Boreout Syndrome เมื่องานที่จำเจเกินไปทำให้พนักงานอยากลาออก!
‘ความเบื่อ’ คือปัญหาในโลกการทำงานที่หลายคนเผชิญ แม้ว่างานจะไม่ได้หนัก แต่บางคนกลับเบื่อมาก จนรู้สึกว่าทำไปก็ไร้ความหมาย ถึงจะพยายามหาแรงจูงใจแค่ไหน ก็ยังไม่อยากจะลุกไปทำงานอยู่ดี
.
หากใครกำลังประสบปัญหานี้ และเริ่มสงสัยว่า ‘หรือจะเป็นตัวเองที่ขี้เกียจ?’ ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป เพราะนักจิตวิทยาองค์กรจาก Wharton School ประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง ‘อดัม แกรนท์ (Adam Grant)’ เผยว่า นี่คือ ‘ภาวะเบื่อหน่ายเรื้อรัง (Boreout Syndrome)’ ที่กำลังระบาดในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่
.
ซึ่งภาวะนี้นับว่าเป็นปัญหาใหม่ในโลกของการทำงาน ที่นายจ้างควรให้ความสำคัญไม่แพ้ ‘ภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome)’ เพราะคนที่ประสบกับภาวะเบื่อหน่ายเรื้อรังจะขาดสมาธิ รู้สึกไม่มีส่วนร่วมกับงาน ไปจนถึงมองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นไร้ความหมาย ซึ่งมีความอันตรายไม่แพ้ภาวะหมดไฟเลย
.
.
ทำไม ‘Boreout Syndrome’ ถึงเป็นปัญหาที่ต้องจับตา?
.
แม้ว่า ‘Boreout Syndrome’ จะฟังดูเป็นเรื่องใหม่ แต่ในความเป็นจริง ภาวะนี้กลับถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 2005-2010 แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แกรนท์ชี้ให้เห็นว่า คนที่ประสบภาวะเบื่อหน่ายเรื้อรังยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้การทำงานที่บ้านกลายเป็นเรื่องปกติ
.
เมื่อหลายคนต้องทำงานลำพัง โดยไม่มีเพื่อนร่วมงานให้พูดคุยแลกเปลี่ยน หรือให้กำลังใจกัน ความเบื่อหน่ายจึงเกิดขึ้นง่าย และทวีความรุนแรงกลายเป็น ‘Boreout Syndrome’ ในที่สุด
.
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงสาเหตุส่วนหนึ่งของการเกิดภาวะเบื่อหน่ายเรื้อรังในหมู่คนทำงานเท่านั้น เพราะ ‘โจ เพย์น (Jo Payne)’ ที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท HR Path เผยว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พนักงานประสบกับ ‘Boreout Syndrome’ นั้น เป็นเพราะงานที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันไม่ท้าทาย และไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนศักยภาพและความสามารถเท่าที่ควร พนักงานจึงสูญเสียแรงจูงใจ รู้สึกไม่มีคุณค่า จนเริ่มอยากมองหาโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น
.
โดยจากผลสำรวจของ ‘Qapa’ บริษัทจัดหางานสัญชาติฝรั่งเศสพบว่า พนักงานชาวฝรั่งเศสมีภาวะเบื่อหน่ายเรื้อรังกับการทำงานมากถึง 60% หากปล่อยไว้ ก็มีแต่จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพผลงานต่ำลง รวมถึงอัตราการลาออกก็อาจสูงขึ้นตามมา หัวหน้าและผู้นำในองค์กรจึงควรเร่งหาวิธีรับมือ ถ้าไม่อยากให้ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัทในระยะยาว
.
.
4 วิธีรับมือ ‘Boreout Syndrome’ ในโลกการทำงาน
.
สำหรับใครหลายคน แม้ ‘Boreout Syndrome’ จะดูเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข เนื่องจากความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นในพนักงานเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ ‘เบนจามิน เลเกอร์ (Benjamin Laker)’ ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะการเป็นผู้นำจาก Henley Business School ก็แนะนำว่า นายจ้างหรือแม้แต่ตัวพนักงานเองก็สามารถรับมือและป้องกัน ‘Boreout Syndrome’ ได้ดังนี้
.
1. กำหนดเป้าหมายในการทำงานใหม่ให้ท้าทาย
.
นายจ้างและพนักงานควรร่วมกันกำหนดเป้าหมายในการทำงานใหม่ ให้มีความท้าทายแต่ก็สามารถทำได้จริง เพราะถ้าเป้าหมายง่ายเกินไป พนักงานก็อาจรู้สึกว่างานนั้นไม่มีคุณค่า ในขณะเดียวกัน เป้าหมายที่ยากเกินไปก็อาจทำให้พนักงานท้อได้
.
โดยสำหรับงานรูทีน การตั้งเป้าหมายระยะสั้นที่วัดผลได้ชัดเจน ก็จะช่วยให้พนักงานเห็นความก้าวหน้าในการทำงาน ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ปรับเป้าหมายให้สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการในการเติบโตของพนักงานได้ ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเบื่อหน่ายเรื้อรังก็จะลดลง
.
2. หาโอกาสที่จะได้ตัดสินใจหรือมีส่วนร่วมในการทำงาน
.
พนักงานควรหาโอกาสที่จะได้ทำงานหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เช่น ขอโอกาสในการจัดการงานบางส่วนด้วยตัวเอง เพราะการถูกสั่งให้ทำงานเดิมซ้ำๆ โดยไม่มีสิทธิ์เลือกหรือปรับเปลี่ยนวิธีการ จะทำให้พนักงานขาดอิสระในการทำงาน รู้สึกว่างานที่ทำอยู่นั้นไร้ความหมาย จนเกิดเป็น ‘Boreout Syndrome’ ได้
.
ในขณะเดียวกัน องค์กรก็ควรสร้างบรรยากาศในที่ทำงาน ที่เอื้อให้พนักงานกล้าแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพราะการให้อิสระในการทำงานจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ และทำให้พนักงานรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของงานด้วย
.
3. หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
.
‘Boreout Syndrome’ มักเกิดจากการที่ต้องทำงานแบบเดิมทุกวัน โดยไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือได้พัฒนาตนเอง ดังนั้น องค์กรจึงควรส่งพนักงานไปอมรม สัมมนา หรือทดลองทำงานในแผนกอื่นบ้าง ในขณะเดียวกัน พนักงานเองก็ควรหาโอกาสเพิ่มพูนความรู้ด้วยตนเองอยู่เสมอเช่นกัน เช่น ลงเรียนคอร์สออนไลน์ ขอให้เพื่อนร่วมงานช่วยสอนทักษะใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น
.
4. ทำกิจกรรมที่ชอบนอกเวลางาน
.
การที่เราจะแก้ปัญหา ‘Boreout Syndrome’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่แค่การทุ่มเทกับงานเพียงอย่างเดียว แต่พนักงานจะต้องแบ่งเวลาให้กับชีวิตส่วนตัวด้วย แรงจูงใจในการทำงานจึงจะเพิ่มขึ้น
.
ดังนั้น หลังเลิกงาน พนักงานก็ควรเปลี่ยนไปทำงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่ชอบบ้าง เช่น เล่นกีฬา นัดเจอเพื่อนฝูง เพราะกิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยชาร์จพลังกาย แต่ยังเพิ่มพลังใจและความคิดสร้างสรรค์ด้วย ในขณะเดียวกัน บริษัทเองก็ควรส่งเสริมให้พนักงานได้ใช้ชีวิตทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการทำงานเช่นกัน เช่น เปิดโอกาสให้มีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น เป็นต้น
.
.
‘Boreout Syndrome’ คือปัญหาที่มีอยู่จริงในโลกการทำงาน ที่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างองค์กรกับพนักงาน และไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง ทุกฝ่ายในองค์กรจึงควรหันมาสื่อสารกันอย่างเปิดเผยเพื่อหาทางออกร่วมกัน เช่น ปรับเปลี่ยนลักษณะงานด้วยการเพิ่มความท้าทาย เพื่อให้ชีวิตการทำงานของทุกๆ ฝ่ายมีแต่ความสุขและยั่งยืน
.
.
อ้างอิง
- Beyond Burnout: Adam Grant Warns of Rising ‘Boreout’ Among Employees : Bruce Crumley, Inc. - https://bit.ly/41ZzVpF
- What is boreout, and how do you fix it? : Hannah Taylor, Forecast - https://bit.ly/4iCkTgG
.
.
#trend
#worklife
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast