โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

“ดุกบิ๊กอุย”ปลาหนังลูกผสม สร้างรายได้ 7 หลักต่อปี ที่ปทุมธานี

เทคโนโลยีชาวบ้าน

เผยแพร่ 03 เม.ย. 2561 เวลา 04.00 น.

ปลาดุกบิ๊กอุย เป็นปลาลูกผสมข้ามพันธุ์ระหว่างปลาดุกอุยเพศเมียและปลาดุกเทศเพศผู้ ซึ่งการเพาะขยายพันธุ์เป็นไปได้ดี ลูกที่ได้มีอัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว ทนทานต่อโรคสูง มีลักษณะใกล้เคียงกับปลาดุกอุย จึงทำให้เกษตรกรนำวิธีการผสมข้ามพันธุ์ไปปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย โดยลูกปลาที่เกิดจากคู่ผสมนี้ระหว่างปลาดุกทั้งสองนี้ทางกรมประมงให้ชื่อว่า ปลาดุกอุย-เทศ  แต่โดยทั่ว ๆไปชาวบ้านจะติดเรียกกันว่า บิ๊กอุย หรือ อุยบ่อ

คุณชนชัย ปั้นทองสุข เกษตรกรคนเก่งชาวจังหวัดปทุมธานีเป็นหนึ่งคนที่ได้หันมาประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงปลาดุกบิ๊กอุยเป็นอาชีพหลัก อยู่ที่จังหัวดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า 160 ไร่

คุณชนชัย เล่าให้ฟังว่า เดิมตนประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำนาสืบทอดมาจากพ่อและแม่  เหมือนกับคนอื่นๆที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน  แต่ทำมาระยะหนึ่ง ในชุมชนเริ่มปรับเปลี่ยนอาชีพ หาอาชีพเสริมเข้ามาทำควบคู่กับการทำนา เพราะกว่าต้นข้าวจะให้ผลผลิตได้ต้องใช้ทั้งเวลาและต้นทุนการผลิตที่สูง  ต้องหาอาชีพที่สามารถสร้างรายได้เข้ามา และในขณะนั้นมีเพื่อนบ้านเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน แต่ละปีได้ผลผลิตดี ทำรายได้สูงในแต่ละรอบ จึงสนใจและทดลองเลี้ยงดู

“เริ่มแรกผมเริ่มทดลองเลี้ยง 2 บ่อ แต่ละบ่อกว้างประมาณ 2-3 ไร่ ศึกษาลองผิดลองถูกกับการทุกกระบวนการเลี้ยงมาระยะหนึ่ง ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ปลามาปล่อย ปริมาณการปล่อยแต่ละบ่อ การเลือกอาหารให้กับปลาที่เลี้ยงในแต่ละช่วงอายุ สอบถามจากผู้ที่รู้ ศึกษาจากสื่อต่างๆ จนประสบความสำเร็จ ได้ปลามีน้ำหนักดี ขายได้ราคา ตลาดมีรองรับ จากนั้นผมจึงค่อยๆเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นโดยการปรับเปลี่ยนท้องนากว่า 160 ไร่ ทำเป็นบ่อเลี้ยงปลาดุกเพิ่มขึ้นทุกปี จนปัจจุบันมีบ่อเพาะเลี้ยงทั้งหมด 55 บ่อ”

เตรียมบ่อเลี้ยง ก่อนปล่อยลูกปลา

การเลี้ยงปลาดุก ถึงแม้จะเป็นปลาหนังที่เลี้ยงง่าย แต่ต้นทุนค่อนข้างจะสูง 400,000 – 500,000 บาทต่อบ่อ จะลงทุนหรือทำการเพาะเลี้ยงจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทุกกระบวนการ โดยเฉพาะการเตรียมบ่อเพาะเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และกับความสามารถในการดูแลที่ครอบคลุม

“เนื่องจากพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งพื้นที่ด้านหน้าค่อนข้างจะแคบ แต่มีความยาว การว่างตำแหน่งบ่อจึงเป็นลักษณะต่อกันแนวยาวลึกเข้าไปด้านใน โดยแต่ละบ่อจะห่างกันประมาณ 1.5 – 2 เมตร สองฝั่งของพื้นที่ที่ใช้ขุดทำเป็นบ่อ จะขุดร่องน้ำขนาบสองข้าง ความกว้างประมาณ 1-1.5 เมตร ด้านหนึ่งใช้ดึงน้ำเข้าบ่อเลี้ยง อีกด้านหนึ่งใช้ระบายน้ำออกจากบ่อเพาะเลี้ยงไปยังแปลงนารอบๆของเกษตรกร

ความลึกของบ่อจะประมาณ 2 เมตร ส่วนความกว้างขึ้นอยู่กับพื้นที่และความต้องการของผู้เลี้ยง แต่ส่วนใหญ่แล้วบ่อเพาะเลี้ยงจะกินเนื้อที่ประมาณ 2-3 ไร่ และเพื่อป้องกันศัตรูที่จะเข้ามาทำร้ายปลาด้านบนบ่อเลี้ยงจะใช้ไม้ไผ่ปักสลับเป็นลักษณะฟันปลาและใช้ตาข่ายตาถี่กางขึงกับไม้ไผ่ที่ปักไว้เพื่อป้องกันนกเข้ามาจิกและทำร้ายปลาที่เลี้ยงที่เลี้ยง”

สำหรับบ่อเลี้ยงที่ทำการจับปลาไปจำหน่ายแล้ว บ่อเลี้ยงไหนที่ยังคงสามารถเลี้ยงปลาต่อได้ ก็จะปล่อยลูกปลาลงไปเลี้ยงต่อทันที แต่หากบ่อเลี้ยงไหนที่ตื่นเขินหรือมีปลาตายเยอะจนเกินไป คุณชนชัยจะขุดลอกและทำความสะอาดเปลี่ยนน้ำใหม่ โดยทำการสูบน้ำออกปล่อยลงร่องระบายน้ำที่ขุดไว้ด้านใดด้านหนึ่งของบ่อ ขุดลอกบ่อและตากแดดทิ้งไว้ระยะหนึ่ง พอบ่อเลี้ยงพร้อมก็จะทำการดึงน้ำจากร่องน้ำที่ขุดไว้อีกด้านของบ่อเข้ามาและปล่อยลูกปลาลงไปเลี้ยงต่อได้ทันที

ปล่อยในอัตรที่เหมาะ บริหารจัดการด้านอาหาร

เพื่อไม่ให้ปลาทำร้ายหรือแย่งอาหารกันเองในแต่ละบ่อจึงกำหนดอัตราการปล่อยลูกปลาลงไป ซึ่งคุณชนชัยบอกว่าบ่อขนาดประมาณ 2-3 ไร่ จะปล่อยลูกปลาขนาด1-2 นิ้วที่ได้จากการอนุบาล ประมาณ 70,000-80,000ตัวต่อบ่อ อัตราการรอด 80 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตได้ประมาณ 20 ตันต่อบ่อ

ระยะเวลาในการเลี้ยง คุณชนชัย บอกว่า ตั้งแต่ปลาเล็กไปจนถึงจับจำหน่าย จะมีปลาหลากหลายขนาด ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปทำปลาเค็ม ปลาย่าง และชื้อไปปล่อย โดยเฉลี่ยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6-7 เดือนในการเลี้ยง

ส่วนอาหารปลาเล็กจะให้เป็นอาหารเม็ดประมาณ 20 วัน แต่หลังจากปล่อยลงบ่อเลี้ยงจะเปลี่ยนเป็นเศษซีโครงไก่ เป็ด ใส่ไก่ ใส่เป็ด โดยจะนำมาบดให้ละเอียดด้วยเครื่อง ก่อนนำไปให้ โดยแต่ละวันจะให้เพียง 1 ครั้ง ปริมาณการให้อาหารแต่ละครั้งจะสังเกตุจากการกินเยื่อของปลาในแต่ละบ่อว่าจะกินมากน้อยเพียงใด ซึ่งการเลี้ยงด้วยซี่โครงไก่ เป็ด บด จะมีอัตรการแลกเนื้อและการเจริบเติบโตที่เร็วกว่า ที่สำคัญต้นทุนด้านอาหารก็ถูกกว่าการเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด

สำหรับเรื่องการจำหน่าย คุณชนชัยบอกว่า จะมีลูกค้ามารับชื้อที่ปากบ่อ โดยทุกๆวันจะจับจำหน่ายได้วันละไม่ต่ำกว่า 10 ตัน ราคาจำหน่ายกิโลกรัมละ 40-45 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาด)  โดยเฉลี่ยปลาประมาณ  4-5 ตัว จะมีน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัม ทำรายได้วันละ 400,000 – 500,000 บาท(ยังไม่หักรายจ่าย)ซึ่งเมื่อเทียบกับต้นทุนแล้วยังไม่เพียงพอ การบริหารจัดการเงินที่จะนำมาใช้จ่ายจึงเป็นเงินหมุนเวียน โดยการกูยืมจากแหล่งเงินทุนต่างๆเข้ามาช่วย

“การเพาะเลี้ยงปลาดุก ต้องใช้ต้นทุนที่สูงอย่างที่บอก ผมต้องขอบคุณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธกส. ซึ่งเป็นธนาคารแห่งเดียวที่ครอบครัวได้ใช้บริการมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง ถึงในยุคแรกๆจะให้สินเชื้อน้อย การติดต่อและข้อจำกัดที่เกษตรกรบางคนไม่สามารถขอใช้บริสินเชื้อได้ แต่ ณ ปัจจุบัน ธนาคารได้เปิดทางเลือกให้กับเกษตรกรทุกกลุ่ม  ไม่มีข้อจำกัดที่ยุ่งยากเหมือนแต่ก่อน การอนุมัติวงเงินแต่ละครั้งให้เยอะ ซึ่งตัวผมมองว่าเป็นธนาคารเพื่อเกษตรกรหลายๆคนรวมถึงตัวผมเอง”คุณชนชัยกล่าวทิ้งท้าย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...