โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

Eleanor's Huntsman เริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นนายพรานแห่งเอเลนอร์

นิยาย Dek-D

อัพเดต 05 เม.ย. 2567 เวลา 23.05 น. • เผยแพร่ 05 เม.ย. 2567 เวลา 23.05 น. • Signet L.
หลังถูกยิงตายจากการไปพัวพันคดีสีเทา เขาก็ได้เข้ามาสวมร่างนายอลัน ชายร่างอวบอัดแห่งโลกเอเลนอร์ มันเป็นโลกที่ไฮเทคฯ กว่าโลกเดิม แต่ดันมีพลังงานพิเศษเสียด้วย ติดตรงนายอลันมันห่วยเสียนี่แหละ!

ข้อมูลเบื้องต้น

-. Eleanor's Huntsman .-

อลัน ฟลินท์

อายุ 23 ปี

อาชีพ นายพราน

ชายหนุ่มที่เข้าไปพัวพันกับธุรกิจสีเทา สุดท้ายก็โดนดักยิงตายกลางป่าเขาลำเนาไพร
แต่ดันกลับได้ย้ายชีวิตมาอยู่อีกโลกที่เทคโนโลยีสูงกว่าโลกเดิม
แถมยังเป็นโลกที่มีพลังพิเศษอีกต่างหาก

-. โลกใบที่ชื่อ ‘เอเลนอร์’ .-

หลังจากสวมร่างนาย อลัน ฟลินท์ ชายหนุ่มวัย 23 ปี ที่ไม่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เป็นเพียงพนักงานร้านสะดวกซื้อจน ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง

เรื่องราวของการสร้างเนื้อสร้างตัวและการผจญภัยไปในโลกที่แสนอัันตราย เต็มไปด้วยสัตว์อสูร และ เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ มากมายก็ได้เริ่มขึ้น

ไม่ดุดัน ไม่เวอร์วัง ไม่อลังการงานสร้าง แต่เป็นบทบันทึกเรื่องราวของชายธรรมดาที่กำลังก้าวเข้าสู่ความไม่ธรรมดาด้วยการประกอบอาชีพเป็นนายพรานของสมาคมนายพรานอันยิ่งใหญ่แห่งโลกเอเลนอร์

ความหวังในความร่ำรวย การสร้างเนื้อสร้างตัวจากศูนย์ การต่อสู้ที่สู้ได้บ้างไม่ได้บ้าง
เศร้าบ้าง ฮาบ้าง เน้นสนุกเป็นสีสัน

ตำนานบทใหม่ของนายพรานแห่งเอเลนอร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว

Title : Eleanor’s Huntsman

Writer : Signet L.

ตายแล้วไปไหน?

เจ็บ… เจ็บมาก มึนหัวไปหมดแล้ว… เราต้องตายแล้วเหรอ…

…ไม่สิ ต่อให้ยังไม่ตายสักพักก็ต้องตายอยู่ดี มาโดนดักยิงท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรไกลปืนเที่ยงแบบนี้
ชีวิตเราคงจบในวัยย่างเข้า 35 ปีแล้วล่ะ

ก็ว่าแล้วว่าวันนี้มันแปลก ๆ แต่งานก็ต้องทำไง ใช่มะ? เดินไปเดินมาแปปเดียว โห่ นึกว่าเสียงประทัด …ที่ไหนได้ เล่นยิงตูซะพรุนเลย

…แต่จะว่าไปชีวิตเราก็แปลก ตอนไปทำธุรกิจถูกกฎหมาย ไม่ว่าจะทำอะไรกลับถูกเรียกส่วยจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทั้ง ๆ ที่เราก็พยายามทำตามกฎหมายทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็จะต้องมีบางจุดบางแง่มุมที่อยู่ดี ๆ ก็ผิดแบบงง ๆ ซะอย่างนั้น

แต่พอตัดใจมาทำธุรกิจสีเทาหน่อยแม้จะต้องจ่ายมากขึ้นแต่กลับทำงานง่ายขึ้นเยอะ ซื้อง่ายขายคล่อง เปิดถึง
กี่โมงก็ได้ ภาษีก็ไม่ต้องจ่าย ประกันสังคมก็ไม่ต้องมี แล้วไป ๆ มา ๆ ไอ้ที่เทา ๆ กลับกลายเป็นดำคล้ำลงเรื่อย ๆ

จากแค่อยากเปิดร้านอาหารกลางคืนแล้วปิดช้าเกินเวลาสักหน่อย อยู่ดี ๆ ก็มีโอกาสจากลูกค้าให้ไปเป็นนายหน้าบ่อนพนันออนไลน์จากต่างประเทศ

ไอ้เราก็รู้แหละว่าไม่ถูกต้อง แต่ลองมองดูสิ ทั่วประเทศเรา ไม่ว่าจะดารา ไฮโซ ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร หมอ ทุกสายงาน ทุกสายอาชีพ พวกนั้นก็ทำทั้งนั้น เปิดเว็ปพนันออนไลน์ จ้างพวกแร็ปเปอร์มาแต่งเพลงให้เพื่อใช้โฆษณา แล้วก็เอาพริตตี้กับดาราตกอับสักสองสามคนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ แล้วเป็นเล่นไป ทำแค่นี้ยอดก็ได้เป็นสิบล้านร้อยล้านแล้วนา นี่ไม่นับพวกทำเว็ปโป๊ควบไปด้วย กำไรเยอะจะตาย…

ตำรวจ? มีใครกลัวโดนจับด้วยเหรอไง! แค่อย่าไปดึงลูกค้ากลุ่มเดียวกันก็พอแล้ว ไปเช็คให้ดี ๆ สิว่าเว็ปพวกนั้นเน้นอะไร? ถ้าเป็นไพ่ป๊อก เอ็งก็ไปทำเก้าเกแทน สบาย ๆ น่า…

แต่ก็นะ …ใจลึก ๆ เราก็รู้แหละ ว่าการที่ทำตามคนอื่น ๆ นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราทำถูกต้อง เราก็เข้าใจดี กฎหมายก็คือกฎหมาย ในเมื่อมันผิดก็ต้องว่าไปตามนั้น คนที่มีอำนาจเขาก็เลี่ยงได้ แต่เราไม่มีเราก็ต้องรับ ในเมื่อเราถลำลึกลงมาเกินครึ่งตัวแล้ว ต่อให้อยากออกไปก็ใช่ว่าจะทำได้ซะเมื่อไหร่ล่ะ…

แต่อย่างแย่ที่สุด ที่คิดไว้ก็แค่ถูกตำรวจจับไม่ใช่เหรอ… ปรับเงินสักก้อน ติดคุกสักปีนึง แล้วก็จบ ๆ ไป ออกมาใช้เงินสบาย ๆ ไม่ใช่เหรอ?

คือตอนนั้นเคยคิดไว้นะ ว่าถ้าถูกจับสักครั้ง แสร้งทำเป็นกลัวจนหัวหด ใช้เงินหว่านวิ่งคดีไปให้มากหน่อย ไปติดคุกสักพัก จากนั้นก็ถอนตัวออกมาเงียบ ๆ ส่งไม้ต่อให้คนที่อยากรวยสักคนแล้วหนีไปต่างประเทศ แค่นั้นก็จบไง

ทั้งที่คิดแผนไว้แล้วแท้ ๆ …แต่สุดท้ายกลับต้องมาพัวพันกับการค้ายาเสพติดเข้าจนได้

ก็แทนที่ไอ้พวกหัวปิงปองนั่นจับเราไปแล้วจะดำเนินคดีให้มันจบ ๆ พอเห็นลู่ทางเรามากหน่อยก็กลับบังคับให้เราเป็นนายหน้าติดต่อเอเย่นต์รายใหญ่จากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่จะนำเข้ายาเสพติดจำนวนมากมามอมเมาคนในประเทศ

คิดว่าตัวเราจะทำ? หน้าตาเราชั่วขนาดนั้นจริงดิ? คนมีหนวดเคราไม่ได้แปลว่าชั่วนะเฮ้ย…

ก็นั่นแหละ แล้วไอ้พวกหน้าโง่นั่นไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าเราแค่เสแสร้งแกล้งยอม คิดว่าเรากลัวคดีการพนันออนไลน์จนหัวหด ให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ถามจริง? กลัวไรฟะ เงินก็ซุกไว้ที่อื่นหมดแล้ว จริงมั้ยล่ะ?

ก็นั่นอีกแหละ จะเรียกว่าสีเทาหักสีเทาก็ได้ สุดท้ายหน้าโหด ๆ อย่างเราก็ตัดใจขายยาเสพติดไม่ลงจริง ๆ สรุปสุดท้ายก็เลยเล่นงานพวกมันซะเลย

เหอะ… เจอซ้อนแผนเรียกปปส. มารวบแม่งยกกะบิ จับยาล็อตใหญ่สุดในรอบปี คงแค้นเราเข้ากระดูกดำกันเลยสิท่า? จะว่าไปตอนนั้นกลัวเจอปปส. หิวเงินเหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่เจ้าหน้าที่ดี ๆ ในประเทศนี้ยังมีเหลืออยู่ …ขอบคุณครับ

แต่ก็นะ อุตส่าห์หนีมากบดานจังหวัดห่างไกลความเจริญขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ขนาดคนที่บ้านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราหนีไปไหน แต่ไอ้พวกเวรตะไลนั่นยังหาเจอจนได้ …เก่งกันจังวะ แล้วก็มาเก่งแต่กับตูซะด้วย

แล้วญาติเราก็เหลือแค่พี่ชายที่อยู่ต่างประเทศ เกือบได้หนีไปอยู่ด้วยแล้วแท้ ๆ แต่นั่นล่ะ ใครใช้ให้เรามีคดีเยอะจนนั่งเครื่องบินไปแบบปกติไม่ได้ล่ะ แล้วไอ้เรือสินค้าเวรนั่นก็ลีลาไม่ยอมออกซักทีรอเรียงคอนเทนเนอร์บ้าง รอสินค้ามาเติมบ้าง

บ้าบอคอแตก! สุดท้ายเราก็เลยต้องหนีเป็นหมาตัวนึง ดีนะ ยังโอนเงินผ่านช่องทางพิเศษไปครบหมดแล้ว แม้จะโดนหักไปเยอะหน่อยก็เถอะ

อืม… แต่เราก็ไม่รอดอยู่ดีนี่หว่า? เหมือนเราจะโดนยิงราวสามสี่นัดสินะ รู้สึกจะโดนตรงท้องกับหน้าอก? ไม่รู้สิ ไม่มีแรงจะยกหัวไปมองแล้วล่ะ …แต่ตอนนี้เริ่มไม่เจ็บแล้วแฮะ เหมือนอากาศเริ่มหนาวแทน สงสัยวาระสุดท้ายใกล้มาถึงเต็มทีแล้วล่ะนะ

เอาจริงเลยนะ นี่ถ้าไม่ลาออกจากงานประจำตอนอายุ 25 ป่านนี้เราคงเป็น
รองผู้จัดการไปแล้วมั้ง? หรืออย่างน้อยก็พนักงานอาวุโสสักตำแหน่งไรงี้

…แต่ก็นั่นล่ะ ยุคนี้สมัยนี้ใคร ๆ ก็อยากร่ำรวยไม่ใช่เหรอ? ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ วันนั้นเราก็คงลาออกอยู่ดีนั่นแหละ

นั่นแปลว่านี่คือโชคชะตา? …แต่ก็ไม่น่าใช่มั้ง เราเรียกปปส. มาจับพวกมันนะ ความดีงามพวกนี้ไม่น่าส่งผลให้เราต้องมาตายอนาถแบบนี้หรอกมั้ง? …หรือบาปเราจะเยอะเกินไปฟะ? ช่างเหอะ คิดไปก็รกสมองน่า

โอ๊ะ… ไม่รู้สึกถึงร่างกายแล้วแฮะ เราคงทนไม่ไหวแล้ว อา… ขอให้พี่ชายประสบแต่ความเจริญแล้วกันนะ ตังที่โอนไปก็อย่าไปหาที่มาที่ไปเลย ใช้ ๆ ไปเถอะ

ส่วนน้องที่ไม่ได้เรื่องได้ราวคนนี้คงต้องลาไปก่อนแล้ว …แล้วผมยังไม่เข้าใจที่พี่บอกหรอก เรื่องการเป็นคนดีน่ะ จะแยกยังไงในเมื่อมองไปทางไหนก็มีแต่เรื่องเทา ๆ เต็มไปหมดอะนะ ช่างเถอะ ๆ ไม่ทันแล้วล่ะ …สุดท้ายก็ขอให้ลูกสาวพี่โตอย่างมั่นคงแข็งแรงมีครอบครัวที่ดี เข้าใจคำว่าความดีงามแบบที่พี่คอยสอนผมนะ แล้วก็…

…ผมขอโทษนะครับ


เอ๋…

นี่มันอะไรกันเนี่ย… เรายังไม่ตายเหรอ?

หนุ่มวัยรุ่นอายุไม่เกินยี่สิบห้าปีคนหนึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ แววตามึนงงสุดขีด ภาพที่ปรากฏแก่สายตาช่างน่าพิกลนัก โลกเราเทคโนโลยีไปไกลขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ทำไมเราจำไม่ได้เลยว่ามีอุปกรณ์ไฮเทคฯ ขนาดนี้อยู่ด้วย

ไม่ทันได้สับสนนาน ความเจ็บปราดแล่นเข้าสู่สมอง ความทรงจำต่าง ๆ ไหลเข้ามารวมกันราวน้ำวนขนาดย่อม ความเจ็บนี้ไม่ได้ด้อยกว่าตอนถูกยิงเท่าไหร่นัก ร่างชายหนุ่มปริศนาลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้น

“โอย… เอ่อ… เราชื่อ อลัน ฟลินท์ อายุ 23 ปี ทำงานร้านสะดวกซื้อ ส่วนที่นี่… โลกนี้…มันประหลาดเกินไปแล้ว!” ประโยคสุดท้ายเขาเอ่ยขึ้นเต็มเสียง

เมื่อความทรงจำเจ้าของร่างนี้หลอมรวมกับเขา มันทำให้เขาถึงกับเก็บอาการไม่อยู่

จากข้อมูลที่ไหลเข้ามา โลกใบนี้ชื่อว่า ‘เอเลนอร์’ มันมีขนาดกว้างใหญ่มาก ๆ ประชากรทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่าสามพันล้านคน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่สำคัญก็คือที่นี่ประชากรถูกแบ่งระดับตามการวิวัฒนาการต่างหาก

ประชากรบนโลกใบนี้ เกินกว่าครึ่งล้วนก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่ง หรือสูงกว่านั้น พลังแปลกพิสดารจำนวนมากถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของดาวเคราะห์ดวงนี้

โดยปกติ พลังพิเศษจะตื่นขึ้นมาในช่วงอายุระหว่าง 12-18 ปี ในช่วงแรกเริ่มของยุคสมัยก็มีไม่มากเท่าไหร่ จนกระทั่งราว 600 ปีมานี้ เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นวิธีกระตุ้นพลังแฝงในร่างกายทำให้เกิดการบังคับวิวัฒนาการ หลังจากนั้นประชากรจำนวนมากก็ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่อย่างเต็มตัว

แต่ที่สำคัญคือ โลกใบนี้เทคโนโลยีไม่ได้ด้อยไปกว่าโลกเดิมเลย ในบางเรื่องมันระดับสูงกว่าด้วยซ้ำ เรียกว่าพัฒนาการทั้งสองด้านทั้งวิทยาศาสตร์และพลังพิเศษไม่ได้ด้อยกว่ากัน เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ๆ

ตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ตรงหน้าของอลัน มันเป็นเพียงแผ่นบาง ๆ ขนาดกว้างราวทีวี 40 นิ้ว และมีความหนาราว 7-8 มิลลิเมตร สามารถแปะอยู่ตรงผนังโล่ง ๆ ได้ และไอ่แผ่นนั่นเป็นชิ้นส่วนทั้งหมดที่มันมี ทั้งยังสามารถแกะออกม้วนกลม ๆ ย้ายไปแปะตรงไหนก็ได้อีกด้วย

ส่วนในด้านพลังพิเศษจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม บุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ล้วนแต่มีพลังพิเศษสุดอลังการอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเหาะเหินเดินอากาศ เรียกอุกกาบาตจากฟ้า หรือไม่ก็ใช้พลังจิตยกเมืองหนีจากการรุกรานของสัตว์อสูร

ไม่ว่าในเรื่องไหนล้วนแต่น่าเหลือเชื่อ โลกใบนี้มันแปลกเกินไปแล้ว เพียงแต่ว่า…

“ได้ข้ามโลกมาทั้งที …แต่อลันเอ๊ย อลัน ทำไมแกมันกากขนาดนี้วะเนี่ย!” เขาถึงขั้นแทบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มือสองข้างทึ้งหัวตัวเองไม่หยุด

ก็แน่ล่ะ! …ร่างกายของนายอลัน ยังไม่มีพลังตื่นขึ้นเลยสักอย่างเดียว …แม้แต่อย่างเดียว! ทั้ง ๆ ที่อายุ 23 ปีเข้าไปแล้ว!

ในด้านการศึกษาก็ห่วยแตกสิ้นดี! หมอนี่จบแค่การศึกษาพื้นฐานเท่านั้น

เมื่อไม่มีทั้งพลัง ไม่มีทั้งความรู้ หมอนี่ทำได้แค่ทำงานร้านสะดวกซื้อเลี้ยงชีพ สมบัติที่แพงที่สุดในห้องเช่าเล็ก ๆ นี่ก็คือคอมพิวเตอร์ราคา 40,000 เครดิตที่ยังผ่อนไม่หมดนี่เท่านั้น!

…ผ่อนยังไม่หมด!

เขาลุกออกจากเตียงเพื่อสงบสติอารมณ์ เขาลงนั่งลงไปส่องกระจกดูร่างกายใหม่ของตัวเองอีกครั้งเผื่อจะเจออะไร
ดี ๆ

ชายหนุ่มวัยรุ่นตอนปลาย ก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 23 ปี ผิวขาวเหลืองหน้าตาออกไปทางเอเชีย เพียงแต่มีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ร่างกายค่อนข้างอวบอัด เนื่องจากกินแต่อาหารฟาสต์ฟู้ดทุกมื้ออาหาร พอแดดร่มลมตกก็กินแต่แอลกอฮอล์นา ๆ ชนิด

และจากความทรงจำที่แล่นพรวดพราดเข้ามา เมื่อคืนหมอนี่ซัดเบียร์ไม่ยั้งตั้งแต่เลิกงานยาวไปยันเกือบสว่าง พอกลับมาก็มาเปิดคอมฯ เล่นเกมแพ้จนความดันขึ้น สักพักก็แน่นหน้าอก ฟุบลงไปกับโต๊ะ …ตายคาที่

“หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันสินะ ตายอย่างโดดเดี่ยวไม่ต่างจากเราเท่าไหร่นี่ ฮะ ๆ
แต่ว่าฉันชนะแน่นอน กว่าฉันจะตายต้องโดนยิงตั้ง 4 นัดนะเฟ้ย” อยู่ดี ๆ ก็ขิงวิธีตายซะงั้น สงสัยจะเป็นผลกระทบจากการย้ายร่าง…

“ช่างเถอะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว อดีตก็ผ่านไป นับจากวันนี้ เราคือ อลัน ฟลินท์!”

โอกาสครั้งใหม่มาแล้ว ลองดูซักตั้งก็แล้วกัน…


อลันจัดการตัวเองแบบง่าย ๆ เขาจำได้ว่าวันนี้เขาต้องเข้ากะที่ร้านสะดวกซื้อตอนบ่ายโมงตรง ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว อย่างน้อยเขาต้องไปหาอาหารดี ๆ กิน
สักหน่อยก่อน

อันที่จริงเขาจะโดดงานไปเลยก็ได้ อย่างไรอลันคนเดิมก็ไม่ใช่คนขยันขันแข็งอยู่แล้ว มีหลายครั้งที่เขาขอลางานเพียงเพราะเมื่อคืนดื่มหนัก ตื่นไม่ไหว เรียกว่าความรับผิดชอบไม่เคยมีอยู่ในหัวสมองแต่แรกแล้ว

แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่อลันคนเดิม อีกทั้งเขายังอยากเข้าสู่โลกใบใหม่ให้เร็วที่สุด แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่มีพลังพิเศษใด ๆ แต่จากความทรงจำ มันยังสามารถกระตุ้นออกมาได้ ขอเพียงเขาเก็บเงินได้มากพอ

ดังนั้น เขาจึงต้องไปทำงาน…

เวลาเที่ยงครึ่ง ตามปกติอลันคนก่อนจะไปหาของที่ในร้านสะดวกซื้อที่เขาทำงานนั่นแหละ แต่ตอนนี้นายอลันคนใหม่ลงมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่แถวร้านสะดวกซื้อแทน ซึ่งอาหารที่เอเลนอร์แห่งนี้มีหลากหลายมาก ๆ เรียกว่าถ้าเป็นโลกเดิม เยอะขนาดนี้ก็เป็นโซนอาหารนานาชาติได้เลยทีเดียว แต่สุดท้ายเขาเลือกกินก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ เพื่อรีเฟรชร่างกายอวบอัดให้พร้อมสำหรับการทำงาน…

เขาเดินมาถึงร้านสะดวกซื้อก่อนเวลาเข้ากะประมาณ 15 นาที เพื่อนร่วมงานหลายคนทักเขาอย่างประหลาดใจ

“เหลือเชื่อ… ปกติต้องเลท 15 นาทีไม่ใช่เหรอ สงสัยวันนี้พายุจะเข้าแล้วล่ะ” เพื่อนร่วมงานชายผมแดงที่กำลังจะเลิกงานจากกะก่อนหน้าเอ่ยทักเขาแบบทึ่ง ๆ

“เงียบน่า สมิท วันนี้ก็แค่ขยันเท่านั้นล่ะ” อลันตอบกลับไปง่าย ๆ จากความทรงจำ เขากะไว้แล้วว่าต้องมีคนทักแน่ ๆ หาดเขามาเข้างานก่อนเวลา …ซึ่งก็เดาไม่ผิดเลย

“พูดได้ดี อลัน นายต้องขยัน ๆ หน่อย ไม่งั้นหัวหน้าอาจจะไล่นายออกได้ทุกเมื่อ” เจนนิส หญิงสาวเพื่อนร่วมงานอีกคนเอ่ยเสริมพลางหัวเราะคิกคักไปด้วย

“ไม่มีวันนั้นหรอกน่า! รู้ซะบ้างว่าฉันเป็นใคร” อลันใช้ความทรงจำเดิมตอบกลับอย่างนิ่ม ๆ เขารู้มานานแล้วว่า เมซี่ ผู้จัดการร้านอยากจะไล่เขาออกเต็มแก่ เพียงแต่เจ้าอลันมันรู้มาก แม้จะสายและลาบ่อย แต่ก็ไม่เกินโควตาการทำงานของร้านเลยสักครั้ง เต็มที่เธอเลยทำได้เพียงตัดเงินเฉยๆ

“ระวังเถอะ พลาดเมื่อไหร่ นายเป็นอดีตพนักงานแน่ ๆ” สมิทบอกพลางหัวเราะร่วน หมอนี่รำคาญอลันที่ชอบมาเข้ากะสายบ่อย ๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก

หลักจากแซวกันพอหอมปากหอมคอ อลันก็เข้าทำหน้าที่ของตัวเองต่อจากสมิท และ เจนนิส ซึ่งรีบร้อนเดินออกไปหาอะไรกินทันที

เพื่อนร่วมงานอีกคนของเขาก็มาทันเวลาเข้ากะแบบฉิวเฉียด เธอชื่อแอนนา เป็นพนักงานพาร์ทไทม์เนื่องจากยังเรียนการศึกษาเฉพาะทางอยู่ เรียกได้ว่าอนาคตค่อนข้างดีทีเดียว ขอแค่สอบให้ผ่านในรอบเปิดรับ เธอก็สามารถบอกลางานห่วย ๆ นี่ได้ทันที

“วันนี้เธอไปทำตรงแคชเชียร์แล้วกัน เดี๋ยวงานเช็คของฉันทำเอง” อลันเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

…และมันดันทำให้เงียบลงไปอีก แอนนาทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ ปกติอลันมักจะทำงานแคชเชียร์เนื่องจากงานเดินเช็คของและเติมของมันเหนื่อยกว่า แอนนาที่เป็นผู้หญิงมักจะต้องก้มหน้าก้มตาทำ เพราะไม่อยากมีปัญหากับอลันผู้ที่สามารถชี้หน้าด่าใครก็ได้โดยไม่มีความรู้สึกผิด

“ไม่ต้องอึ้ง เพราะถ้าเงินในลิ้นชักเครื่องคิดเงินหาย เธอต้องรับผิดชอบนะ!” อลันไม่อยากบอกว่าเขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว และเขาไม่สามารถให้ผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเขาทำงานหนักกว่าได้ เขาถึงหาข้ออ้างเรื่องเลี่ยงการรับผิดชอบลิ้นชักเก็บเงิน

แอนนาตาเหลือกเดินไปเช็คเงินในเครื่องทันที แม้ร้อยละ 99 เงินจะถูกจ่ายผ่านระบบ แต่ร้านก็เตรียมเศษเงินไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด แม้มันจะราว ๆ แค่สามร้อยเครดิต แต่ถ้าหายไป พนักงานก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี ด้วยเงินเดือนที่น้อยนิด เธอไม่สามารถพลาดได้

เพียงแต่… อลันไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนดีเมื่อเห็นแอนนาเช็คเงินไม่กี่ร้อยซ้ำไปซ้ำมา …กลัวฉันแฮ้บตังไปขนาดนั้นเลยเรอะไง! หน้าฉันเหมือนโจรขนาดนั้นเลยเรอะ! ฉันโกนหนวดมาแล้วนะเฟ้ย!

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้บ่นอะไรออกไป เพียงแค่กรอกตาเบา ๆ แล้วเดินไปทางานต่อด้วยสีหน้าย่ำแย่เท่านั้น

พระเจ้าให้ชีวิตข้า แล้วไยไม่ให้เงินข้ามาด้วย?

หลังจากทำงานแบบไม่ตั้งใจเท่าไหร่ไปหกชั่วโมงเต็ม ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว

อลันพาร่างกายอวบอัดที่ล้าเล็กน้อยออกมาจากร้านสะดวกซื้อ หากเป็นตัวอลันคนก่อน เขาต้องเดินทางไปถนนรีเวอร์เพื่อจิบเบียร์เย็น ๆ ร่วมกับขี้เมาแถว ๆ นั้น รอจนดึกดื่นไม่ก็เกือบเช้าค่อยโซซัดโซเซกลับห้อง แต่ในเมื่อเขาไม่ใช่คนเดิมแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นอีกต่อไป

เขาเดินไปนั่งรถประจำทางที่รูปทรงโฉบเฉี่ยวล้ำยุคกว่าโลกเดิมมาก เพื่อไปซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ ๆ หอพัก วันนี้เขาวางแผนจะทำอาหารกินเอง เพราะว่าจากการทำงานวันนี้ อลันรำคาญร่างกายที่อวบอัดนี้อย่างมาก แค่ขยับไปมาก็เหนื่อย ก้ม ๆ เงย ๆ ก็อึดอัด จะหันตัวเร็ว ๆ ก็ปวดโน่นนี่ไม่หยุด นี่มันไม่ควรเป็นร่างกายของคนอายุยี่สิบสามปีแม้แต่น้อย

“วันนี้ต้องทำอาหารดี ๆ กินหน่อย เอาแบบครบห้าหมู่ แล้วก็ช่วงนี้ไม่มีงานกะเช้าไปอีกสองอาทิตย์ เพราะสมิทกับเจนนิสต้องไปติวหนังสือช่วงบ่าย เพื่อไปสอบงานเจ้าหน้าที่สำนักงานเมืองเดือนหน้าเลยขอทำกะเช้ายาว ๆ ดังนั้นเราต้องเริ่มออกกำลังกาย” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง เพื่อวางแผนเปลี่ยนแปลงร่างกายอันอุ้ยอ้ายนี้

ราวหนึ่งทุ่มเขาก็กลับถึงห้องพักแล้ว กว่าจะทำอาหารเสร็จก็คงเกือบ ๆ สองทุ่ม นั่นเป็นเวลาที่ไม่ดีเท่าไหร่กับการทานอาหารเย็น ดังนั้น พรุ่งนี้เขาจะทำอาหารเผื่อไว้ พอเลิกงานจะได้กลับมากินข้าวเย็นได้ทันที

เขานำเนื้อปลาที่ซื้อมาจี่กับกระทะเทฟลอนเพื่อทำปลาย่างหอม ๆ โดยไม่ใส่น้ำมันหรือเนย จากนั้นก็นำผักสองสามชนิดลงไปย่างด้วย เช่นหน่อไม้ฝรั่ง กระเทียม เป็นต้น ส่วนคาร์โบไฮเดรตเขาเลือกข้าวกล้องผสมข้าวแดงที่หุงสำเร็จแล้วมา แม้ว่าอาหารที่นี่จะมีหลากหลาย แต่ข้าวก็แทบจะเหมือนโลกเดิมเลยทีเดียว

หลังจากง่วนอยู่หน้าเตาสักพัก มีอึดอัดบ้างเล็กน้อยเพราะขนาดห้องครัวไม่สัมพันธ์กันกับขนาดร่างกาย แต่สุดท้ายอาหารเย็นมื้อแรกก็เสร็จสมบูรณ์

“รสจืดไปหน่อยแฮะ พรุ่งนี้ตอนเลิกงานซื้อซอสปรุงรสดี ๆ เก็บไว้บ้างดีกว่า” เขากินไปบ่นไป เนื่องจากที่ห้องไม่มีเครื่องปรุงรสเลย ตอนไปซื้อเขาก็ลืม ต่อให้อาหารจะคลีนขนาดไหน แต่ถ้ามันไม่อร่อยสักพักเดี๋ยวก็เบื่อ ดังนั้นสำหรับอลันแล้ว ลดเรื่องความคลีนลงบ้าง แต่สามารถทานได้เรื่อย ๆ ก็นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า

หลังจากเก็บล้างทำความสะอาด ต่อไปก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อวางแผนการขั้นต่อไป เขาไม่พอใจชีวิตห่วย ๆ แบบนี้แน่นอน

หลังจากเปิดคอมฯ หาข้อมูลสักพัก อลันก็เข้าใจโลกเอเลนอร์ใบนี้มากขึ้น เนื่องจากสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่ามารยังดำเนินอยู่มาจนถึงตอนนี้ทำให้มนุษย์ทุกคนที่บรรลุระดับหนึ่ง ต้องลงทะเบียนไปทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้หรือค้นหาทรัพยากร และสำหรับนักธุรกิจหรือคนทั่วไปที่วิวัฒนาการแต่ไม่สังกัดสมาคม หากไม่อยากไปสงครามก็ต้องจ่ายเงินไปจำนวนไม่น้อยเพื่อสนับสนุนการสงคราม

เท่าที่อลันอ่าน เงื่อนไขนี้นับว่าน่าสนใจมาก แค่จ่ายเงินก้อนโตก็สามารถใช้ชีวิตสบาย ๆ ไม่ต้องเดินทางไปแนวหน้า …แต่เขาก็ยังไม่ได้ตัดโอกาสอื่น ๆ เช่นกัน เพราะหากทำธุรกิจโดยที่ไม่มีสมาคมใด ๆ รับรอง ภาษีที่ต้องเสียมันสูงจนอลันแทบจะเป็นลมเลยที่เดียว

อีกทั้งยังมีอีกหลายอาชีพในสังกัดสมาคมที่ไม่ต้องไปทำสงครามแม้จะวิวัฒนาการแล้ว แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องออกพื้นที่อื่น ๆ เพื่อสะสมทรัพยากรด้วยการไล่สังหารพวกสัตว์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรแทน

สัตว์กลายพันธุ์และสัตวอสูรไม่ใช่ผู้รุกรานแบบเผ่ามารที่มากับความผันผวนของมิติ พวกมันอาศัยอยู่ที่เอเลนอร์ร่วมกับมนุษย์มาช้านานแล้ว สัตว์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรเหล่านี้จึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าของเหล่ามนุษย์

ส่วนเมืองที่เขาอยู่คือเมืองโร้คแลนด์ เป็นเมืองไกลปืนเที่ยงอย่างแท้จริง เนื่องจากมันอยู่แทบจะด้านตรงข้ามกับพื้นที่โซนภาคเหนือที่กำลังเปิดศึกเต็มอัตรากับเผ่ามาร อีกทั้งด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นเมืองใหญ่ มีการป้องกันระดับสูง ทำให้มนุษย์ไม่จำเป็นต้องออกไปต่อสู้ ผู้ที่บรรลุระดับหนึ่งจึงมีน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของเมืองอื่นอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการแสวงหาความมั่งคั่งและสถานะทางสังคมจากการต่อสู้หรือสงคราม ประชาชนจำนวนมากเลือกที่จะไม่ฝึกฝนตัวเอง เพื่อจะได้ไม่วิวัฒนาการโดยไม่รู้ตัว และไม่ทางที่จะไปเสียเงินกระตุ้นการวิวัฒนาการแบบพิเศษด้วย เนื่องจากพื้นที่นี้อยู่ในแนวหลังสุด ๆ ภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดก็มีแค่สัตว์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรระดับต่ำที่กระจายตัวอยู่รอบ ๆ เมืองเท่านั้น และเนื่องจากพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ทำอุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ระดับความปลอดภัยค่อนข้างสูง ประชาชนธรรมดาสามารถมีชีวิตอย่างปกติสุขได้ ส่วนใหญ่เลยเลือกไปสายการศึกษาเพื่อทำอาชีพเกี่ยวกับพนักงานของรัฐ ไม่ก็ทำธุรกิจกันเสียมากกว่า

คนที่เอเลนอร์นั้น ส่วนใหญ่หากฝึกฝนเป็นประจำตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่ออายุราว ๆ 12-18 ปี ก็จะเกิดการวิวัฒนาการ แบบนี้จะเรียกว่าเป็นการวิวัฒนาการด้วยตัวเองหรือการวิวัฒนาการตามธรรมชาติ

การวิวัฒนาการด้วยวิธีนี้มักจะได้ความสามารถดี ๆ แต่จะดีแค่ไหนก็แล้วแต่ดวงเช่นกัน หากได้พลังพิเศษที่เกี่ยวกับต่อสู้ หรือไม่ก็ความสามารถหากยาก นั่นก็แล้วไป เพราะหลังลงทะเบียนจะถูกส่งไปเรียนเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ใช้เวลาอีกสามถึงห้าปีก็ออกมารบในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยย่อย

แต่หากได้พลังไม่ดีหรือพลังพิเศษที่อยู่ในระดับทั่วไป ร้อยทั้งร้อยก็ถูกจับเข้ากรม ฝึกหนักสองปี เสร็จแล้วก็ไปแนวหน้า อัตราการตายของทหารใหม่ในการลงสมรภูมิครั้งแรกนั้นสูงมาก และสมรภูมิหลังจากนั้นก็ยังอยู่ในระดับสูงอยู่ดี เรียกว่าหากประจำการครบสองปีแล้วเหลือสักครึ่งหนึ่งในรุ่นก็นับประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว …เพราะตามสถิติ ส่วนใหญ่ราว ๆ สองในสามจะตายภายในสองปีที่ประจำการนั่นแหละ

ส่วนคนอย่างอลันคนก่อนก็มีบ้าง ไม่ฝึกฝนการต่อสู้ ไม่ยอมบรรลุระดับหนึ่งผ่านการกระตุ้น แล้วก็ไม่ยอมที่จะเรียนต่อด้วย …ทำได้เพียงทำงานหาเงินขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ ไร้การพัฒนา ช่างน่าอนาถใจแท้ ๆ

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เมื่อรวบรวมข้อมูลเสร็จอลันก็เริ่มวางแผนคร่าว ๆ ให้กับตัวเอง โดยขั้นแรก เขาต้องพัฒนาร่างกายที่อวบอัดนี้ให้ได้มาตรฐานเสียก่อน

เพื่อจะลดน้ำหนักส่วนเกินราว 6-7 กิโลออก เขาวางแผนออกกำลังกายคร่าว ๆ ไว้ราว 2 เดือน ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอล้วน ๆ ไว้หลังจากน้ำหนักลดลงประมาณหนึ่งค่อยวางแผนเพิ่มพูนกล้ามเนื้อต่อไป

อันที่จริงเขาจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ก็ได้ เพราะหากใช้การกระตุ้นเพื่อยกระดับไปเป็นระดับหนึ่งแล้ว กำลังกายกับการเผาผลาญจะดีขึ้นมาก ใช้เวลาไม่กี่เดือนเขาก็จะมีรูปร่างที่ดีโดยไม่ต้องทำอะไร

เพียงแต่การเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนมักจะทำให้ได้รับทักษะดี ๆ เขาไม่อยากได้ทักษะที่ไม่ค่อยมีโยชน์ เช่น พวกทักษะเร่งการย่อยอาหาร หรือไม่ก็ทักษะเร่งการเผาผลาญแอลกอฮอล์…

เขายังมองหาโรงฝึกศิลปะการต่อสู้และสนามยิงปืนเอาไว้ก่อน หลังจากลดน้ำหนักเขาจะได้ฝึกฝนต่อได้เลย อันที่จริงเขาสนใจทักษะการต่อสู้ระยะประชิดแบบต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจากข้อมูลที่หามาทักษะที่ระดับหนึ่งได้รับมาจะรุนแรงสู้กระสุนปืนไม่ได้ก็ตาม แต่ในอนาคตการต่อสู้ระยะประชิดหรือการใช้พลังงานพิเศษร่วมกับทักษะต่าง ๆ จะมีความรุนแรงอย่างมากจนกระทั่งปืนใหญ่บางชนิดอาจจะรุนแรงไม่เท่าก็ได้

หลังจากแผนงานคร่าว ๆ ในเรื่องร่างกายและการฝึกฝน ต่อไปเขาก็ต้องวางแผนการหาเงินต่อ

ไม่ว่าโลกไหน …สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเงิน

ในบัญชีของอลัน หมอนี่มีเงินเก็บอยู่ราว ๆ หมื่นกว่าเครดิตเท่านั้น รายได้จากการทำงานร้านสะดวกซื้อก็ได้เพียง 12,000 – 15,000 เครดิตต่อเดือน

อีกทั้งเขายังมีภาระที่ต้องผ่อนคอมพิวเตอร์เดือนละ 4,000 เครดิตไปอีก 6 เดือน เท่ากับว่าเขามีเงินใช้เพียง 8,000 – 11,000 เครดิตต่อเดือน

…ไม่สิ หลังหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เขาจะเหลือเงินใช้ราว 7,400 – 10,250 เครดิต เท่านั้น โดยยังมีรายจ่ายเป็นค่าอาหารตกเดือนละ 5,000 เครดิต ค่าห้องรูหนูนี่อีกเดือนละ 1,500 เครดิต นี่ยังไม่รวมรายจ่ายจิปาถะอื่น ๆ อีก… อลันเอ๊ย ก่อนหน้านี้เอ็งไปหาเงินกินเบียร์มาจากไหนเยอะแยะฟะ…

หลังจากคำนวณเงินจนหัวหมุน ทำให้เขารู้ว่าต่อให้ประหยัดแค่ไหน เต็มที่เขาก็เก็บเงินได้ราว 1,000-2,000 เครดิตต่อเดือนเท่านั้น หลังจากผ่อนคอมฯ หมดก็เก็บได้ไม่กิน 6,000 เครดิต

ส่วนค่าการกระตุ้นเพื่อวิวัฒนาการยกระดับเป็นขั้นหนึ่ง นั้น สนนราคาก็แค่…

“เอ่อ… หน่วย… สิบ… ร้อย … … แสน …สองแสน! ไอ้ชิบหาย! แพงไปไหนวะ!” อลันคนใหม่สบถภาษาโลกเก่าออกมาอย่างอดไม่ได้

เก็บเงินได้ปีนึงไม่กี่หมื่น ต้องใช้เวลาอีกเกือบห้าปีกว่าจะเลื่อนระดับได้ แล้วนี่ยังไม่รวมค่าเรียนทักษะอื่น ๆ เลยนะ… เท่าที่เขาเห็นผ่าน ๆ ลงคอร์สเรียนการต่อสู้ระยะสั้น ๆ ไม่กี่เดือนก็ราคาหลายหมื่นเครดิตแล้ว

“ต้องหาทางรวยก่อน! นี่ถ้าโลกนี้ไม่มีเทคโนโลยีอลังการขนาดนี้ ก็คงหาเงินได้ง่าย ๆ จากความรู้ของโลกเดิม แต่ที่นี่มันดันไฮเทคฯกว่าที่โลกอีก! เฮ้อ… ตูจะบ้า!” อลันหมดคำจะพูด จากนิยายที่เขาเคยอ่านตอนไม่มีอะไรทำ หากตัวเอกได้ย้อนกลับไปโลกที่พัฒนาน้อยกว่า ตัวเอกจะเอาความรู้และประสบการณ์จากโลกเดิมของตนเองไปใช้หาเงินอย่างชิล ๆ …แต่ที่นี่อลันไม่รู้จะทำอย่างไรจริง ๆ

เขายังนึกเสียดาย ถ้าอลันเจ้าของร่างจบสูงกว่านี้อีกนิด เขาคงไปสอบสำนักงานเมืองกับ เจนนิสและสมิธด้วย แต่ด้วยวุฒิการศึกษาของหมอนี่ แค่ทำงานโรงงานยังทำไม่ได้เลย …ที่นี่พนักงานในโรงงานล้วนแต่มีตำแหน่งและเงินเดือนสูง ๆ ทั้งนั้น เพราะมันมีเทคโนโลยีล้ำยุค คนที่จะเข้าไปทำงานต้องจบสายงานนายช่างมาโดยตรง ไม่ก็สูงกว่านั้นเลย เช่นพวกวิศวกรสาขาต่าง ๆ

…แต่หมอนี้จบแค่การศึกษาภาคบังคับ หรือประมาณ มัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น

“…พระเจ้าให้ชีวิตใหม่ข้า …แล้วไยไม่ให้เงินข้ามาด้วย” อลันรำพันติดตลกเชิงตัดพ้อโชคชะตา

“ช่างมัน! วิธีหาเงินมีเยอะแยะ ค่อย ๆ หาทางไปก็แล้วกัน” ท้อไปก็ไม่ได้อะไร หาทางเข้าแล้วกัน เขาไม่ได้ชีวิต 35 ปีจากโลกเดิมมาแบบขำ ๆ สักหน่อย แม้จะหาวิธีรวยทางลัดแบบในนิยายไม่ได้ แต่เขาก็มีความสามารถในการทำธุรกิจที่โลกเดิมมาบ้าง มันต้องประยุกต์ใช้ได้สักอย่างแหละน่า

บทสรุปในคืนแรกหลังจากข้ามโลกมา สุดท้ายอลันผู้อวบอัด ก็ใช้เวลาไปกับการวางแผนไม่ได้หยุด หลังจากเขียนแผนธุรกิจแบบคร่าว ๆ ได้สองสามแผน อลันก็ตัดใจหลับตาลงเพื่อพักผ่อนเสียที


เวลาตีห้า อลันลุกขึ้นมาแบบงัวเงีย แม้จะยังไม่ตื่นเต็มตา แต่เขาก็มุ่งมั่นกับแผนพัฒนาร่างกายตัวเอง

หลังจากทานอาหารง่าย ๆ อย่างขนมปังโฮลวีตและนมสดไขมันต่ำที่ซื้อมาเมื่อวาน เขาก็ออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ ที่พัก

นี่อาจเป็นการวิ่งครั้งแรกในรอบหลาย ๆ ปีของร่างกายนี้ก็เป็นได้ หลังจากวิ่งไปได้สองกิโลฯ เขาก็หายใจหอบเหมือนจะขาดใจตายให้ได้

“โอย… เดินสลับวิ่งไปก่อนแล้วกัน” เขาลดความคาดหวังลงมาตามสภาพที่เกิดขึ้นจริงไปก่อน

หลังจากใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงเพื่อวิ่งสลับเดินไปแค่สี่กิโลฯ กว่า ๆ สุดท้ายอลันก็ลากสังขารกลับหอพัก หลังจากนั้นก็ดันพื้นกับซิตอัพอีกไม่กี่สิบที เขาก็หมดแรงแบบยกมือแทบไม่ขึ้น

หลังจากอาบน้ำและนอนพักผ่อนครู่หนึ่ง เขาก็ฝืนเดินออกไปสำรวจตลาดด้วยอาการขาลากนิดหน่อย เขายังมีแผนการต้องทำอีกมาก จะมาสิ้นสภาพเพราะวิ่งไปวูบเดียวไม่ได้

มันเป็นการเดินที่ค่อนข้างทรมานมาก เนื่องจากขาของเขาล้าจากการวิ่ง แต่ความมุ่งมั่นในความร่ำรวยทำให้หนุ่มอลันมุ่งหน้าสำรวจตลาดไม่หยุดและหวังว่าจะได้ไอเดียมาทำงานหาเงินเพิ่ม

สิบเอ็ดโมงเขาก็กลับมาที่ห้องอีกครั้ง เพื่อที่จะอาบน้ำ ทำอาหารเที่ยงและอาหารเย็นเผื่อไว้ โดยมื้อเที่ยงเขาทำผัดผักใส่ปลาแล้วก็ไข่ต้ม กินกับข้าวสวย ส่วนอาหารเย็นเขาเตรียมเครื่องต่าง ๆ ไว้ทำข้าวต้มปลาแบบง่าย ๆ จากนั้นเขาก็เดินทางไปทำงาน

วันนี้เขาก็ให้แอนนาไปทำหน้าที่แคชเชียร์เหมือนเช่นเดิม ส่วนเขาก็ใช้ร่างที่เหนื่อยล้าทำงานจัดสินค้าไปเรื่อย ๆ พลางคิดหาวิธีทำเงิน พอเจอขวดหรือถุงสินค้าที่มีน้ำหนักหน่อยเขาก็ยกโดยฝึกกล้ามเนื้อไปในตัว

เรื่องเงินนับเป็นปัญหาใหญ่มาก ในเมื่อไม่มีเงินทุนไปลง ดังนั้นธุรกิจแรกที่ทำต้องเป็นธุรกิจที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และด้วยเวลาที่จำกัด …สุดท้ายก็ไม่พ้นการขายของกิน

เนื่องจากอาหารเป็นการขายที่ง่ายและทำเงินได้เร็วเป็นอันดับต้น ๆ ในโลกก่อนเขาก็เริ่มจากการเปิดร้านอาหารเช่นกัน แม้ตอนนั้นเขาจะมีเงินลงทุนราวสี่แสนบาท แต่ตอนนี้เขามีเพียงหมื่นเครดิตก็ตาม

เมื่อเงินน้อย เขาก็สร้างร้านไม่ได้ ดังนั้น รูปแบบการขายก็ควรจะเป็นลักษณะซุ้มขายอาหารแทน เขานึกภาพตลาดนัดที่สามารถเช่าล็อกขนาดเล็ก เพื่อขายอาหารง่าย ๆ ซึ่งจากการเดินสำรวจตลาด ทุกวันเสาร์ที่ลานกว้างหน้าสำนักงานเมืองก็เปิดให้ขายของเช่นกัน

หลังจากเติมของผิด ๆ ถูก ๆ ไปหลายรอบ สุดท้ายด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจของแอนนา อลันก็ตั้งสมาธิทำงานต่อจนได้

ตกเย็นหลังเลิกงาน อลันก็เดินทางไปซุปเปอร์มาเก็ตอีกครั้ง เพื่อที่จะตุนเสบียง พร้อมหาวัตถุดิบสำหรับทำอาหารขายไปด้วย ในหัวเขาพยายามคิดวิธีขายหลากหลายวิธี

หลังจากช็อปปิ้งของราคาไม่แพงมาเป็นจำนวนมาก เขาก็หอบร่างกายพร้อมสินค้าเต็มมือกลับเข้าห้องพัก วันนี้เขาไม่วางแผนสะเปะสะปะ เพียงแค่จัดเรียงของไว้เท่านั้น

วันอันแสนวุ่นวายก็จบลงไปอีกหนึ่งวัน…


เช้านี้หลังจากออกไปวิ่งด้วยสภาพทุลักทะเลเหมือนเมื่อวาน อลันก็รีบกลับมาอาบน้ำเตรียมอาหารทันที เนื่องจากวันนี้เขาจะไปสำนักงานเมืองนั่นเอง

เขาลงทะเบียนจองซุ้มสำหรับขายอาหารที่ตลาดนัดของเมืองผ่านระบบไปเมื่อคืนแล้ว แต่ผู้ขายหน้าใหม่ต้องไปยืนยันตัวตนด้วยตัวเองด้วย เขาจึงต้องไปสำนักงานเมืองก่อนไปซื้ออุปกรณ์ทำมาหากิน

เขาใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากผู้ขายหน้าใหม่มีไม่มาก เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็ลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย เมื่อยืนยันตำแหน่งของร้านได้ อลันก็รีบจากมาทันที

สถานที่ต่อไปก็คือซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่ไม่มีของสดขาย แต่มีเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลายมาก

หลักจากเดินดูหลายรอบเพื่อหาของถูก ๆ เงินเก็บหนึ่งหมื่นเครดิตก็แปรเปลี่ยนเป็นหม้อทอด โต๊ะขนาดเล็ก แล้วก็ถาดวางอาหารสแตนเลสอย่างดี พร้อมด้วยกล่องใส่อาหารที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล

เนื่องจากของพะรุงพะรังมาก ดังนั้นอลันจึงเลือกที่จะขึ้นรถรับส่งส่วนบุคคลกลับมาแทน มันคล้ายแท็กซี่ในโลกเดิม เพียงแต่ว่ารถรับส่งเป็นรถคล้ายตู้รถไฟขนาดย่อมแทน

เขาเก็บอุปกรณ์ขึ้นไปเก็บบนห้องอย่างทุลักทุเล เงินลงทุนหมื่นกว่าเครดิตหมดลงแล้ว หลังจากเรียกรถส่วนบุคคลไปขายของ วันเสาร์นี้ก็จะเป็นวันชี้ชะตาว่าจะรุ่งหรือจะร่วง

“ค่ารถเช่าส่วนบุคคลขนของไปกลับ ก็น่าจะราว ๆ 300 เครดิต แต่จากที่คิดไว้ หากขายหมดกำไรน่าจะมากกว่า 3,000 เครดิตซะอีก …แต่ก็นะ การขายครั้งแรก อาหารก็ใหม่ ขายได้กำไรสัก 1,000 เครดิตก็เก่งแล้ว” เขาคำนวณไว้คร่าว ๆ อีกสองวันจะถึงวันตลาดนัด หากแผนนี้เป็นไปด้วยดี เขาจะทำเงินได้เพิ่มไม่ต่ำกว่า 10,000 เครดิตต่อเดือน เท่ากับว่าเงินลงทุนทั้งหมดจะถอนทุนในเดือนเดียว แม้จะมองว่ากำไรจะน้อยไปหน่อย แต่มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับพนักงานเดือนผู้จนตรอกอย่างอลัน

แต่ถ้าขาดทุน… ก็นะ หมื่นเดียว อย่าไปคิดมาก…

สมาคมนายพราน

เช้าวันถัดมา หลังจากทำอาหารและออกกำลังกายเช่นเดิม อลันยังเหลือเวลาว่างอีกหลายชั่วโมงก่อนไปทำงาน หากเขามีเงิน เวลานี้ย่อมเป็นเวลาที่เขาจะไปเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติม อย่างทักษะการต่อสู้หรือทักษะการเอาตัวรอดแบบต่าง ๆ

แต่ในเมื่อไม่มีเขาก็ต้องวางแผนจะหาเงินเพิ่มแทนไปก่อน

เนื่องจากเวลาเข้ากะของเขาต้องเปลี่ยนทุก ๆ สองสัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการหางานพาร์ทไทม์ที่ต้องระบุเวลาในการทำ งานที่หาเพิ่มนั้นต้องยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

แต่หลังจากเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ เขาก็ตัดสินใจยังไม่ทำอะไรเพิ่ม ไม่สิ พูดตามตรงคือทำอะไรเพิ่มไม่ได้เพราะวุฒิการศึกษาเขาต่ำมาก ทำให้งานดี ๆ ที่ใช้เวลาไม่มากต่อวันล้วนไม่ต้องการคนอย่างเขา

ดังนั้นอลันเลยต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้กับการลงทุนของตัวเอง …ไว้ถ้าอาหารขายวันเสาร์นี้ไม่หมดค่อยไปหาเช่าแผงหน้าร้านอะไรสักร้านมาขายหาเงินเอาก็ได้ ดังนั้นเวลานี้เขาไปเตรียมแผนการโปรโมตอาหารใหม่ดีกว่า ในเมื่อวันนี้เป็นวันศุกร์แล้ว พรุ่งนี้ก็ได้เวลาทำเงินเสียที

อลันเปิดคอมฯ เข้าเว็ปไซต์ของตลาดนัด หลังจากสมัครสมาชิกในบอร์ดเรียบร้อยก็ลุกไปทำอาหารที่จะขายพร้อมถ่ายรูปมาลง เขาไม่มีทักษะการถ่ายภาพมากนัก แต่โชคดีเทคโนโลยีทีเอเลนอร์ค่อนข้างล้ำยุค เพียงกดตกแต่งภาพไม่กี่ครั้ง อาหารก็ออกมาดูดีราวกับการถ่ายภาพของมืออาชีพ

หลังจากทำทั้งหมดนั่น เขาก็ทานอาหารเที่ยงพร้อมเตรียมตัวไปทำงาน


“อลัน ให้ฉันไปเช็กของมั้ย” แอนนาเอ่ยถาม

ชายหนุ่มเงยหน้ามองหญิงสาว จากสีหน้าก็รู้ว่าเธอไม่อยากเอาเปรียบเขาในการทำงาน …แม้ก่อนหน้านี้นายอลันคนเก่าจะชอบเอาเปรียบเธอก็เถอะ หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบตกลง

ตอนแรกเขาจะปฏิเสธนั่นแหละ แต่พอคิดดูแล้ว หากทำแบบนั้นเขาก็จะน่าสงสัยมากขึ้นไปอีก ใครจะไปเชื่อล่ะว่านายอลันจะกลายเป็นคนดีถึงขนาดไม่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงทำงานหนักกว่าตัวเอง?

“เราจะสลับกัน อาทิตย์หน้าฉันจะเริ่มจากแคชเชียร์ก่อน” แอนนาบอกเงื่อนไข แน่นอนอลันตกลงแบบไม่คิดอะไรมาก

วันนี้บรรยากาศในร้านค่อนข้างแปลก หากเป็นช่วงเวลานี้ส่วนใหญ่คนจะค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นเวลาพักของพนักงานหลาย ๆ แห่ง บริษัทแถวนี้ส่วนใหญ่เวลาพักกลางวันจะลากยาวไปยันบ่ายสองโน่น จะว่าวันนี้เป็นวันหยุดหรือก็ไม่ใช่ การที่คนหายไปแบบนี้มันต้องมีสาเหตุอะไรสักอย่าง

แต่ไม่นานเขาก็ได้คำตอบ อลันมองออกไปนอกร้านสะดวกซื้อผ่านผนังกระจก เขาเห็นพนักงานที่เป็นลูกค้าประจำหลายคนเดินหลบอะไรสักอย่าง และไม่นานเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง …ที่หน้าตาและการแต่งตัวคล้ายโจรภูเขาเดินท่อม ๆ ผ่านผู้คนจำนวนมากเข้าร้านสะดวกซื้อมา

“น้องชาย บุหรี่สไปรัลมินท์ซองนึง แล้วก็เอาเบียร์ดำของเลเทอร์สโตนมาสามกระป๋อง …เอากระป๋องยาวนะ” ชายหน้าหนวดคนที่เดินนำหน้าเอ่ยเสียงเข้ม

หากเป็นนายอลันคนเก่า หรือถ้าวันนี้แอนนาเป็นแคชเชียร์ การสนทนาย่อมไม่ราบรื่นเป็นแน่แท้ เนื่องจากรังสีคุกคามจากคนตรงหน้ารุนแรงเกินไปสำหรับคนธรรมดา

แต่สำหรับนายอลันจากต่างโลกคนนี้ ชายทรงโจรภูเขาตรงหน้าไม่ได้มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย

ที่โลกเดิมเขาเคยเจอเจ้าพ่อระดับสูงมากมายที่เปล่งรังสีคุกคามกดดันเข้ามา ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วหมอนี่เป็นแค่ชายหน้าดุคนหนึ่งเท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าตานี่น่าจะเก่งกว่าพวกเจ้าพ่อจากโลกเก่าก็เถอะนะ

“บุหรี่สามารถรับตรงนี้ได้เลยครับ ส่วนเบียร์รบกวนลูกค้าเดินไปหยิบที่ตู้แช่เย็นด้านข้างครับ” เขาตอบพลางยิ้มแย้มมาดพนักงานดีเด่น แอนนาที่ทำท่าเหมือนจัดของซุ่มดูอยู่ไม่ไกลทำหน้าทึ่ง ๆ

“อ้อ เบียร์อยู่ตู้นั้นรึ ริชาร์ด นายไปหยิบมาที” ชายหน้าหนวดพูดพลางโบกมือให้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังไปหยิบมา ชายคนดังกล่าวเดินฉับ ๆ หายไปอย่างรวดเร็ว

“ปกติอยู่โซนชานเมืองน่ะ ไม่ได้ซื้อของในมินิมาร์ทแบบนี้มานานแล้ว” ชายหน้าหนวดอธิบายให้อลันฟังมือเสยผมทรงโจรภูเขาไปด้วย จากประสบการณ์ของชายหนุ่ม ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ลูกค้าเข้าใจผิดอะไรสักอย่างแล้วพยายามอธิบายแบบนี้แสดงว่าหนุ่มใหญ่ทรงโจรตรงหน้าต้องเป็นคนรักษาฟอร์มพอสมควร

“เป็นเรื่องปกติครับ ผมยินดีที่ได้บริการลูกค้าอยู่แล้ว …จะว่าไปคุณลูกค้าเดินทางมาที่นี่เพราะมาทำธุระเหรอครับ” อลันหาทางลงให้ลูกค้า พร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่องชวนคุยแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ธุระของพวกคุณสำคัญกว่าเยอะ

“อ่า …ใช่ วันนี้สมาคมนายพรานจัดงานประชุมประจำปีน่ะ ใครว่างก็ต้องเข้ามา อันที่จริงพวกข้าก็ไม่อยากมาหรอก …แต่ทำไงได้ พอตำแหน่งถูกเลื่อนขึ้น พวกงานจุกจิกแบบนี้ก็ต้องเข้าร่วมบ้าง” ชายหน้าหนวดทรงโจรอธิบายยืดยาว น้ำเสียงตอนบอกถึงการเลื่อนตำแหน่งแฝงความภาคภูมิใจไม่น้อย มือเอื้อมไปเสยผมที่รกรุงรังอีกครั้ง

จิตวิญญาณบริการลูกค้าสมัยทำร้านอาหารในโลกเก่าได้ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่ทราบได้ จากประสบการณ์หากลูกค้าเริ่มอธิบายความเป็นมาของตัวเอง แสดงว่าเขาเริ่มเปิดใจบ้างแล้ว การพูดคุยเพิ่มความสนิทสนมอาจจะทำให้ได้รับข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการค้า ไม่ก็เป็นการสร้างความสนิทสนมให้เกิดลูกค้าขาประจำ …หรืออย่างน้อยก็อาจได้ออเดอร์เพิ่มบ้าง

“โห… สมาคมนายพราน แถมยังได้เลื่อนตำแหน่งด้วย แสดงว่าพี่ชายเป็นระดับสองแล้วเหรอครับ!” อลันทำเสียงตื่นเต้นได้สมจริงมาก คำเรียกลูกค้าก็เปลี่ยนเป็นนับพี่นับน้องกันเฉยเลย

“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนสิน้องชาย! เห็นแบบนี้ข้าเป็นระดับสองมาครึ่งปีแล้วนา แถมยังมีทักษะดี ๆ ตั้งหลายอย่างเสียด้วย” นายหนวดหัวเราะเสียงดัง หน้าอกยืดขึ้นแบบไม่รู้ตัว ความภาคภูมิใจเจืออยู่ในน้ำเสียงแบบไม่คิดจะปกปิดสักนิด แต่ก็นะ หากเป็นระดับสองได้ จะภูมิใจขนาดนี้ก็ไม่แปลก

“นี่เพิ่งจะประชุมเสร็จ ว่าจะหาเบียร์กินก่อนกลับเสียหน่อย จะว่าไปคนแถวนี้ก็แปลก แค่จะถามทางทำไมเดินหนีกันหมดก็ไม่รู้ คนเมืองนี่นิสัยแปลกกันจริง ๆ เลย” เขาเอ่ยต่อพลางส่ายหน้าเบา ๆ …ก็แน่ล่ะ เฮียเล่นแต่งตัวทรงโจรภูเขาเข้าเมืองมา พวกไม่เรียกตำรวจมารวบก็ดีถมถืดแล้วมั้ง…

“ฮะ ๆ คงเพราะอากาศไม่ดีมั้งครับ” อลันแบ่งรับแบ่งสู้ไปเบา ๆ พูดเรื่องดินฟ้าอากาศแทนเสียเลย

“ว่าแต่ อันที่จริงผมสนใจสมาคมนายพรานมากเลยครับ เพียงแต่ผมยังไม่ระดับหนึ่งเลย ไม่ทราบว่าที่สมาคมมีงานให้คนแบบผมทำมั้ยครับ” อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจขนาดนั้นหรอก แต่การแสดงความสนใจในสิ่งที่ลูกค้าเป็นหรือสนใจในสิ่งที่ลูกค้าชอบเป็นการเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามข้อมูลแบบหนึ่งนั่นเอง

“…อันที่จริงก็มีนะ แต่ไม่เชิงว่าเป็นงานหรอก มันเป็นการอบรมสำหรับคนที่อยากเป็นนายพราน ไม่ได้กำหนดระดับเข้าร่วมไว้ แต่หากยังไม่วิวัฒนาการก็ต้องมีคนแนะนำถึงจะเข้าร่วมได้ เอ็งสนใจมั้ยล่ะ?” หนุ่มใหญ่ตรงหน้าบอกพลางลูบเคราสั้น ๆ คล้ายผู้ใหญ่กำลังแนะนำเด็กที่ยังไม่ประสีประสา

หากเป็นการสอบถามตามมารยาททั่วไป จังหวะนี้อลันต้องกล่าวถ่อมตัวว่าตัวเองคงไม่เหมาะสม พร้อมทำท่าเสียดายอย่างสุดซึ้งเหลือพรรณนา

…แต่สำหรับหนุ่มหยองกรอดที่ต้องกระเสือกกระสนกระทั่งเงินค่าข้าว เขาผู้มีอุดมการณ์อยากเป็นระดับหนึ่งในปีนี้นั้น การอบรมฟรีเป็นเรื่องที่บุญหล่นทับเป็นอย่างยิ่ง! แถมยังเป็นของสมาคมนายพราน สมาคมระดับต้น ๆ ของเอเลนอร์ด้วย!

“หากพี่ชายเต็มใจช่วยเหลือ ผมยินดีแน่นอนครับ!” หนุ่มอลันเอ่ยพร้อมทำตาเป็นประกาย เขาไม่ได้แกล้งทำ เขาอยากได้จริง ๆ

“ฮ่า ๆ ๆ งั้นไม่ยาก เดี๋ยวลงทะเบียนให้ ข้าจะรับรองให้เอ็งฟรี ๆ …แต่ห้ามไม่ไปนะเว้ย! หากไม่ไปข้าจะมาแหกอกเอ็งที่นี่เลย” นายหนวดว่าพลางหยิบมือถือมากดปุกปักไปด้วย …ขนาดเคสมือถือยังเลือกใช้เป็นลายพรางป่าดงดิบ น่ากลัวจริง ๆ

“เปิดหน้าไอดีประชาชนเอ็งมา พอข้าสแกนให้ก็ได้แล้ว” เขาอธิบายพลางโบกมือเชิงให้อลันเปิดไอดีแล้วมาให้เขาดูตรงนี้

อลันทำตามทันที เพียงตวัดมือทีเดียวพร้อมกดมือถือปุกปัก หน้าไอดีของตัวเองก็ไปโชว์หราอยู่หน้าชายทรงโจร ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ลงทะเบียนเตรียมรับการอบรมของสมาคมนายพรานเรียบร้อย

“ขอบคุณมากครับพี่ เอ่อ…โจนาธาน?” อลันเอ่ยขอบคุณพลางอ่านชื่อผู้รับรอง ซึ่งเขียนว่า โจนาธาน …ทำไมชื่อกับหน้าตาพี่ไปคนละทางแบบนี้ล่ะครับ? แล้วไม่ลงนามสกุลด้วย? เป็นความลับเหรอไงครับ?

“ใช่แล้ว ข้าชื่อโจนาธาน แล้วคนที่หยิบเบียร์มาก็ริชาร์ด อีกคนก็เอลไลอัส พวกเราเป็นนายพรานของสังกัดสมาคม” เขาบอกพลางแนะนำสองคนข้างหลัง อลันจำหน้าและชื่อไว้ด้วยความฉับไว จากอาชีพเดิมการจำชื่อลูกค้าได้จะเพิ่มความรู้สึกดีให้ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยาก

“วันอบรบ กับสถานที่เอ็งก็ดูเอาในนั้นแหละ เอ็งอยู่ในเมืองใช่มั้ย? ที่อบรมในเมืองก็มี อยู่ไม่ไกลหรอก แต่อย่าถามว่าตรงไหน ข้าไม่เคยไป” นายหนวดโจนาธานทรงโจรอธิบายเหมือนไม่อธิบายให้ฟัง

“แค่นี้ก็ต้องขอบคุณคุณโจนาธานมากแล้วครับ” อลันโค้งหัวเล็กน้อยหลังกล่าวจบ จากนั้นก็เร่งคิดเงินค่าเบียร์ที่นายริชาร์ดร่างสูงหยิบมาพร้อมบุหรี่ เขายังแนะนำถนนรีเวอร์ที่เต็มไปด้วยร้านเบียร์ เผื่อทั้งสามยังดื่มไม่พอไว้ด้วย

หลังจากแขกทรงโจรทั้งสามจากไป บรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เพียงแต่ลูกค้าประจำข้างนอกเหมือนจะถอดใจเดินไปหาอย่างอื่นกินกันหมดแล้ว ทำให้ในร้านสะดวกซื้อก็ยังโล่งโจ้งเหมือนเดิม

แอนนาที่ซุ่มดูอยู่ตั้งแต่ต้นเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ มาหาอลันที่กำลังอ่านรายละเอียดการอบรมของสมาคมนายพรานอยู่

“นี่อลัน ทำไมนายไม่กลัวพวกนั้นเลยล่ะ! แล้วยังไปขออบรมอะไรพวกนั้นอีก นายบ้าไปแล้วเหรอ!” เธอใส่ไม่ยั้งตั้งแต่เริ่มพูด อลันต้องยกมือขึ้นมาเล็กน้อยเชิงให้ใจร่ม ๆ ก่อน

“เอาที่ละเรื่องนะ… พวกนั้นไม่เห็นน่ากลัวเลยสักนิด ก็แค่แต่งตัวไม่เหมือนคนในเมืองแค่นั้นเอง แล้วนั่นเป็นชุดของอาชีพเขานะอย่ามองคนจากการแต่งตัวสิ! แล้วอีกเรื่อง ฉันไม่ได้อยากไปอบรมขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ว่า…” อลันค้างไว้แค่นั้นแล้วทำหน้าครุ่นคิด

“แต่ว่าอะไร?” แอนนากล่าวเสียงอยากรู้ คิ้วข้างหนึ่งกระดกขึ้นมาด้วย

“เฮ้อ… เธอก็รู้ …ฉันไม่ได้เรียนสูง แล้วก็ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร หากอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ฉันก็ต้องหาทางพัฒนาตัวเองบ้างสิ” เขาอธิบายแบบกลาง ๆ เขาไม่อยากบอกว่าเพราะเขาอยากวิวัฒนาการเป็นระดับหนึ่ง เพราะอยู่ดี ๆ จะให้ชายร่างอวบอัดขี้เหล้าคนหนึ่งบอกว่าจะอยากเป็นนักสู้? มีหวังแม่นี้ขำก๊ากไม่หยุดกันพอดีสิ เอาไว้ให้การกระทำมันบอกเองก็แล้วกัน

“นายก็ดูไม่เหมือนคนรักความก้าวหน้าอยู่แล้วนี่ จะกังวลเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน” เธอบ่นอุบอิบ แต่ทุกคำเข้าหูชายหนุ่มเต็ม ๆ

ขนาดเลี่ยงแล้วยังไม่วายโดนแซะอีกจนได้ อลันถึงกับหมดคำจะพูด…


เมื่อเลิกงาน อลันนึกขึ้นมาได้ว่าลืมทำป้ายหน้าร้านเสียสนิท แม้จะเป็นร้านง่าย ๆ มีอุปกรณ์ไม่กี่อย่าง แต่ชื่อร้านจะเป็นซิกเนเจอร์ให้การค้าขายในวันข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงแวะร้านเครื่องเขียนเพื่อซื้ออุปกรณ์ทำป้ายง่าย ๆ ไปนั่งทำตอนกลางคืน

หลังจากหลังขดหลังแข็งทำป้ายอยู่หลายชั่วโมง อลันก็เปิดรายละเอียดของการอบรมนายพรานขึ้นมาดูอีกครั้ง

สมาคมนายพรานนับว่าเป็นหนึ่งในสมาคมสำหรับผู้วิวัฒนาการที่ไม่ต้องออกไปสงครามแนวหน้า พวกเขาจะใช้ทักษะในการล่าพวกสัตว์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรชนิดต่าง ๆ ที่อยู่นอกเมือง แต่แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นนายพรานที่ต้องออกล่าสัตว์อสูร แต่คนเก่ง ๆ ในสมาคมก็ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น กว่าร้อยละแปดสิบของระดับหนึ่งและสองในสมาคมใช้พลังพิเศษในด้านอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการโจมตีทั้งนั้น นั่นก็คือเป็นพวกผู้วิวัฒนาการที่ใช้ปืนเป็นหลักกันนั่นเอง

การแยกผู้วิวัฒนาการว่าคนไหนเจ๋งไม่เจ๋งมักจะใช้เกณฑ์นี้ในการตัดสินร่วมด้วยอยู่เสมอ หากเป็นระดับหนึ่ง มันยังโอเคหากคุณยังใช้ปืนในการล้มศัตรูตรงหน้า แต่หากขึ้นระดับสองได้แล้วคุณยังใช้เพียงแค่ปืน ไม่มีพลังดี ๆ ในการต่อสู้ คุณก็จะถูกจัดอยู่ในระดับล่าง ๆ ของระดับสองเท่านั้น…

กลับกัน หากคุณได้รับทักษะโจมตีดี ๆ สักท่า ไม่ว่าคุณจะอยู่สมาคมไหนก็จะมีคนจากหลากหลายหน่วยงานมายื่นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธให้คุณถึงที่…

ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า ศัตรูในระดับสูง ๆ ไม่ว่าจะสัตว์ประหลาด หรือ พวกสัตว์อสูร ระดับยิ่งสูงการใช้ปืนยิงก็ยิ่งทำร้ายมันได้น้อยลงนั่นเอง เช่น สัตว์ประหลาดระดับต่ำ ๆ อาจถูกปืนไรเฟิลราคาถูกยิงนัดเดียวตาย แต่กลับกันหากระดับสูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย ลูกปืนกลหนักแก็ตลิ่งอาจทำให้มันแค่คัน ๆ เท่านั้น

แม้ว่าเทคโนโลยีจะไปไกล แต่อาวุธปืนของมนุษย์ก็ยังเป็นระบบดินขับอยู่นั่นเอง แม้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรหลายคนจะพยายามคิดค้นพวกปืนพลาสมา ไม่ก็ปืนพลังงานความร้อน แต่พวกนั้นก็ล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่เทอะทะ ไม่เหมาะแก่การพกพา อีกทั้งความแรงก็แค่พอ ๆ กับทักษะระดับสองดี ๆ สักท่าเท่านั้น สุดท้ายก็เป็นอันพับแผนเก็บไป

อีกวิธีที่ทำให้ปืนสู้กับสัตว์ประหลาดระดับสูงได้ก็คือใช้หัวกระสุนที่ทำจากแร่พิเศษ แต่ราคากระสุนต่อนัดก็แพงหูดับ สุดท้ายแล้ว ตั้งแต่ระดับสองเป็นต้นไป ปืนก็ไร้ประโยชน์ลงเรื่อย ๆ

แต่ถึงแบบนั้น การได้อบรมกับสมาคมนายพรานแบบฟรี ๆ ก็เป็นเรื่องดีอย่างแท้จริง หลังจากอลันอ่านหลักสูตรก็พบว่า ไม่ว่าทักษะค้นหา การแกะรอย วางกับดัก หรือกระทั่งการจู่โจมซึ่งหน้า ล้วนมีบรรจุอยู่ในหลักสูตรทั้งหมด

มันจะเริ่มการอบรมรอบใหม่ในเดือนหน้านี้เอง สถานที่ก็ไม่ได้ไกลจากที่ทำงานมากนัก อีกทั้งมีอาหารกลางวันให้กินฟรี! อาหารฟรี! ไม่ว่าคุณจะได้รอบเช้าหรือบ่าย ก็มีข้าวเที่ยงให้กิน นี่มันสวรรค์ชัด ๆ !

การอบรมจะลากยาวไปสองเดือนเต็ม ๆ เท่าที่อ่านดูหากเขาโชคดี แม้จะไม่บรรลุระดับหนึ่ง แต่หากจบการอบรมก็อาจได้ร่วมภารกิจกับบรรดาเหล่านายพรานหรือผู้วิวัฒนาการสมาคมอื่นได้ในฐานะลูกหาบ และรายได้ก็ไม่ได้น้อยเสียด้วย

บรรดาสมาคมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์อสูรนั้นมักจะจ้างคนธรรมดาที่ผ่านการอบรมพวกนี้ในตำแหน่งลูกหาบ ไปคอยช่วยทำอย่างอื่นนอกจากการต่อสู้ อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ดูจอมอนิเตอร์ ไม่ก็ไปช่วยชำแหละซากสัตว์อสูร หรืออะไรทำนองนี้ สมาคมอื่น ๆ นอกจากสมาคมนายพรานก็มีการจัดอบรมเหมือนกัน เพียงแต่ลูกหาบจะไม่ได้สังกัดสมาคมใดสมาคมหนึ่ง ซึ่งก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ตอนนี้จะไปสนทำไมล่ะ ในเมื่อหนทางหาเงินจำนวนมากกำลังจะเปิดออกมาแล้ว…

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...