจจนอยากประณามตัวเองอีกครั้ง

เธอยกมือขึ้นเพื่อให้สัญญาว่า “จากนี้ไป ฉันสัญญาว่าจะทำงานบ้านให้มากขึ้น เธอจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน”

ว่าแล้วหลินเซี่ยก็เอื้อมไปจับมือเล็ก ๆ ของเขา เกี่ยวก้อยสัญญา “เราจะเป็นสหายร่วมรบในการเปลี่ยนแปลงนับจากนี้เป็นต้นไป เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อต้านหรือทำร้ายฉันอีก ไม่งั้นฉันจะจับเธอไปตุ๋นเหมือนกระต่าย”

หู่จื่อ “!!!”

“ไป ไปที่ห้องโถงกันเถอะ”

ขณะที่หลินเซี่ยจับมือหู่จื่อ ดวงตาของหู่จื่อก็เอาแต่จับจ้องมองมือคู่นั้น ในใจอยากสะบัดให้หลุดพ้นซะจริง ๆ

แต่เขากลับทำแบบนั้นไม่ได้

มือของเธอทั้งนุ่มและอบอุ่นมาก

นี่ใช่ความรู้สึกของการมีแม่หรือเปล่านะ?

ถ้าผู้หญิงไม่ดีคนนี้สามารถกลับใจเป็นคนดีได้แล้วละก็ ดูเหมือนว่าการมีแม่เลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องแย่

เขายอมให้หลินเซี่ยจูงมือออกจากห้อง

ชายร่างสูงเดินวกไปวนมาอยู่ภายในลานบ้าน

เมื่อเห็นหนึ่งคนตัวใหญ่และหนึ่งคนตัวเล็กเดินออกมาโดนจับมือกัน เขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

หู่จื่อรับรู้ถึงสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นพ่อยืนมอง เขาก็หน้าแดงก่ำ รีบสะบัดมือให้หลุดจากหลินเซี่ยอย่างเคอะเขิน

จากนั้นเด็กชายก็วิ่งนำหน้าไปก่อนใคร

“เขา…”

เฉินเจียเหอชี้ไปที่หู่จื่อซึ่งวิ่งปรู๊ดเข้าห้องโถงไปแล้ว

หลินเซี่ยส่งยิ้มให้เขา พูดน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “ฉันเจรจาสำเร็จแล้วค่ะ”

เฉินเจียเหอมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าซึ่งมีรอยยิ้มสดใส ดวงตาลึกล้ำของเขาขยับเล็กน้อย

ทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงเปลี่ยนไปแบบนี้ล่ะ?

หรือเป็นเพราะหล่อนกลัวว่าเขาจะกลับคำ แล้วส่งหล่อนกลับไปหาตระกูลหลินแทนที่จะพาหล่อนกลับเข้าเมือง?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล

เริ่มแผนการสมานฉันท์กับคนเล็กก่อน โอกาสสำเร็จน่าจะสูงอยู่นะ

ไหหม่า(海馬)

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้