ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน
ข้อมูลเบื้องต้น
ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน (นิยายแปล)
หวังหลิน ชายหนุ่มผู้ค้นพบว่าหนทางการฝึกเซียนช่างน่าเย้ายวนยิ่ง
เซียนเหาะเหินเดินอากาศได้ดั่งใจนึก จึงมุ่งมั่นทำการทดสอบเข้าสำนักเหิงยั่ว ทว่าเขากลับสอบตก!
หวังหลินมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ หลังล้มเหลวกลับมาจึงอยากจะทดสอบอีกครั้งด้วยการออกเดินทางไปสำนักด้วยตนเอง
แต่แล้วเขาก็ได้เจอลูกปัดวิเศษที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล!
ที่นั่นหวังหลินพบเจอผู้เป็นทั้งสหายและอาจารย์นามว่า ซือถูหนาน
แต่ด้วยโลกแห่งการฝึกเซียนช่างโหดร้ายนัก ผู้แข็งแกร่งกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอ การอยู่รอดบนโลกนี้ได้ใจต้องนิ่งและโหดเหี้ยม!
หวังหลินถือคติใครดีมาดีกลับ ใครร้ายมาให้ร้ายกลับไปนับร้อยนับพันเท่า!
กระนั้นโลกแห่งผู้ฝึกตนช่างเป็นช่วงเวลาฝึกฝนอันยาวนาน ญาติสนิทมิตรสหายที่ไม่ได้ฝึกเซียนต่างก็ตายหายไปตามกาลเวลา
กระทั่งวันหนึ่งหวังหลินหนีกลับมาบ้าน แต่พบว่าตระกูลหวังถูกฆ่าล้างบางทั้งตระกูล!
โลกแห่งเซียนช่างโหดเหี้ยม
ไม่ว่าจะเป็นใคร หากไปขัดใจเซียน ระวังจะไม่มีเหลือแม้แต่เถ้าธุลี…
*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้บริษัท Ink Stone Entertainment ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ: China Literature
เรื่อง: ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน
ผู้เขียน: เอ่อร์เกิน
ผู้แปล: Keepwalk
---
[仙逆] / [耳根]
©2019 Ink Stone Entertainment Co., Ltd. All rights reserved.
Thai translation rights arranged with China Literature by Ink Stone Entertainment Co., Ltd.
ตอนที่ 1 จากบ้าน
เด็กหนุ่มนามไท้จูนั่งอยู่ริมถนนของหมู่บ้านดวงตาเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ชื่อจริงของเขาคือหวังหลิน แซ่หวังเป็นตระกูลช่างไม้ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่บ้านและมีร้านค้าสาขาอยู่มากมาย
พ่อของไท้จูเป็นบุตรคนที่สองของภรรยารองจึงไม่สามารถสืบทอดธุรกิจครอบครัวได้ หลังจากแต่งงานจึงออกจากเมืองมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เนื่องจากฝีมือช่างที่ยอดเยี่ยม ครอบครัวของไท้จูจึงได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน ส่งผลให้ครอบครัวไท้จู้มีอาหารการกินสมบูรณ์
ไท้จูเป็นเด็กฉลาดชอบอ่านและชอบคิดเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะของหมู่บ้าน ทุกๆครั้งที่พ่อของเขาได้ยินคนในหมู่บ้านชมเชยก็ต้องยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
แม่ไท้จูก็รักและดูแลเป็นอย่างดี กล่าวได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตไท้จูได้รับทั้งความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ รวมถึงคาดหวังไว้สูงมากในตัวเขา ในขณะที่เด็กคนอื่นทำนา เขากลับอยู่ที่บ้านเพื่ออ่านหนังสือ
ยิ่งมีความรู้มากเท่าไหร่เขายิ่งอยากออกไปสำรวจโลกกว้างนอกหมู่บ้านมากเท่านั้น ไท้จูมองข้ามหนังสือไปที่จุดสิ้นสุดของถนนก่อนจะปิดหนังสือลงและเดินตรงออกไปจากบ้าน
พ่อของเด็กหนุ่มได้นั่งสูบยาสูบอยู่บริเวณสวน ผู้เป็นพ่อสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยถามบุตรชายซึ่งเพิ่งจะเปิดประตูออกมา
"อ่านหนังสือไปถึงไหนแล้วละ"
เด็กหนุ่มตอบกลับเพียงไม่กี่คำ
ผู้เป็นพ่อเคาะบ้องยาสูบในมือก่อนจะลุกขึ้น
"ไท้จู ลูกต้องเรียนให้หนักนะ ปีหน้าจะมีสอบรับราชการ ทุกคนรู้ว่าลูกต้องไปได้ไกล อย่าใช้ชีวิตทั้งหมดจมปลักอยู่กับหมู่บ้านเล็กๆนี่เลย"
"โธ่ เจ้าก็ไปกดดันลูกทุกวัน ข้ามั่นใจว่าไท้จูต้องสอบติดแน่นอน" ผู้เป็นแม่เอ่ยก่อนจะเรียกสามีและบุตรชายไปทานอาหารค่ำ
ไท้จูนั่งลงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเริ่มรับประทานเนื้อที่แม่ตั้งใจปรุงเป็นอย่างดี
"พ่อ อาสี่จะมาบ้านเราใช่ไหม" ไท้จูถามขึ้น
"ดูจากเวลาแล้ว เขาน่าจะมาถึงเร็วๆ นี้แหละ" ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะบอกให้ภรรยาตนเตรียมอาหารสำหรับผู้มาใหม่
แม่ของไท้จูกล่าวขึ้น “อาสี่เป็นคนที่ดีต่อพวกเรามาก ด้วยความช่วยเหลือของอาสี่ธุรกิจขายไม้ของครอบครัวเราจึงประสบความสำเร็จ เราควรจะหาโอกาสตอบแทนนะ” เพียงสิ้นคำ เสียงรถม้าดังแว่วจากหน้าประตู ม้าหยุดลงพร้อมเสียงเรียก
"พี่สอง เปิดประตูให้ข้าหน่อย" ไท้จูรู้สึกตื่นเต้นมาก รีบเดินไปเปิดประตูและพบกับชายวัยกลางคน
เขายิ้มและหัวเราะพร้อมลูบหัวไท้จู "ไท้จูไม่ได้เจอตั้งหกเดือนโตขึ้นเยอะเลยนะ"
พ่อของไท้จูกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้ม "น้องสี่ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะมาตอนนี้ เข้ามาๆ ไท้จูเอาอาหารมาให้อาเขากินหน่อย" ไท้จูเข้ามาในบ้าน จัดแจงหาที่นั่งให้อาและเช็ดด้วยแขนเสื้อพร้อมส่งสายตาเป็นประกายไปที่ชายวัยกลางคน
อาสี่พูดติดตลกว่า"ไท้จู ขยันจังเลยนะ คราวก่อนไม่เห็นขนาดนี้"
ผู้เป็นพ่อมองไปยังบุตรชายพลางยิ้มออกมา "คงจะเป็นวิธีบ่นของไอ้เด็กคนนี้ว่าทำไมเจ้าไม่มาเร็วกว่านี้"
ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ "ไท้จู อาไม่ได้ลืมสัญญาหรอกนะ"
พลันดึงหนังสือสองเล่มออกมาและวางบนโต๊ะ ไท้จูตื่นเต้นมาก เด็กหนุ่มหยิบขึ้นมาอ่านทันทีราวกับมันเป็นของเล่นที่เขาชื่นชอบ ผู้เป็นแม่มองไปยังบุตรชายอย่างเอ็นดูก่อนจะหันไปถามชายวัยกลางคน "เหลาซีพี่ของเจ้าเล่าเรื่องให้ฟังเยอะเลย คราวนี้ทำไมไม่อยู่สักสองสามวันหล่ะ"
อาสี่ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า "ช่วงนี้ข้ายุ่งกับงานในครอบครัวมาก คงต้องรีบกลับพรุ่งนี้แล้ว แต่หากทุกอย่างเสร็จสิ้นข้าจะกลับมาเยี่ยมอีก"
อาสี่ส่งสายตารู้สึกผิดไปยังผู้เป็นพี่ชาย เห็นดังนั้นผู้ถูกมองจึงได้แต่เอ่ยว่า "น้องสี่อย่าไปสนใจพี่สะใภ้ของเจ้าเลย งานของเจ้าสำคัญที่สุด เราไว้พบกันวันหลังก็ได้"
ชายวัยกลางคนจ้องไปยังผู้เป็นพี่ก่อนจะเอ่ยถาม "ปีนี้ไท้จูอายุสิบห้าปีแล้วใช่ไหม"
"ไอ้ตัวเล็กนี้จะสิบหกในปีนี้แล้ว อ่านั่นสิ สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก" ผู้เป็นพ่อพลางมองไปยังบุตรชาย
อาสี่หยุดคิดและพูดด้วยเสียงจริงจัง "พี่สอง พี่สะใภ้ มีอย่างหนึ่งที่ข้าอยากปรึกษากับพวกท่าน เหิงยั่วกำลังเปิดรับนักเรียนใหม่ ตระกูลเราสามารถเสนอชื่อได้สามคน และข้าได้รับสิทธิ์ให้เลือกหนึ่งในสาม" พ่อไท้จูนิ่งอึ้งมองไปยังผู้เป็นน้องราวกับไม่เชื่อสายตา
"สำนักเหิ่งยั่ว? แต่นั่นมันสำนักสำหรับเซียนไม่ใช่เรอะ"
"พี่สองถึงแม้นั่นจะเป็นสำนักสำหรับเซียน แต่ตระกูลเราก็มีชื่อเสียงเหมือนกันนะ ลูกชายข้าไม่ชอบอ่านหนังสือแต่มีฝีมือดาบดี ข้าหวังว่าพวกเซียนจะยอมรับเขา มันเป็นโอกาสที่ดี แต่ข้าเห็นไท้จูมาแต่เด็ก เขามีความฉลาดชอบเรียนรู้บางทีอาจจะเหมาะสมสำหรับสอบเข้าสำนักนั่นมากกว่า"
หญิงวัยกลางคนเพียงหนึ่งเดียวรู้สึกดีใจจนพูดไม่ออก
อาสี่เอามือลูบหัวไท้จู "พี่สอง น้องสะใภ้ เดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ให้ไท้จูได้มีโอกาสเลือกอนาคตที่ดี"
ไท้จูรู้สึกสับสน พยายามทำความเข้าใจเรื่องที่อาสี่และพ่อแม่พูดคุยกัน
“เซียน? อะไรคือเซียน?” ไท้จูเอ่ยอย่างแผ่วเบาราวกับพูดกับตนเอง อาสี่จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มอย่างเคร่งเครียด
"ไท้จู เซียนคือคนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นสิ่งที่พวกเราไม่สามารถเทียบได้เลย" เมื่อเด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็เกิดความรู้สึกสนใจ
พ่อแม่ของไท้จูโค้งขอบคุณอาสี่อย่างขอบบุญคุณ แต่เขากลับดึงทั้งสองขึ้นไว้ก่อนกล่าว "พี่สองไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก แม่ท่านดูแลข้ามาแต่เล็ก ถ้าไม่มีท่านข้าคงไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และไท้จูก็เป็นหลานของข้าเช่นกัน"
ได้ยินดังนั้นผู้เป็นพี่ทำได้แต่เพียงร้องไห้อย่างตื้นตันก่อนจะพยักหน้า "หวังหลินลูกต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าอาสี่ดีต่อครอบครัวเรามากแค่ไหน ไม่เช่นนั้นพ่อจะไม่นับเจ้าเป็นบุตร" ไท้จูรู้สึกตกใจ ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจคำว่าเซียนมากนัก แต่การที่เห็นพ่อให้ความสำคัญกับมันมากถึงขนาดนี้ จึงคุกเข่าให้อาสี่แล้วคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชายวัยกลางคนดึงไท้จูขึ้นและกล่าวออกมา "เด็กน้อย เหลือเวลาเตรียมตัวไม่มากนัก ข้าจะมารับตอนสิ้นเดือน"
เย็นวันนั้น ไท้จูนอนหลับแต่หัวค่ำ หูได้ยินแต่เสียงของพ่อและอาสี่จากในสวน พ่อของเขามีความสุขมาก ปกติพ่อไม่ค่อยดื่มสุราแต่วันนี้กลับชวนอาสี่ดื่มด้วยกัน
“เซียน? จริงๆแล้วเซียนคืออะไรกัน?” ไท้จูตื่นเต้นมาก นี่คงเป็นโอกาสที่เขาจะได้ทำตามความฝันในวัยเยาว์ โอกาสที่จะออกไปสู่โลกกว้าง!!
เช้าวันต่อมาอาสี่จากไปแล้ว พ่อและแม่พาไท้จูเข้าไปยังหมู่บ้าน ระหว่างทางเด็กหนุ่มได้สังเกตว่าพ่อดูหนุ่มขึ้น ดวงตาวาววับเต็มไปด้วยความสดใส เขามีความคาดหวังยิ่งกว่าตอนที่จะให้ไท้จูสอบรับราชการเสียอีก
ในหมู่บ้านนั้นไม่มีความลับ แม้แต่ลูกสุนัขเกิดทุกคนในหมู่บ้านยังรู้ ดังนั้นในไม่ช้าทุกคนก็ได้ทราบเรื่องของไท้จู สายตาพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
"หวังเจี่ยมีลูกฉลาด ตระกูลเขาเสนอชื่อให้เข้าเรียนที่เหิงยั่ว"
"ข้าเห็นไท้จูมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาเป็นเด็กฉลาด น่าจะได้เป็นนักเรียนเหิงยั่วได้ตามที่พวกเราหวัง"
"ไท้จูมีความสามารถมาก พอโตขึ้นคงไม่ลืมพวกเราหรอกนะ"
คำพูดต่างๆ มากมายลอยเข้าหูเด็กหนุ่ม ข่าวเรื่องไท้จูได้สิทธิ์เข้าสอบสำนักเหิ่งยั่วกลายเป็นข่าวที่พูดกันไปทั่ว ทุกๆครั้งที่พ่อแม่ของเขาได้ยิน ก็มักจะหัวเราะอย่างดีใจ
ยามที่ไท้จูเดินอยู่คนเดียวในหมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนล้วนเชิญเขาเข้ามา ไท้จูได้กลายเป็นแบบอย่างให้เด็กๆในหมู่บ้านไปแล้ว
ครึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ข่าวของไท้จูดังไปถึงหมู่บ้านอื่นแม้อยู่ห่างไปถึงแปดลี้ ชาวบ้านต่างมาดูไท้จูและร่วมแสดงความยินดี ทุกคนที่มาต่างก็ซื้อของขวัญมาฝาก ซึ่งพ่อและแม่ของไท้จูไม่มีทางเลือกจึงต้องรับเอาไว้ พอทุกคนกลับไปแล้วพ่อไท้จูจึงจัดเตรียมของตอบแทน เมื่อไหร่ที่ไท้จูได้เป็นเซียนเขาจะได้ไม่ต้องกังวลที่จะตอบแทนชาวบ้าน
ขณะนี้ผู้ดีตระกูลหวังพลันรู้ว่าเหลาซีให้สิทธิ์ของตนเองแก่ไท้จูแทนที่จะให้ลูกตัวเองและร่วมแสดงความยินดีคนแล้วคนเล่า พ่อไท้จูรู้สึกได้รับความสำคัญ เพราะหลายปีมานี้เหล่าผู้ดีของตระกูลมักจะดูถูกเหยียดหยาม พ่อและแม่ของไท้จูได้พูดคุยกับแขกคนแล้วคนเล่า เกิดความรู้สึกเหมือนขจัดความทุกข์ในใจที่มีมาหลายปี
นอกจากนี้ยังมีครูอาจารย์ประจำหมู่บ้านช่วยเขียนจดหมายเชิญชวนไปให้คนรู้จัก ครูท่านนั้นไม่ได้เรียกร้องทรัพย์สินอะไรเลย สิ่งที่ต้องการคือให้ไท้จูบอกคนอื่นๆ ว่าเขาเป็นผู้สอนไท้จูมา
แน่นอนว่าไท้จูปฏิเสธไม่ได้เพราะมันเป็นความจริง หลังจากออกหนังสือเชิญชวน พ่อไท้จูต้องจัดโต๊ะกว่าร้อยตัวเพื่อทำการต้อนรับ ทุกคนมาเพื่อชมเชยไท้จูอย่างไม่หยุดหย่อน แม่และไท้จูเองต้องคอยต้อนรับแขกและคอยแนะนำ
"ท่านนี้คือปู่สาม ตอนข้าออกมาจากตระกูล ปู่สามคอยช่วยเหลือเรามากเลย ไท้จูลูกอย่าลืมที่จะตอบแทนบุญคุณท่านนะ" ผู้เป็นพ่อกล่าวกับหวังหลินขณะที่เข้าไปประคองชายสูงอายุคนหนึ่ง
ชายแก่มองไปที่ไท้จูและกล่าวว่า
"อาาา เหลาอี้เวลาผ่านไปนานแล้วสินะลูกของเจ้าก็โตขึ้นมาก หากเทียบกับเจ้าแล้วเด็กคนนี้คงยอดเยี่ยมมากแน่นอน"
พ่อของไท้จูหน้าแดงก่อนจะยิ้ม "ปู่สาม ไท้จูฉลาดมาแต่เด็กแล้ว ได้โปรดอย่าเทียบเขากับข้าเลย เชิญทางนี้"
แม่ไท้จูช่วยประคองชายแก่เดินต่อไป หลังผ่านไปแล้วผู้เป็นพ่อจึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "ตาแก่นั่นไม่ชอบข้าและเป็นคนไล่ข้าออกจากบ้านมาเอง แถมยังเอาความสำเร็จของเจ้ามาเสียดสีพ่อ"
ไท้จูพยักหน้าอย่างเข้าใจ "อาสี่จะมาวันนี้ไหม"
พ่อไท้จูส่ายหัว "อาสี่ทิ้งจดหมายเอาไว้บอกว่าจะไม่กลับมาจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนจริงๆ"
ในเวลานั้น มีรถม้าอีกคันแล่นเข้ามา หลังจากหยุดลงชายแก่อายุราวๆ ห้าสิบปีเดินออกมามองพ่อของไท้จูพร้อมถอนหายใจแล้ว "เหลาอี้ ยินดีด้วยนะ"
ผู้เป็นพ่อแสดงสีหน้าสับสนก่อนกล่าวขึ้น "พี่…."
ชายแก่มองไท้จูพลางยิ้มแย้ม "เหลาอี้นี้ลูกของเจ้าใช่ไหม มันจะสอบผ่านเรอะ"
พ่อไท้จูขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน "ถึงแม้ไท้จูไม่ได้แข็งแรงกว่าใครๆ แต่เขาก็ฉลาดมาแต่เด็ก แต่ด้วยโชคชะตาทำให้เขาถูกเลือกได้สิทธิ์สอบ"
"ก็ไม่แน่ สำนักเซียนมีการคัดเลือกลูกศิษย์ที่เข้มงวดยิ่งนัก ข้ามองแล้วเด็กอ่อนนี้ไม่มีปัญญาหรอก" เสียงหยาบกระด้างดังมากจากเด็กชายอายุราวๆ 16-17 ปีซึ่งเพิ่งก้าวลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาแต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความดูถูกอย่างชัดเจน หวังหลินและพ่อมองไปที่เขาโดยไม่พูดอะไร
ชายแก่หน้าเปลี่ยนสีพร้อมกล่าวว่า "หวังโจว กล้าดียังไงถึงมาหยาบคายอย่างนี้นี่อาและลูกพี่ลูกน้องของเจ้านะ หวังหลินมาทักทายกันหน่อยสิ" หลังจากพูดเสร็จเขาได้หันไปพูดกับพ่อไท้จู
"ลูกของข้าปากไม่ค่อยดี หวังว่าเหลาอี้คงไม่ถือโทษ แต่ว่า…" ชายแก่ชะงักก่อนเปลี่ยนเรื่องกลางคัน
"เหลาอี้ การฝึกฝนเป็นเซียนไม่ใช่เรื่องธรรมดา เจ้าต้องเชื่อมั่นในโชคชะตา เหตุที่สำนักเหิ่งยั่วให้เด็กจากตระกูลเราเข้าเรียนเพราะพวกเขาเห็นพรสวรรค์ในตัวลูกของข้าหรอกนะ”
พ่อไท้จูถอนหายใจ "ถ้าลูกชายท่านทำได้ ลูกของข้าก็ทำได้"
หวังจัวกล่าว "ท่านอา ข้าขอแนะให้ท่านอย่าหวังสูงไปเลย การฝึกเซียนมันยากลำบาก หมื่นปีถึงสำเร็จสักคน ไอ้เด็กโง่นี่กล้าดียังไงเทียบกับข้าผู้ที่สำนักเลือกให้เป็นศิษย์" ชายแก่สีหน้าภาคภูมิใจแต่ก็ทำเป็นห้ามปรามลูกตนเองก่อนจะจับมือกับพ่อไท้จูเดินเข้าไปในงาน
"ไท้จู ลูกไม่ต้องกดดันตัวเองมากไปนะ ถ้าเป็นเซียนไม่ได้ก็มาสอบข้าราชการปีหน้า" พ่อของไท้จูข่มความโกรธเอาไว้พลางจับบ่าลูกชาย
“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ข้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก” หวังหลินกระซิบเสียงแผ่ว ผู้เป็นพ่อตบไหล่หวังหลินหนักแน่น จ้องมองด้วยสายตาคาดหวัง
พวกเขาพบกับญาติอีกมากมายหลายคน ท้ายที่สุดพ่อไท้จูก็เดินเข้าไปในงาน "ครอบครัวที่รักของข้า ขอบคุณที่มาถึงหมู่บ้านนี้ ข้าขอไม่พูดมากแต่ในวันนี้ลูกของข้าได้รับเลือกให้เข้าสอบที่เหิงยั่ว เป็นวันที่ข้าตื่นเต้นมากที่สุด ข้าไม่มีอะไรจะพูดนอกจากขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมฉลอง" พูดจบพ่อไท้จูก็ดื่มเหล้าองุ่นจนหมดแก้ว
"เหลาอี้ ลูกของเจ้าฉลาดมาแต่เกิดแล้วไม่แปลกที่จะถูกเลือกเหมือนหวังจัว"
"พี่สอง ไท้จูทำเจ้าสมหวังแล้วสินะต่อไปเจ้าคงมีความสุขไม่น้อย"
คำชื่นชมดังมาจากทั่วทุกสารทิศแต่ก็ยังมีบางส่วนที่แม้จะชื่นชมยินดีแต่จริงๆแล้วเต็มไปด้วยความดูแคลนเช่นพ่อของหวังจัว เขามองไปยังบุตรชายของตนสลับกับไท้จูก่อนจะสำนึกขึ้นในใจว่าหากเหล่าเซียนไม่ได้ตาบอด ไท้จูไม่มีทางเป็นผู้ถูกเลือกอย่างแน่นอน
พ่อของไท้จูได้พาหวังหลินไปแนะนำตามโต๊ะต่างๆ ในวันนั้นพ่อไท้จูดื่มเหล้าองุ่นไปมาก เขาไม่เคยมีความสุขอย่างนี้เลย
หลังจากญาติๆได้จากไปแล้ว หวังจัวได้พูดข้างหูไท้จู "ไอ้โง่ คนอย่างเจ้าสอบไม่ผ่านหรอก เจ้าไม่เหมาะสมกับการเข้าเรียน" สิ้นคำเด็กหนุ่มก็จากไปด้วยรอยยิ้มดูถูกพร้อมกับพ่อตนเอง
ไท้จูเอนหลังลงบนเตียง เด็กหนุ่มคิดอย่างคาดหวังว่าจะต้องได้เข้าเรียน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!
หลายเดือนผ่านไปอาสี่ของไท้จูก็ได้เดินทางมาถึง พ่อไท้จูรีบไปต้อนรับแต่กลับพบว่าผู้เป็นน้องเต็มไปด้วยอารมณ์เร่งร้อน
"พี่ชาย พี่สะใภ้ ข้าอยู่นานไม่ได้ ต้องไปพร้อมกับไท้จูตอนเช้าพรุ่งนี้เลย ใกล้ถึงเวลาที่สำนักเหิงยั่วจะรับศิษย์แล้ว"
พ่อไท้จูแสดงสีหน้าเสียใจ "ไท้จูไปกับลุงเถอะ ถ้าไม่ได้เรียนก็ไม่เป็นไรกลับมาที่บ้านได้"
จากนั้นแม่ของไท้จูก็ได้กล่าวว่า "เชื่อฟังอาสี่นะลูก อย่าสร้างปัญหา อดทนให้มากเข้าไว้ แม่จะเตรียมชุดใหม่และอาหารโปรดของลูกไว้ให้ คิดถึงลูกนะ หากสอบไม่ผ่านก็กลับมาหาแม่ได้" สิ้นคำผู้เป็นแม่ก็ร้องไห้ ตั้งแต่เกิดไท้จูไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลย นี่เป็นครั้งแรกของครอบครัว
อาสี่พูดอย่างสะเทือนใจ "ไท้จูพ่อแม่ของเจ้าหวังเอาไว้มาก พี่ชาย พี่สะใภ้ อีกไม่กี่วันจะต้องมีการเฉลิมฉลองใหญ่เป็นแน่ วันนี้อย่าพึ่งไปไหน พรุ่งนี้ข้าจักพาท่านไปยังที่ที่ประกาศผล"
อาสี่หนุนหลังไท้จูขึ้นไปยังรถม้า ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป
ผู้เป็นแม่มองตามรถม้าที่ค่อยๆเลือนหายไปก่อนเอ่ยขึ้น "คุณคะ ไท้จูไม่เคยออกไปไหนไกลเลย หวังว่าลูกคงไม่โดนรังแกนะ" นางกล่าวด้วยดวงตาเศร้าใจ
"เขาโตแล้ว อย่ากังวลไปเลย เขาออกเดินทางเพื่ออนาคตที่สดใส" พ่อไท้จูสูบยาเข้าปอดด้วยใบหน้ากังวลใจอยู่ลึกๆ
…………………….
ตอนที่ 2 เซียน
รถเกวียนแล่นไปตามถนน ร่างหวังหลินกระแทกขึ้นลงตลอดทาง เขากุมมือและคิดถึงความหวังของพ่อแม่ ตอนนี้หวังหลินออกจากหมู่บ้านที่เขาอยู่มาถึงสิบห้าปี เป้าหมายของการเดินทางอยู่ห่างไปอีกไกล หวังหลินได้แต่นอนหลับอย่างสงบจนกระทั่งเขาถูกปลุกเบาๆ เมื่อลืมตาขึ้นจึงพบกับอาสี่ที่ยิ้มให้และมองลงมาอย่างเอ็นดู
"จากบ้านมาครั้งแรกรู้สึกเป็นไงบ้าง"
หวังหลินพบว่ารถม้าได้หยุดลงแล้ว "ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น ตอนนี้กังวลว่าพวกเซียนจะรับเข้าสำนักเหิงยั่วหรือเปล่า"
อาสี่หัวเราะและตบบ่าไท้จูพร้อมพูดขึ้น "เอาน่า อย่ากังวลนักเลยนี่คือบ้านของอาเอง ลงมานอนหลับข้างล่างเถอะเดี๋ยวตอนเช้าจะพาไปต่อ"
หลังจากลงจากรถแล้วหวังหลินพบว่าตัวเองอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เขาเดินไปในบ้านพร้อมอาสี่ เมื่อนอนบนเตียง หวังหลินรู้สึกนอนไม่หลับทั้งยังคิดถึงหมู่บ้าน คิดถึงครอบครัวและกังวลเกี่ยวกับการสอบเข้าเป็นเซียน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์กำลังขึ้นในยามเช้าตรู่ หวังหลินไม่ได้นอนทั้งคืนทว่าจิตใจเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เขาตามอาสี่ไปที่บ้านตระกูลหวัง นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ อาสี่เดินอยู่ข้างๆพร้อมพูดขึ้นมา "ไท้จูเจ้าต้องพยายามให้มาก อย่าปล่อยให้ลูกพี่ลูกน้องเจ้ามีโอกาสแกล้งเจ้าได้หละ"
ถึงแม้หวังหลินจะกังวลแต่ก็ตอบรับคำพูดของอา จากนั้นอาสี่ก็พาเขาเข้ามาที่กลางบ้าน
หวังหลินเจอกับลุงคนหนึ่งและอีกฝ่ายได้กล่าวออกมา "ไท้จูอีกไม่นานท่านเซียนจะมาแล้วอย่าสร้างปัญหาเสียหล่ะ ทำตัวดีๆเหมือนพี่หวังจัวของแกด้วย" เขาพูดอย่างใส่อารมณ์
หวังหลินยังคงเงียบ พลางมองไปรอบๆสังเกตเห็นหวังจัวและเด็กชายหน้าตาฉลาดเฉลียวผิวคล้ำยืนอยู่ข้างๆ เด็กคนนั้นเห็นไท้จูมองมาจึงเอ่ยทัก "เจ้าน่ะหรือลูกของลุงสอง ข้าชื่อหวังเฮ่า"
หวังหลินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ พยักหน้างึกๆทำให้ชายแก่ไม่พอใจเล็กน้อยที่ไท้จูไม่สนใจคำพูดเขาและกำลังจะเริ่มบ่น
ทันใดนั้นท้องฟ้าแยกออก แสงสว่างเล็ดลอดและผ่าลงมาส่งเสียงกึกก้องดุจฟ้าผ่า หลังจากแสงจางลง ชายหนุ่มชุดสีขาวยืนอยู่อย่างสง่างาม ดวงตาสดใสและเฉียบคม เขามองไปที่เด็กทั้งสามโดยเฉพาะเด็กผิวคล้ำที่มีของอยู่ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเยียบ "เด็กพวกนี้จากตระกูลหวังหรือ?"
"คนนี้ใช่เซียนหรือนี่?" เด็กๆต่างมองชายหนุ่มชุดขาวด้วยหัวใจเต้นแรง พวกเขาตะลึงไปพักนึงและแสดงความเคารพชายหนุ่ม อย่างไรก็ตามหวังจัวไม่ค่อยให้ความสนใจและถอนหายใจออกมา พ่อของหวังจัวเดินออกมากล่าว "นี่คือเด็กที่ตระกูลหวังเลือกมาขอรับ"
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย "คนไหนคือหวังจัว"
ชายแก่ยิ้มและรีบดึงตัวหวังจัวออกมาแนะนำ "ท่านเซียน นี่คือลูกของข้า หวังจัว"
ชายหนุ่มมองไปที่หวังจัวและพยักหน้า "อืมม หวังจัวมีความสามารถมากทีเดียว เหมาะสมกับเส้นทางการเป็นเซียน ไม่แปลกเลยที่อาจารย์จะชื่นชอบเขา"
หวังจัวมองไท้จูอย่างหยิ่งยโสและเอ่ยแบบเหยียดๆ "เป็นธรรมดาน่ะ คนที่จะเป็นเซียนได้ต้องมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง"
ชายหนุ่มชุดขาวได้ยินดังนั้นพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มให้และคลายแขนเสื้อออก พาเด็กสามคนบินไปกับสายรุ้ง อาสี่มองไปบนท้องฟ้าพร้อมเอ่ยให้กำลังใจ "ไท้จู อาเชื่อว่าหลานทำได้"
หวังหลินรู้สึกว่าร่างกายเบาลงและมีลมแรงปะทะใบหน้า
แต่ค้นพบว่าตัวเองถูกหนีบอยู่ที่รักแร้ของชายชุดขาวซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผ่านท้องฟ้าไปจนหมู่บ้านเล็กลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขารู้สึกแสบตาและน้ำตาคลอเบ้า ชายชุดขาวเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้น "ถ้าพวกเจ้าสามคนไม่อยากตาบอดก็หลับตาซะ"
หวังหลินได้ยินจึงรีบหลับตาลงและไม่กล้าลืมตาขึ้นอีก กล่าวในใจว่าต้องการเป็นเซียนให้ได้ ไม่นานนักชายชุดขาวก็ช้าลง ลงจอดพร้อมกับปล่อยเด็กทั้งสามลงบนพื้น
หวังหลินลุกขึ้นพบว่าภาพที่เห็นราวกับสวรรค์ก็มิปาน ภูเขาดอกไม้ แม่น้ำ วิวทิวทัศน์ที่แสนงดงาม เบื้องหน้ามีภูเขาสูงปกคลุมด้วยก้อนเมฆและเต็มไปด้วยเสียงของสัตว์นานาชนิด ราวกับตรงหน้าเป็นเพียงภาพวาด
หวังหลินรู้สึกดื่มด่ำไปกับภาพสวยงามของโลกใหม่แห่งนี้ เขามองขึ้นไปบนยอดเขาเห็นอาคารใหญ่มีสายรุ้งพาดผ่านให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และลึกลับ ด้านข้างอาคารมีทางหินสีเงินเชื่อมไปยังยอดเขาต่างๆ
บรรยากาศรอบๆสำนักเหิงยั่วนั้นมหัศจรรย์ เหิงยั่วเป็นสำนักโบราณ เต็มไปด้วยศิษย์ที่มีความสามารถเป็นเวลากว่าห้าร้อยปีมาแล้ว ครั้งหนึ่งเคยมีอิทธิพลถึงขนาดควบคุมโลกได้ทั้งใบและเต็มไปด้วยสาขาต่างๆ แต่มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นทำให้ถูกบีบอยู่แต่ในพื้นที่เล็กๆแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม เหิ่งยั่วยังเป็นสำนักที่ทุกคนยากจะเข้าใจ มีพื้นที่กว้างขวางหลายพันลี้
"น้องเซียง สามคนนี้คือคนจากตระกูลหวังใช่ไหม" ชายวัยกลางคนแต่งกายชุดดำเหาะเหินลงมา ชายหนุ่มชุดขาวแสดงความเคารพก่อนจะกล่าวขึ้น
"ใช่" ชายวัยกลางคนมองไปที่ยังเด็กทั้งสามโดยเฉพาะหวังจัว
"อาจารย์รู้ว่าการฝึกของเจ้าอยู่ในช่วงสำคัญ ไปฝึกฝนต่อเถอะเดียวข้าจะทดสอบพวกนี้เอง" ชายหนุ่มชุดขาวรับทราบและเดินจากไป
หวังหลินจ้องมองอย่างตื่นเต้นและรู้สึกว่ามีคนสะกิดเขา ซึ่งก็คือหวังเฮ่า "นี่คือพวกเซียนสินะ เจ๋งเป็นบ้า อยากให้พวกเขาเลือกข้าไวๆจัง" เขาพูดพร้อมสัมผัสวัตถุในกระเป๋าเสื้อเบาๆ
………………………………..
ตอนที่ 3 การทดสอบ
หวังจัวรู้สึกตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้าเช่นกันแต่ด้วยความหยิ่งยโสเขาจึงไม่ได้พูดออกมา
ในขณะเดียวกันนั้นมีสายรุ้งหลากสีลอยมาถึงพวกเขา ไม่นานจึงพบว่ามีเด็กอายุราวๆ 15 ปีหลายคนถูกพามาเช่นกัน เหล่าผู้เยาว์มีทั้งชายและหญิงต่างแสดงอาการตื่นตกใจและตกตะลึงในความอัศจรรย์เหมือนหวังหลิน
เหล่าศิษย์ในอนาคตของเหิงยั่วจากที่ต่างๆได้มองไปรอบๆและจับกลุ่มคุยกันอย่างตื่นเต้น หลังจากรอสักพักพวกเขาก็รวมตัวกันเบื้องหน้าชายวัยกลางคนและเขาเป็นฝ่ายพูดก่อน
"ในกลุ่มพวกเจ้า มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับเลือกเป็นศิษย์ของสำนักเหิงยั่ว"
ทุกคนต่างเริ่มตกใจ หวังหลินเองก็กังวลเช่นกัน จากที่เขานับดูคนที่อยู่ที่นี่มีถึง 48 คน
"ซิวเซียน(เด็กฝึกหัด)เป็นขั้นเริ่มต้นของการเป็นเซียน ข้าจะเริ่มต้นการทดสอบโดยตรวจสอบพลังวิญญาณของพวกเจ้าว่าเพียงพอหรือไม่ จากนี้คนที่ข้าเลือกให้เดินออกมาทีละคน"
เด็กคนแรกได้เดินไปหาชายวัยกลางคน เขาวางมือบนหัวเด็กคนนั้นเบาๆและพูดขึ้นมาว่า "ไม่ผ่าน!! ไปยืนทางซ้าย"
เด็กน้อยดูเหมือนจะไม่มีเรื่ยวแรงขึ้นมาทันที ใบหน้าแสดงความเสียใจและก้มหน้าเดินไปทางซ้าย
จากนั้นชายชุดดำก็ทดสอบต่อไปเรื่อยๆ
"ไม่ผ่าน"
"ไม่ผ่าน"
"ไม่ผ่าน"
"ไม่ผ่าน"
…..
สิบคนมาแล้วยังไม่มีใครผ่านเลย ทางขวาของชายวัยกลางคนยังไม่มีคนยืนแม้แต่คนเดียว คนต่อไปคือหวังจัว เขาเดินไปอย่างมั่นใจแต่มีความประหม่าเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนได้เอามือวางบนหัวเขา ท้นใดนั้นใบหน้าของชายชุดดำก็แสดงอาการพึงพอใจ "เจ้าชื่ออะไร"
หวังจัวตอบอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงนอบน้อม "ท่านเซียน นามของข้าคือหวังจัว"
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ "เจ้าคือเด็กที่อาจารย์พูดถึงสินะ ถ้าอย่างนั้นไปยืนทางขวาได้"
หวังจัวเดินไปทางขวาท่ามกลางสายตาของนักเรียนคนอื่นที่มองอย่างอิจฉา เขายืนอย่างหยิ่งยโสราวกับสวมมงกุฏอยู่บนหัว "เขาโชคดีเป็นบ้า" หวังเฮ่าบ่นให้หวังหลินฟัง แต่ทว่าหวังหลินกำลังกังวลเป็นอย่างยิ่ง ยามที่คิดถึงความหวังของพ่อแม่ยิ่งทำให้เขาต้องกำหมัดแน่น
"เจ้าไปทางขวาได้" ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นมา ทุกคนต่างตกใจเมื่อคนที่ได้รับเลือกนั้นเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิง
เวลาผ่านไปมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ยืนอยู่ฝั่งขวา ต่อไปถึงตาของหวังเฮ่าแล้ว
หวังเฮ่าเดินไปอยู่ต่อหน้าชายวัยกลางคน และคุกเข่าอย่างรุนแรงราวกับพื้นจะแตกพร้อมพูดว่า "ท่านเซียน ข้าหวังเฮ่า วันนี้ท่านลำบากมากแล้วเชิญท่านไปพักผ่อนก่อนข้ายังไม่รีบ ตกลงนะ?"
ชายวัยกลางคนขำออกมา เขาพบเด็กมามากแต่พึงเคยเจอคนแบบนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย เขาวางมือลงบนหัวหวังเฮ่าโดยไม่สนใจคำพูด จากนั้นส่ายหัว "พลังวิญญาณห่ว….."
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อไป หวังเฮ่าหยิบกล่องหยกขึ้นมากล่าว "ท่านเซียน พ่อของข้าพบสิ่งนี้ที่ภูเขา ลองมาหลายวิธีแล้วไม่สามารถเปิดได้เลย ข้าเลยนำมาให้ท่าน"
ชายวัยกลางคนรู้สึกขำ เขากำลังจะปฎิเสธแต่ว่าพอมองไปที่กล่องนั้นก็เผยแววตาตกใจ "นี่มันเห็ดหลินจือสามร้อยปีถูกเซียนผนึกเอาไว้ ไม่แปลกเลยที่พ่อของเจ้าไม่สามารถเปิดมันได้”
“เอาเป็นว่าข้ากำลังต้องการคนช่วยทำยาพอดี ข้าเห็นเจ้าเป็นเด็กฉลาด มาเป็นศิษย์ข้าไหมละ?"
หวังเฮ่ารู้สึกตื่นเต้นมาก ทันทีที่เห็นท่าทีที่เปลื่ยนไปของชายวัยกลางคนเขาจึงรู้สึกยินดี "ตกลงท่านเซียน ข้าหวังเฮ่าต้องการเป็นศิษย์ท่าน"
ชายวัยกลางคนยิ้ม "ถึงเจ้าจะเป็นผู้ช่วยข้าแต่ข้าก็ไม่ลำเอียงหรอกนะ ไปยืนทางขวากับคนอื่นๆ" หวังเฮ่าเดินไปหาหวังจัวอย่างดีใจทันที เด็กๆคนอื่นต่างรู้สึกเสียใจบางคนถึงขนาดร้องไห้ออกมา ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นจึงตะคอก "เอาพวกที่ร้องไห้กลับบ้านไป!!!"
เหล่าศิษย์สำนักที่ยืนอยู่ไม่ไกลต่างก็พาเด็กร้องไห้ลงไปทันที
ในที่สุดก็ถึงคราวหวังหลิน เขาหายใจลึกๆแล้วเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคน ความคิดของเขาว่างเปล่าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่ "เขาต้องเลือกข้า!" หวังหลินบอกกับตัวเอง
พอชายวัยกลางคนวางมือบนหัวหวังหลิน เขารู้สึกว่าเลือดลมตัวเองกำลังจะเป็นลิ่มน้ำแข็ง
"ไม่ผ่าน!!"
หวังหลินรู้สึกเสียการทรงตัว สองหูราวกับได้ยินเสียงฟ้าผ่าเข้ากลางศีรษะ เสียงของชายวัยกลางดังวนอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกคนรับการทดสอบเสร็จแล้วมีแค่สามคนเท่านั้นที่ถูกเลือก ช่างสูงส่งเหลือเกินสำหรับคนที่ได้รับเลือก หวังจัวมองหวังหลินอย่างดูถูกกว่าเดิม
"สำหรับซิวเซียน(เด็กฝึกหัด) พลังวิญญาณเป็นเรื่องสำคัญแต่ความมุ่งมั่นและความขยันสำคัญกว่า คนธรรมดาที่มีความพยายามสามารถกลายเป็นศิษย์สายนอกได้ นี่เป็นโอกาสสำหรับคนที่ไม่ผ่าน การทดสอบที่สองคือทดสอบความพยายาม"
ชายวัยกลางพูดต่อ "พวกเจ้าทุกคนต้องขึ้นเขาจากขั้นแรกไปถึงยอดเขาในเวลาสามวัน ผู้ที่ทำได้ถือว่ามีคุณสมบัติแต่ถ้าหากยอมแพ้ให้พูดออกมา จะมีคนรับกลับบ้าน"
หลังจากพูดเสร็จ ชายวัยกลางคนเดินไปหาผู้ถูกเลือกทั้งสาม "พวกเจ้าสามคนมากับข้า ไปเตรียมพบอาจารย์ เวลาที่จะพบได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของท่านอาจารย์ หวังเฮ่ามากับข้า ข้าจะแนะนำให้รู้จักต้านฟง" ชายวัยกลางคนพูดพร้อมพาเด็กทั้งสามหายเข้าไปในภูเขา
หวังหลินหายใจลึกดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เตรียมเดินทางขึ้นเขา ซึ่งนับเป็นการทดสอบความอดทน
ตอนนี้เหลือผู้เข้าทดสอบอยู่ 39 คน ตอนแรกรู้สึกท้อใจแต่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง
เขากำลังก้าวเดินออกไปสู่ถนนแห่งโชคชะตาที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ไหน
……………………………