โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ตำนาน “กุหลาบมอญ” กับบทบาทในวรรณคดีไทย ผลงานสุนทรภู่

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 03 ก.พ. เวลา 04.38 น. • เผยแพร่ 01 ก.พ. เวลา 23.00 น.
กุหลาบมอญ (Damask rose) หรือ ยี่สุ่น (ภาพจาก PickPik)

“กุหลาบมอญ” ดอกไม้ที่ไม่เพียงมีตำนานเชื่อมโยงกับพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่ยังปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยเรื่องสำคัญ งานประพันธ์ของกวีเอกอย่างสุนทรภู่ด้วย

กุหลาบมอญ (Damask rose) หรือ “ยี่สุ่น” เป็นกุหลาบประเภทหนึ่ง พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-2 เมตร ลำต้นและกิ่งมีหนาม ใบรูปไข่ ปลายคม โคนมน ขอบจักฟันเลื่อย ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกสีชมพูหรือแดง เป็นกระจุก 3-4 ดอก กลิ่นหอม ดอกดกและบานได้หลายวัน ออกดอกตลอดปี

กลีบดอกยี่สุ่นสามารถนำมากลั่นเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือใช้แต่งกลิ่นยา เครื่องสำอาง และใช้เป็นส่วนผสมของน้ำดอกไม้เทศ ซึ่งใช้บรรเทาอาการอ่อนเพลียและกระวนกระวาย สารสกัดจากกลีบดอกยังบำรุงหัวใจ ช่วยขับน้ำดี ส่วนดอกแห้งใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้

ที่มาของชื่อ กุหลาบมอญ สันนิษฐานว่ามาจากเรื่องเล่าคือ เดิมต้นไม้นี้เป็นพืชพื้นเมืองในพม่า มีชาวมอญเป็นผู้นำเข้ามาปลูกในไทยเมื่อราวสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (พ.ศ. 2112-2133) – สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2133-2148) แห่งกรุงศรีอยุธยา

อีกตำนานเล่าว่า กุหลาบมอญเป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองในกรุงหงสาวดี เมืองหลวงของชาวมอญในอดีต และราชธานีของพม่าในสมัยราชวงศ์ตองอู เมื่อสมเด็จพระนเรศวรฯ เสด็จไปเป็นองค์ประกันที่นั่นก็โปรดดอกไม้นี้ และนำกลับมาปลูกในแผ่นดินสยามหลังทำสงครามกับเมืองมอญ (พม่า) ซึ่งเกิดขึ้นหลังพระองค์ครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยุธยา และจบสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งหงสาวดีแล้ว

ยี่สุ่นยังมีปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยบางเรื่องของสุนทรภู่ คือ ลักษณวงศ์ดังว่า

“แล้วโฉมงามทรามสงวนนวลหง ชวนพระลักษณวงศ์เก็บบุปผา

ที่ปลูกไว้ใกล้บรรพศาลา เก็บจำปาพุทธชาดอัญชัญปน

ยี่สุ่นแซมแกมกับชมพูเทศ การะเกดชุมแสงทั้งสร้อยสน

บ้างหล่นกลาดดาษกลางแผ่นดินดล เสาวคนธ์รื่นรสเรณู”

เหตุการณ์ข้างต้นเป็นตอนที่ พระลักษณวงศ์(วัยเด็ก) ออกตามหาพระมารดาจนได้พบ นางทิพเกสร ที่อาศรมพระฤๅษี จึงสนทนาปราศรัยกันจนเริ่มสนิทชิดเชื้อ แล้วชวนกันเก็บดอกไม้ในป่าใกล้อาศรม

นอกจากนี้ ยี่สุ่นยังเป็นชื่อของตัวละครสำคัญในเรื่อง คือ นางยี่สุ่นธิดากษัตริย์เมืองยุบล มเหสีใหม่ของพระลักษณวงศ์ เมื่อคราวที่ต้องพรากจากนางทิพเกสร นางยี่สุ่นนับเป็นตัวละครที่มีลักษณะของ “นางร้าย” ของเรื่อง โดยสุนทรภู่พรรณนาถึงนางว่า

“มีพระราชธิดาวราพักตร์ วิไลลักษณ์เลิศลํ้าในตํ่าใต้

ชื่อยี่สุ่นสุมาลีศรีประไพ นางทรามวัยชันษาสิบห้าปี”

นอกจากลักษณวงศ์แล้ว ยี่สุ่นยังปรากฏอยู่ในเรื่อง พระอภัยมณี ตอนพระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี ธิดาเจ้าเมืองผลึก ที่ในภายหน้าจะเป็นมเหสีอีกคนของพระอภัยมณี และนางเป็นผู้มีบทบาทในการพาพระอภัยมณีและสินสมุทรไปจากเกาะแก้วพิศดาร ดังว่า

“สารภียี่สุ่นพิกุลเกด กระถินเทศกระทุ่มดอกออกไสว

พวกผู้หญิงชิงช่วงดวงดอกไม้ บ้างชิงได้ดอกประดู่ซ่อนชู้ชม”

การที่สุนทรภู่กล่าวถึงดอกไม้นี้ในงานของตน ทั้งนำมาตั้งเป็นชื่อตัวละครสำคัญ ย่อมสะท้อนว่ายุคต้นรัตนโกสินทร์สามารถพบดอกยี่สุ่นได้ทั่วไป และคงบานสะพรั่งงามเด่นทั่วบ้านทั่วเมือง จนเป็นที่จดจำของกวีเอกท่านนี้

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

อ้างอิง :

บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย”, สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. ยี่สุ่น. วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556. (ออนไลน์)

ศูนย์ราชการุณย์สภากาชาดไทย เขาล้าน. กุหลาบมอญ. สืบค้นวันที่ 31 มกราคม 2568. (ออนไลน์)

ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ. นิทานคำกลอนของสุนทรภู่ เรื่อง ลักษณวงศ์.กรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ ครั้งที่ 4 พุทธศักราช 2558.

ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ. นิทานคำกลอนของสุนทรภู่ เรื่อง พระอภัยมณี.กรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ ครั้งที่ 6 พุทธศักราช 2544.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2568

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ตำนาน “กุหลาบมอญ” กับบทบาทในวรรณคดีไทย ผลงานสุนทรภู่

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...