โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

นิยาย

เกิดใหม่ทั้งทีก็ต้องอาชีพเกษตรกรสิ!

นิยาย Dek-D

อัพเดต 26 พ.ค. เวลา 09.00 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. เวลา 09.00 น. • ๐Algiz๐
เกิดใหม่ทั้งทีก็ต้องอาชีพเกษตรกรสิ!
ผู้กล้า? จอมมาร? ไม่ ไม่ ไม่ อาชีพที่ดูพามาแต่เรื่องวุ่นวายชวนเศร้าสลดใจแบบนั้นน่ะไม่เอาด้วยหรอก! เกษตรกรสิดีที่สุด! นี่คือเรื่องราวการเกิดใหม่อีกครั้ง! และเรื่องราวจะเป็นเช่นไร ไปติดตามกัน!

ข้อมูลเบื้องต้น

เรื่องย่อ…

เรื่องราวของ ‘ภาคิน’ พนักงานเงินเดือนหนุ่มที่ครอบครัวมีธุรกิจส่วนตัวเป็นภัตตาคารร้านอาหารตะวันตก และเขานั้นมีความฝันเป้าหมายที่อยากจะสนับสนุนน้องสาวที่อายุห่างกันเป็นสิบปี ที่ฉายแววมีพรสวรรค์ด้านงานครัวตั้งแต่ยังเล็ก
แต่ทว่าก็รางโชคชะตานั้นแสนเล่นตลก หลังจากเลิกงาน และตั้งใจว่าจะไปช่วยงานที่ภัตตาคารของครอบครัวต่อ เขาก็ต้องประสบอุบัติเหตุที่อันไม่คาดฝัน และชีวิตก็ได้จบลงอย่างไม่ทันจะได้รู้ตัวเสียซะก่อน แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเรื่องราวมากมายต่อจากนี้

สวัสดีครับทุกคน! กลับมาพบกันอีกครั้งกับ ๐Algiz๐ คนนี้!

สำหรับเรื่อง ‘เกิดใหม่ทั้งทีก็ต้องอาชีพเกษตรกรสิ!’ เป็นผลงานเรื่องที่ 4 ของไรท์เตอร์!

เพื่อเป็นที่ชัดเจน และรับทราบโดยทั่วกัน

มีการติดเหรียญทั้งแบบ ตอนอ่านล่วงหน้า / ติดเหรียญ / ติดแบบแพ็กเกจ

จึงขอเรียนแจ้งนักอ่านทุกคนทราบโดยทั่วกัน

สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านผลงานเรื่องที่ 1-3 ของไรท์เตอร์ กดคิดชื่อเรื่องด้านล่างนี้ได้เลย!

ผลงานเรื่องที่ 1 ชีวิตสุดสโลว์ไลฟ์ในต่างโลก

ผลงานเรื่องที่ 2 Lord Of Heroes : การเกิดใหม่ครั้งนี้เพื่อฟื้นใจผู้นำผองวีรชน

ผลงานเรื่องที่ 3 The Wizard Of Black Dragon ตำนานพ่อมดแห่งคำปฏิญาณมังกรทมิฬ

ขอขอบคุณทุกคอมเม้น และการติชมล่วงหน้านะครับ

บทนำ

บทนำ

วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2580

ในวันนี้ ณ มหานครใหญ่นั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศของงานเทศกาลวันคริสต์มาส และวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ผู้คนไม่ว่าจะช่วงวัยไหน วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุต่างออกมาจับจ่ายเดินเที่ยวอย่างเต็มแน่นทั้งห้างสรรพสินค้า และร้านค้าตามห้องแถวรายทาง
บรรยากาศช่วงเทศกาลอันแสนคึกคักก่อนหยุด ผู้คนที่ต่างได้หยุดแล้วก็ต่างเริ่มเฉลิมฉลอง และทยอยเดินทางกลับบ้านเกิดที่ต่างจังหวะ แม้ว่าในเมืองใหญ่อันเป็นเมืองหลวงของประเทศจะเงียบเหงาลงแน่ๆ แต่มันก็เป็นสวรรค์ของคนทำงานข้ามปีที่จะได้ขับรถมาทำงานเอง

“พี่ภาไม่หยุดปีใหม่จริงเหรอ~?”เด็กสาวที่อายุราว 17-18 ซึ่งสวมเครื่องแบบชุดสูทสำหรับผู้หญิงที่มีตราเหมือนตราสถาบันศึกษาได้เอ่ยคำถามหนึ่งออกมา
“พี่มาทำงานปกติน่ะ พวกน้องเองก็ด้วยไม่ใช่เหรอ~?”กับคำถามนั้น เขาหันไปทางเด็กสาวคนที่ว่า พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อเล็กน้อย
“““พวกเราหยุดเฉพาะวันตัวแดง!!!”””เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวต่างตอบประสานเสียงกันอย่างมิได้นัดหมายกันใดๆ ทั้งสิ้น
“แหม ตอบพร้อมกันเชียวนะ”

น่าหนักใจซะจริงเด็กพวกนี้นิ ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘พี่ภา’ หรือชื่อเล่นเต็มๆ คือ ‘ภาคิน’ ถึงกับแซวออกมาเบาๆ ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ขณะมองดูเด็กฝึกอาชีพทั้งสามชีวิตที่ตัวเองเป็นผู้ดูแลคุมการฝึก ที่สุดแล้วพอหันไปดูปฎิทิน…

“พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์…หยุดยาวห้าวันจะไปเที่ยวไหนกันล่ะพวกเราน่ะ?”

ภาคินเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย พลางหันไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ และหยิบบางอย่างออกมาเตรียมยื่นให้กับสองเด็กสาวกับหนึ่งเด็กหนุ่มในความดูแลของตัวเอง แน่นอนกับคำถามนั้น ทำเอาเด็กๆ ต่างมีสีหน้างงงวยหนักมาก

“ไม่ใช่ว่าวันเสาร์พวกเราต้องกลับมาทำงานหรอกเหรอครับพี่ภา?”เด็กหนุ่มถามออกมาอย่างสงสัย โดยมีเพื่อนสาวทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามนั้น
“อ่ะนี่ ของขวัญวันคริสต์มาสปีใหม่จากพี่”ได้ยินคำถามภาคินก็พลันยิ้มบางๆ ก่อนจะยื่นสลิปสีขาวที่มีตารางบางอย่างให้กับหนึ่งเด็กหนุ่มสองเด็กสาว
“อะ-เอ๋! ตารางนี้!?”พอได้เห็นตารางทำงานใหม่ ทั้งสามต่างเปล่งเสียงออกมาในทำนองเดียวกันอย่างสับสนไม่น้อย
“พวกน้องไม่เคยลาหยุดกันเลยใช่มั้ยล่ะ? พวกพี่ๆ ก็เลย…”จัดตารางวันทำงานให้ใหม่ ให้น้องๆ ได้หยุดยาวถึง 5 วันมันซะเลย แน่นอนว่าได้รับอนุมัติแล้ว ไม่มีปัญหาแน่นอน
“หะ-ห้าวันเลยเหรอพี่?”เพื่อนเธอที่ฝึกอยู่แผนกอื่นยังหยุดได้เต็มที่แค่สองวันเองนะ
“วันจันทร์น่ะพี่ขอเพิ่มให้ เพราะเผื่อเที่ยวสี่วันกัน อย่างน้อยก็ต้องมีวันสลบจริงมั้ย~?”

จากประสบการณ์ส่วนตัวสมัยฝึกงาน หยุดยาวสี่วันจริง แต่เที่ยวได้สาม ส่วนวันที่สี่ต้องรีบกลับมาซักผ้าทำความสะอาดบ้าน และพอวันรุ่งขึ้นที่เป็นวันทำงาน มันต้องมาในสภาพที่เหมือนศพเหมือนซอมบี้กันแน่ๆ ดังนั้น ก็เลยขอเพิ่มพิเศษให้น่ะนะ

“““ปะ-ประการณ์ตรงสินะ”””เหล่าเด็กฝึกงานต่างพึมพำอย่างตะลึงทึ่งกับคำเปรียบเปรยของคุณพี่ซุปเปอร์ไวเซอร์ที่ทำเอาเห็นภาพชัดเลย
“ก็ประสบการตรงนั่นแหละ เอ้า! ทำงานต่อกันได้แล้ว!”ว่าแล้วก็ต้อนเด็กๆ กลับไปทำงานทำการก่อนจะมีคนใหญ่คนโตลงมาเดินตรวจแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงประหนึ่งดังคำว่า ‘มันจะมาโดยไม่รู้ตัว!’
“““ครับ~ / ค่ะ~”””

ทั้งสามต่างขานรับอย่างลากเสียงยาน ก่อนจะเดินวนงมกลับไปยังล็อกช่องที่นั่งของตัวเองเพื่อคีย์ข้อมูลลงระบบกันต่อ ซึ่งนั่นเป็นงานที่เหลืออยู่ของบ่ายวันนี้ หลังจากที่ทั้งสามหนอทำงานที่ได้รับมอบหมายของตัวเองเสร็จไปแล้วนั่นเอง ส่วนงานนี่เป็นของแผนกข้างเคียงที่ทำกันไม่ทัน…

30 ธันวาคม พ.ศ.2580

เวลาการทำงานล่วงเลยมาอย่างรวดเร็วปานติดไฮสปีดอินเทอร์เน็ต ในช่วงก่อนหยุดยาวสิ้นปีเป็นแน่นอนว่าบางคนในหลายแผนกโดนงานที่ตัวเองหมักหมมไว้ตั้งแต่ต้นเดือนเล่นเข้าหาแล้ว และต้องมาลำบากตาลีตาเหลือกทำก่อนหยุดยาว ไม่งั้นไม่ได้หยุด

“หยุดไปก็อย่าเที่ยวเพลินจนลืมที่ฝึกมาจนต้องมาเทรนด์กันใหม่ล่ะเด็กๆ”ก่อนจะจากลา ณ หน้าทางออกบริษัทภาคินเอ่ยดักเหล่าน้องๆ เอาไว้ก่อน
“โถ่~! ใครจะไปลืมกันล่ะพี่!”หยุดไปแค่ห้าวันเอง จะไปลืมได้ยังไงกันล่ะเนาะ
“ปีที่แล้ว รุ่นพี่น้องคนนึงก็พูดงี้แหละ…”พอกลับมาปุ๊บอย่างกับคอมพิวเตอร์เอาไปลงวินโดว์เวอร์ชั่นดาวห์เกรดมาเลยแหละ ต้องมานั่งสอนใหม่หมดทุกอย่าง
“““จะพยายามไม่ลืมค่ะ / ครับ”””

ที่สุดแล้ว สองเด็กสาวหนึ่งเด็กหนุ่มก็ต่างน้อมรับคำเตือนนั้นไว้อย่างเต็มใจ เพราะหลังจากปีใหม่ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่าสำหรับการฝึกงาน ที่เหลือเป็นการสอบของสถาบันวิทยาลัย ขืนเกิดอะไรที่ว่าขึ้นจริง นรกแตกแหง…

““““เอาล่ะ! เจอกันหลังสงกรา-/ ปีใหม่ค่ะ! / ครับ!””””เด็กๆ ต่างสวนขึ้นมาอย่างทันควัน ทำเอาภาคินได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ล้อเล่นหรอกน่า! กลับกันดีๆ ล่ะ สวัสดีปีใหม่”
“““ไว้พบกันใหม่ สวัสดีปีใหม่ครับ / ค่ะ”””

เด็กๆ ต่างพนมมือขึ้น พร้อมทักทายสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้ากันออกมา ก่อนจะขอตัวไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านกัน ขณะมองส่งเด็กๆ เดินขึ้นบันไดเลื่อนรถไฟฟ้าอย่างปลอดภัยแล้ว ภาคคินรู้สึกว่าสมาร์ตโฟนในกระเป๋ากางเกงมันสั่นนิดหน่อย พอควักล้วงออกมาแล้ว ก็เห็นเป็นไอคอนโทรเข้าเด่นหรา

“ครับพ่อ”แทบไม่ลังเล ภาคินปาดเลื่อนกดรับสายทันที
“(คิน สะดวกคุยรึเปล่าลูก?)”เสียงจากอีกฟากปลายสายดังขึ้น พร้อมกับถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนกลัวที่จะรบกวนนั้นดังออกมา
“ไม่เลยครับพ่อ ตอนนี้ลูกเลิกงาน อยู่ที่หน้าทางออกบริษัทน่ะ”เมื่อกล่าวตอบผู้เป็นบิดาไป ภาคินก็ก้มหน้าลงมองดูนาฬิกาที่สวมไว้ที่ข้อมือขวาเล็กน้อย ซึ่งตอนนี้ มันเพิ่งประมาณบ่ายสามโมงกว่าเอง…
“(…ลูกมาช่วยที่ร้านได้รึเปล่า? พอดี คนเยอะมากเชฟเค้าทำตามออเดอร์ไม่ทันน่ะ)”พอได้ยินแบบนั้น ภาคินก็ยิ้มบางๆ ขณะกระชับกระเป๋าเป้ที่สะพายหลังอยู่เล็กน้อย
“พอดีเลย ลูกว่าจะไปที่ร้านพอดีน่ะพ่อ”ที่ภัตตาคารมักจะยุ่งตลอดเวลาช่วงเทศกาลอยู่แล้วน่ะนะ ที่จริงไม่เห็นต้องถามก็ได้ เพราะยังไงเขาก็พร้อมไปช่วยอยู่แล้ว
“(จริงรึ! แต่ลูกไม่เหนื่อยหรือ พรุ่งนี้ลูกก็ยังต้องทำงานนะ?)”ปลายสายที่แม้จะดีใจ แต่ก็ยังถามไถ่อย่างเป็นกังวลเป็นหัวใจ ภาคินก็ได้แต่ยิ้ม และตอบไปอย่างมั่นใจ
“ถ้าเหนื่อยนอนพักก็หายแล้วล่ะพ่อ เดี๋ยวลูกขอตัวก่อนนะ รถมาแล้ว”
“(เข้าใจล่ะ เดินทางปลอดภัยนะลูก)”
“ขอบคุณครับพ่อ”

สมาร์ตโฟนที่แนบหูอยู่ค่อยๆ ลดลง พร้อมกับนิ้วกดเลื่อนปาดวางสาย ภาคินมองไปยังรถประจำทางที่มีป้ายตัวหนังสือเขียนไว้ทางด้านข้างว่า ‘พลังงานบริสุทธิ์(Pure Energy)’ กำลังเคลื่อนเข้าใกล้เทียบป้ายรถ เขาก็กระชับเป้สะพายหลังอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังป้ายรถ
แต่ทันก่อนเขาจะได้ก้าวไปถึง ขาข้างขวาที่ก้าวนำออกไปก็ได้พลาดหยิบลงไปบนพื้นทางเท้าที่ยุบลงไปตามแรงเหยียบ และทันก่อนจะได้ชักเท้ากลับมา เมื่อเขาได้กระพริบตาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองนั้น อยู่ในสถานที่ที่แตกต่าง มีเพียงสีขาวโพลนอันบริสุทธิ์

“อะไร…?”

นี่มันเป็นการกลั่นแกล้งอะไรรึเปล่า ก็เมื่อกี้ เขากำลังจะเดินไปขึ้นรถประจำทาง แล้วขาขวามันดันจมลงไปบนแผ่นหินปูนแผ่นหนึ่งที่ปูอยู่บนทางเท้า พอจะรีบชักเท้ายกขึ้น กระพริบตาอีกครั้ง รู้สึกตัวอีกที ก็อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แล้ว แถมมีแต่สีขาวโพลนบริสุทธิ์ด้วย

“ยินดีต้อนรับ วิญญาณผู้แสนอาภัพ”เสียงหนึ่งที่แสนก้องกังวาลดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ใครน่ะ!?”ภาคินที่ตกใจกับเสียงที่ดังทักตัวเองจากทางด้านหลัง ก็รีบกลับหลังหัน ชักเอาสเปรย์พริกไทยออกมาเตรียมพ่นใส่เจ้าของเสียงที่ทักตน
“เดี๋ยว! อย่าพ่นนะเฮ้ย!”บุรุษผู้มีเส้นผมสีขาวแซมเงินก็รีบกระโดดถอยหนี ยกมือทั้งสองข้างขึ้น เพื่อเตรียมตั้งรับการสเปรย์พริกไทยที่อาจถูกพ่นฉีดมาใส่ตน
“คุณเป็นใคร! ที่นี่ที่ไหน!? แล้วทำไมถึงพาผมมาที่นี่!?”

ไม่รอช้า และไม่ลดการระมัดระวังตัว ภาคินตะโกนถามออกไปอย่างต้องการข่มอีกฝ่ายไว้ เพราะอย่างที่สุด ในสถานการณ์ที่บริษัทเคยให้ฝึกรับมือเอาไว้ คือ อย่างน้อยต้องทำให้ตัวเองมีอำนาจเหนืออีกฝ่าย หรือผู้คนโดยรอบเพื่อคุมสถานการณ์

“นามของเรา คือ โรเอล พระเจ้าสูงสุดผู้ปกครองสรวงสวรรค์ สถานที่แห่งนี้ คือ ‘ห้องบริสุทธิ์’ อันเป็นใจกลางระหว่างการเกิดใหม่ และดับสลายชั่วนิรันดร์กาล”ชายหนุ่มปริศนาแนะนำตัวว่าตัวเองนั้นเป็น ‘พระเจ้า’ ด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม พร้อมกับแผ่บรรยากาศแปลกๆ ออกมา
“อะไรนะ…?”พอได้ยินคำตอบ ภาคินก็ผงะอย่างสับสน และลดการป้องกันตัวลงอย่าลืมตัว
“ส่วนสาเหตุที่พาเจ้ามาที่นี่ เพราะเจ้าตายแล้ว”ชายผู้บอกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง และจ้องไปในนัตย์ตาของผู้มาเยือน
“ห๊ะ ตาย? ยังไง? อะไร!?”ก็เขายังยืนอยู่ตรงนี้จะไปตายได้ยังไง ภาคินคิดขึ้นในใจอย่างสับสน ตื่นตระหนก และเผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ แต่…”โรเอลที่เห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่เชื่อแน่ๆ ก็พึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะดีดนิ้ว…
“อ๊ากกก!!!”

ความทรงจำช่วงหนึ่งได้พุ่งเข้ามาในหัวของภาคินโดยตรง มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งร่าย นั่นยังไม่รวมความรู้สึกหลายๆ อย่างมันถาโถมเข้ามาพร้อมกันกับภาพนั้น ไม่ว่าจะเสียง ความเจ็บปวด กลิ่นสนิม และรสชาติของเลือด

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก…นี่มัน อะไร?”

ภาคินที่ทรุดลงไปหมอบคลานคุกเข่าอยู่บนพื้นห้องสีขาว กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ และเหนื่อยหอบราวกับจากขาดใจตาย พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวจนแทบจะเด้งหลุดออกมาเต้นอยู่ข้างนอก เม็ดเหงื่อผุดเต็มชุ่มทั่วทั้งร่างราวกับเพิ่งไปออกกำลังกายหนักมา

“ความทรงจำของเจ้าตายที่เราตัดทิ้งไปก่อนชักนำมายังที่แห่งนี้”โรเอลกล่าวตอบพร้อมกับเรียกชุดโต๊ะ และเก้าอี้สองตัวออกมา ก่อนจะปรบมือเบาๆ
“…!?”เป็นอีกครั้งที่ภาคินต้องตกใจ เพราะจู่ๆ ตัวของเขาก็มานั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหน้าเข้าโต๊ะซึ่งมีจานคุกกี้ และถ้วยแก้วที่ชายผู้อ้างตกว่าเป็นพระเจ้ากำลังรินชาให้ตนอยู่ด้วยท่าทางช่ำชอง
“อย่างที่บอก เราเป็นพระเจ้า ไม่ได้สมอ้างด้วย”คนเป็นพระเจ้าที่ได้ยินเสียงในใจของอีกฝ่าย ก็ได้วางกาน้ำชายลง ก่อนจะยื่นนามบัตรอันหนึ่งให้…
“หะ-เห๋…”ภาคินรับนามบัตรนั้นมาอย่างสับสน เพราะไม่นึกว่าจะมีนามบัตรด้วย…
“คนก่อนที่ตาย และพบเรา บอกว่าให้ลองทำแบบนี้ดู เผื่อคนจะเชื่อง่ายขึ้น”โรเอลกล่าวอธิบายออกมาอีกครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ และยกถ้วยแก้วชาขึ้นมาจิบดับกระหาย
“ไม่ ไม่ ไม่…”มันไม่น่าช่วยได้ กลับกัน มันน่าจะทำให้คนที่ได้รับระแวงมากกว่าเก่าด้วยซ้ำ ภาคินเอ่ยเชิงปฎิเสธออกมา ขณะที่คิดแบบนั้นในใจของตัวเอง
“เห็นด้วย แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย…จริงมั้ย?”คนเป็นพระเจ้ากล่าวพร้อมยักคิ้ว
“ก็จริงที่ไม่ลองก็ไม่รู้ แต่…อ่านใจเหรอ?”เขาเห็นด้วยกับเรื่องนั้นอยู่ แต่ว่านี่อ่านใจกันได้รึ? ภาคินเกิดอาการข้องใจสงสัยหลังจากที่กล่าวอย่างเห็นด้วยกับเรื่องการลอง…
“อันที่จริง ต้องบอกว่าเราได้ยินมากกว่า”
“ได้ยิน? แม้ว่าจะไม่อยาก?”ไม่ลำบากแย่เหรอนั่น ถ้าต้องได้ยินความคิดที่ไม่อยากได้ยิน ภาคินรู้สึกว่านั่นเป็นความสามารถที่ค่อนข้างที่จะไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก
“มันก็ไม่ได้แย่ อีกอย่างเราได้ยินแค่ความคิดของวิญญาณสรรพชีวิตเท่านั้น”

เทพด้วยกันตัวของตนไม่สามารถได้ยินเสียงของจิตใจ หรือจิตวิญญาณได้ แต่ถ้าเป็นวิญญาณที่เกิดมาจากโลก ไม่ได้เกิดบนสรวงสวรรค์แล้วล่ะก็ ตนสามารถได้ยินแม้แต่เสียงของต้นกำเนิดจิตวิญญาณ โรเอลกล่าวอธิบายถึงความเป็นจริงในข้อนั้น อย่างกตัญญูต่อความเป็นห่วงของอีกฝ่าย

“เป็นพระเจ้าตัวจริงสินะ…”แม้จะเชื่อได้ยาก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะเป็นตัวจริงแหละ
“จริงแท้อย่างไม่มีเทียม ให้บอกรหัสโค้ดหนังอย่างว่าเรื่องแรกที่เจ้าดูในชีวิตยังได้”
“โปรดละเว้นการใช้เรื่องนั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นพระเจ้า!”ภาคินรีบปฎิเสธ และขอห้ามไม่ว่าจะด้วยอำนาจอะไรที่ตัวเองมีอยู่ แต่ไอ้เรื่องนั้นอย่าเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์สิ!
“เอาน่า เราลบทุกอย่างในระบบคลาวกับในฮาร์ดิสให้แล้ว น้องสาวเจ้าไม่เปิดเจอแน่นอน”ด้วยความที่เป็นผู้ชายด้วยกันจึงเข้าใจ เลยลบให้เรียบร้อย หมดเกลี้ยงเลย
“ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้ง”ถ้าเกิดน้องสาวที่รักยิ่งเปิดเจอมีหวังความเป็นพี่ชายผู้แสนมีสง่าราศีได้ป่นปี้พังพินาศสิ้นหมดเป็นแน่แท้ ภาคินถึงกับยกมือขึ้นไหว้อย่างขอบคุณ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คนกันเอง…แต่รสนิยมใช้ได้เลยนิ”พอมานึกถึงภาพหน้าตาดารานางเอกของแต่โค้ดรหัสแล้ว ก็ใช้ได้ทั้งนั้นเลย…
“ขอขอบคุณ…”แม้จะเป็นคำชมที่ไม่น่าภาคภูมิใจ แต่ยังไงคำชมก็ยังเป็นคำชมนั่นแหละนะ ภาคินกล่าวขอบคุณออกไปอย่างแผ่วเบา
“…ทำไมผมถึงตาย?”

ที่สุดแล้ว มันก็เป็นคำถามอยากรู้มากที่สุด เพราะสิ่งที่ปรากฏขึ้นในความทรงจำเมื่อครู่ มันค่อนข้างที่จะเลวร้ายอย่างมาก แถมแถวนั้นคนก็เดินสัญจรไปมาเยอะด้วย และยังเป็นหน้าบริษัทในช่วงเวลาเลิกงานอีก เขาจึงอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…

ตอนที่ 1 ชดเชย และเกิดใหม่

ตอนที่ 1 ชดเชย และเกิดใหม่

หลังจากที่ได้ถามออกไป ภาคินก็เห็นว่าท่าทางของผู้เป็นพระเจ้าก็ดูเปลี่ยนไปเล่นน้อย จนถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเลย โรเอลที่ได้ยินคำถามนั้นก็ปรับท่าทางการนั่งเล่นน้อย ขณะวางแก้วถ้วยชาลงบนโต๊ะ

“ตัวของเจ้าได้ตกลงไปสู่ห้วงมืดที่เต็มไปด้วยอสูรร้ายที่อยู่ระหว่างห้วงมิติ…”โรเอลกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนเคร่งขรึมจริงจัง เมื่อกล่าวถึงเรื่องนั้น
“เห๊ะ?”

พอได้ยินคำตอบ ภาคินถึงกับหลุดอุทานอย่างตกตะลึงตื่นตระหนก เพราะไม่คิดว่าจะเป็นคำตอบที่สุดแสนจะไซไฟขนาดนั้น เขายังคิดว่าเกิดเหตุหลุมยุบแล้วเขาตกลงไปโดนเหล็กเสียบตายเสียด้วยซ้ำ คนเป็นพระเจ้าได้แต่ส่ายหัว

“ถ้าแค่นั้นก็ดี เคราะห์ดี…”

ที่ตัวของตัวสามารถดึงร่างกลับขึ้นมาจากห้วงมืดได้ ทำให้ยังคงมีศพให้ครอบครัวของเจ้าหนุ่มตรงหน้าได้เอาไปทำพิธีตามความเชื่ออยู่ และในเคราะห์ดีในเคราะห์ร้าย ตนสามารถปลอมแปลงสาเหตุการตายทางโลกได้ทันด้วย

“ท่านให้ผมตายด้วยเหตุอะไร…?”ภาคินถามอย่างรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ก้อนปูนจากสถานีรถไฟฟ้าตกใส่หัว…”ง่ายที่สุดที่คิดได้ในเวลานั้น โชคดีที่มีสถานีอยู่บนหัวพอดี
“พระเจ้าช่วย…”สภาพหัวตัวเองไม่แบะบนทางเท้าเลยหรือนั่น เขาถึงกับสะเทือนใจอย่างอดไม่ได้ เพราะมันต้องกลายเป็นภาพติดตาของผู้คนโดยรอบแน่ๆ
“เราช่วยแล้ว และก็เรื่องภาพติดตา…”ไม่ต้องห่วง หัวไม่แบะแค่หัวแตกคอหักตายดพราะถูกกระแทกแรง และแน่นอนการตายนี้ได้ออกข่าวทีวีทุกช่อง และทุกช่องข่าวออนไลน์
“พระเจ้าช่วย…”นี่เรื่องการตายของเขาได้ออกข่าวทุกช่องเลยเหรอเนี่ย!? ภาคินพลันตื่นตระหนกกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับนี้
“อย่างที่บอก เราช่วยแล้ว”โรเอลตอบออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น…”แค่อุทานเฉยๆ ว่าแล้วพระเจ้าคงไม่อุทานว่า ‘พระเจ้าช่วย’ สินะ
“ก็ใช่น่ะสิ”ตนจะอุทานขอให้ตัวเองช่วยทำไม ในเมื่อตัวเองเป็นพระเจ้าอยู่แล้วน่ะ
“…แล้วพ่อ แม่ น้องสาวของผม”ที่สุดแล้ว ภาคินได้กล่าวถามเรื่องที่อยากรู้มากที่สุด มากกว่าเรื่องที่ว่าตัวเองตายยังไงออกไป
“แน่นอน ทุกคนต่างโศกเศร้าต่อการจากไปอย่างกะทันหัน”โรเอลตอบยืนยันในสิ่งที่ชายหนุ่มนั้นกังวล และเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เรียกไม่ได้
“ท่านพระเจ้าอาจจะเป็นคำอ้อนวอนที่เห็นแก่ตั…?”ขณะที่ภาคินกำลังจะเอ่ยขออะไรบางอย่าง ก็ถูกพระผู้เป็นเจ้ายกมือขึ้นหยุดเอาไว้ก่อน
“เราได้เริ่มมาตรการเยียวยาชดเชยไปแล้ว ซึ่ง…”

เบื้องต้นสำหรับการตายอย่างกะทันหันของคนที่จะเป็นเสาหลักของครอบครัวในอนาคต ตนได้ให้กองทุนที่มีชื่อว่า ‘พระเจ้าช่วยคุณได้!(God Be Help You!)' นำเงินที่แสร้งว่าเป็นเงินปันผลจากการลงทุนของภาคินนำมาจ่ายเป็นเงินอำนวยชีวิตให้แก่บิดา มารดา และน้องสาวของผู้ร่วมลงทุนผู้ล่วงลับ
เป็นจำนวนเงินคนละ 350,000 บาท ต่อคน ในทุกเดือนตลอดชีพ แน่นอนว่าได้มีการเปิดบัญชีแยกเป็นสามบุคคล คือ พ่อ แม่ และน้องสาวอย่างชัดเจน ทั้งนี้ เนื่องจากคุณหนูน้องสาวยีงเป็นผู้เยาว์ จึงได้ทำการส่งนางฟ้าที่ประจำอยู่บนโลกอยู่แล้วไปทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้จัดการเบิกจ่าย
แน่นอนตัวของเด็กสาวผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีสิทธิ์ที่จะเบิกเงินออกมาใช้ได้เท่าที่ต้องการ ตราบเท่าที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างผิดกฎหมาย นอกจากนี้สำหรับพ่อแม่ ด้วยความที่เป็นประเทศที่เชื่อเรื่องโชคลาง และสลากกินแบ่งอย่างมาก
จึงได้ส่งนางฟ้าไปดลใจทั้งสองคนในฝัน บอกเลขรางวัลที่หนึ่งงวดกลางเดือนมกราคมปี 2581 เรียบร้อย เพราะงั้นเรื่องเงินเรื่องทองไม่มีความจำเป็นต้องห่วง ส่วนเรื่องสุขภาพได้ทำการอวยพรวิเศษไปแล้ว ทำให้ไม่มีวันเจ็บป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างกันทั้งพ่อแม่ และน้องสาวเลย
นอกจากนี้ก็บัพให้อายุยืนเกินร้อยทุกคนด้วย! และถ้ากลัวว่าน้องสาวจะเจอชายชั่วคิดการใหญ่มาเกาะกินเป็นแมงดา ไม่ต้องห่วง! ทางนี้ได้จัดหาผู้พิทักษ์ไว้ให้แล้ว รับรองทั้งผู้ชาย และผู้หญิงที่เข้าหาอย่างไม่บริสุทธิ์ใจจะโดนกวาดล้างเกลี้ยงอย่างแน่นอน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเป็นห่วง!

“มีอะไรต้องการรีเควสเป็นพิเศษรึเปล่า?”จากทั้งหมดทั้งมวล โรเอลถามอย่างเพื่อความแน่ใจว่ายังต้องการเพิ่มส่วนไหนที่ขาดตกบกพร่องรึเปล่า
“ถะ-ถามจริง หรือถามเล่นๆ ครับ?”หลังจากได้ยินแพ็กเกจชดเชยทั้งหมด ภาคินยังนึกว่าหูตัวเองเพี้ยนไปด้วยซ้ำ แต่ถ้าขนาดนี้ เขาก็หมดห่วงแล้วล่ะ ไม่สิ ไม่มีทางกล้าขออะไรเพิ่มไปกว่านี้อยู่แล้ว
“เผื่อไว้น่ะ ไหนๆ แล้วเอาผู้กล้าสักคนสองคนไปเป็นบริการ์ดให้น้องสาวมั้ย?”รับรองปลอดภัยยิ่งกว่าบังเกอร์ป้องกันการโจมตีจากนิวเคลียร์อีก
“โปรดคุ้มครองน้องสาวกับพ่อแม่ผมอย่างพอเหมาะเถอะครับ…”กลัวพวกท่านทั้งสองกับน้องสาวจะใจไม่ดีเพราะความเก่งของบริการ์ดดีกรีระดับผู้กล้าน่ะสิ
“งั้น…มาเริ่มคุยถึงการชดเชยที่เจ้าได้รับกันดีกว่า”
“อ้าว ผมได้ด้วยเหรอ?”เขายกมือขึ้นผายเข้าหาตัวอย่างแปลกใจที่ตัวเองก็ได้รับการชดเชยกับเขาด้วย นึกว่ามีแค่น้องสาวกับพ่อแม่ที่ได้เสียอีก
“เจ้าคือผู้เสียหายหลัก ก็ต้องได้อยู่แล้วสิ”

ถามแปลกซะจริง เจ้าตัวเองเป็นคนที่ตายซึ่งนับเป็นผู้เสียหายหลักยังไงก็ต้องได้รับการเยียวยาอยู่แล้วสิ แม้จะผงะเล็กน้อยกับความมีหน้าถามว่า ‘อ้าว ผมได้ด้วยเหรอ?’ ก็เถอะ แต่โรเอลก็ตอบอธิบายไปตามนั้น พอได้ยินคำตอบคนที่กำลังจะได้รับชดเชยก็ตกตะลึงไม่น้อย

“ก็ผมตายได้ จะเอาของชดเชยไปทำอะไร…?”ในเมื่อตายแล้ว เขาจะยังขอการชดเชยไปเพื่ออะไร ภาคินที่ยังคงฉงนงงงวยไม่หายก็ยังถามออกไปแบบนั้น
“เราจะให้เจ้าเกิดใหม่ในโลกที่ให้เปรียบอย่างเข้าใจง่ายๆ ก็เป็นโลกเทพนิยายแฟนตาซีที่มีเวทมนตร์ที่วัฒนธรรมประมาณยุคกลางตอนต้นสุดๆ แน่นอน ความทรงจำจะยังอยู่ครบด้วย”

ถือเป็นเซอร์วิสอย่างหนึ่งน่ะนะ สำหรับความทรงจำอ่ะนะ หลังจากที่โรเอลเอ่ยกล่าวอธิบายถึงโลกที่จะให้เจ้าหนุ่มลงไปเกิดใหม่แล้ว ผู้เป็นพระเจ้าก็นำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา พร้อมกับปากกาที่เหมือนเอาไว้เตรียมจดอะไรสักอย่าง

“เกิดใหม่…”

พอได้ยินว่าตัวเองจะได้เกิดใหม่แถมความทรงจำยังอยู่ครบด้วย เขาก็รู้สึกกังวลไม่น้อย เพราะเมื่อนึกถึงไลท์โนเวลกับนิยายที่เคยอ่าน คนที่ได้เกิดใหม่พอใช้ชีวิตผ่านไปช่วงหนึ่ง ก็มักจะเจอแต่เรื่องวุ่นคอขาดบาดตาย ความกังวลของภาคินนั้น โรเอลสัมผัสได้อย่างชัดเจน…

“ไม่ต้องห่วง เราไม่ได้ให้เจ้าไปเกิดตัวเปล่า สำหรับโลกนั้นมีระบบเลเวลกับหน้าต่างสถานะรวมถึงระบบอาชีพที่คล้ายเกมออนไลน์ในโลกที่เจ้าด้วยน่ะ”
“มะ-มันมีโลกแบบนั้นด้วย”ไม่นึกว่าจะมีโลกที่แค่พูดว่า ‘สเตตัส’ แล้วจะมีหน้าต่างสถานะแบบในเกมวีอาร์โผล่ออกมาด้วย เขาอดไม่ได้จริงๆ ที่จะทึ่งในน่าความอัศจรรย์ของโลกที่ตัวเองไม่รู้จัก
“เอาล่ะ เจ้าอยากเป็นผู้กล้ามั้ย หรือจอมมารดี นักปราชญ์ก็ได้นะ”เพราะทางนี้ได้รับอนุญาตจากเพื่อนคนนั้นที่ยินดีรับเจ้าหนุ่มไปเกิดใหม่บนโลกของตนมาแล้วน่ะนะ
“ไม่ ไม่ ไม่…”

อาชีพที่ดูพามาแต่เรื่องวุ่นวายชวนเศร้าสลดใจแบบนั้นน่ะเขาไม่เอาด้วยหรอก ภาคินรีบเอ่ยกล่าวปฏิเสธในพูด และในใจ แน่นอนว่าเฉพาะเหตุผลที่เจ้าตัวคิดก็ทำเอาคนเป็นพระเจ้าผงะตกตะลึงไม่น้อย ก่อนจะได้ยิ้มเจื่อนๆ ออกมา พลางคิดว่า ถ้าพวกวีรชนทั้งหลายได้ยินคงมีทรุด…

“งั้นเจ้ามีความใฝ่ฝันอยากเป็นอะไรรึเปล่า พ่อครัว? อัศวิน? หรือจอมเวท?”

เพราะถ้าดูจากความสามารถแฝงหลายอย่าง เจ้าหนุ่มตรงหน้าสามารถไปตามสายทางอาชีพที่ว่าได้เลยทั้งที่ตัวของตนยังแทบไม่ต้องยกระดับความสามารถพื้นฐานน่ะนะ โรเอลเอ่ยถามออกไป พร้อมกับยกตัวอย่างถึงอาชีพที่อีกอย่างสามารถเลือกได้

“ถ้าพูดถึงความฝัน…”ภาคินพึมพำพลางหวนนึกถึงอดีตย้อนกลับไปช่วงที่ยังเป็นเด็ก…

ครอบครัวเขาเปิดกิจการเป็นภัตตาคารร้านอาหารตะวันตกมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ตัวเขาเองนั้นก็ได้เริ่มจับมีดเข้าครัวตั้งแต่ยังเล็ก จนช่ำชองในศาสตร์อาหารตะวันตกพอสมควร แต่สถานที่ที่จะไปเกิดใหม่ คือ ต่างโลก ในโลกใหม่นี้ ถ้าพูดถึงความฝันที่เคยมี…

“ผมน่ะฝันอยากจะซื้อที่ดินสักผืน…”

หลังจากที่น้องสาวของเขาลืมตาดูโลก เป้าหมายที่จะสืบทอดกิจการครอบครัวขอบเขาก็เปลี่ยนไป ยิ่งเมื่อได้เห็นความเฉิดฉายของคุณน้องสาวในยามที่เข้าครัวแล้ว เขาก็อยากที่จะสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ และหัวใจหลักของภัตรคารน่ะ คือ ราคาวัตถุดิบของอาหาร
เขาจึงเปลี่ยนสร้างหักดิบตัวเองเข้าสู่สายงานพนักงงานเงินเดือนบริษัท และเคยตั้งใจไปให้สูงที่สุด เพื่อให้ได้เงินสักก้อนมาซื้อที่ดินผืนใหญ่สักผืน ปรับพื้นที่นั้นให้กลายเป็นแปลงเพาะปลูกขนาดใหญ่ ส่งขายผัก ผลไม้อันเป็นวัตถุดิบจำเป็นสำหรับภัตตาคารที่น้องสาวจะสืบทอดต่อในอนคาต
เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายนั้น นั่นเป็นสิ่งที่เขา ตั้งใจ และอยากจะทำเพื่อน้องสาวตัวน้อยผู้แสนน่ารักน่าชัง เพื่อกิจการของครอบครัว แม้อย่างน้อยที่สุด ก็อาจจะลดภารค่าใช้จ่ายลงได้ก็ยังดี แม้มันจะเป็นการลงทุนใหญ่ แต่เขาก็มีความฝันที่อยากทำแบบนั้น เพราะอย่างนั้น…

“ท่านพระเจ้า ผมอยากเป็นเกษตรกรครับ”ภาคินกล่าวบอกอาชีพที่ตัวเองต้องการออกไปอย่างไม่ลังเล แน่นอนสำหรับโรเอลที่ได้เห็นเรื่องราวผ่านการรำลึกอดีตของเจ้าหนุ่มแล้ว
“…เข้าใจล่ะ ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้น”ในฐานะพระเจ้าก็มีหน้าที่ต้องเคารพการตัดสินใจของมนุษย์
“เพื่อเห็นแก่ที่เลือกอาชีพที่ไม่ใช่สายต่อสู้ เราอนุญาต…”ให้ได้มีสกิล ทักษะของอาชีพโดยที่ไม่จำเป็นต้องรอปลดตามเลเวล รวมไปถึงสกิลลับทักษะพิเศษทั้งหมดอีกด้วย
“จะไม่เป็นไรเหรอครับแบบนั้นน่ะ?”
“ไม่เป็นไรอยู่แล้ว นอกจากนี้…”

เพื่อให้ชีวิตใหม่นั้นง่ายขึ้น ตนจะยกระดับความสามารถทางกายภาพ และเวทมนตร์ให้สูงกว่าคนปกติทั่วไปเล็กน้อย พร้อมกับเพื่อไม่ให้เบื่อหลังจากเกิดใหม่เดี๋ยวจะยัดความรู้สามัญสำนึกพื้นฐานลงไปให้พร้อมกับความสามารถพูด อ่าน เขียนได้ทุกภาษาลงไปให้ด้วย

“แน่นอน เราไม่ลืมให้สกิลที่ขาดไม่ได้อย่าง ‘กล่องเก็บของมิติ’ ที่…”

สามารถหยุดเวลาของที่ใส่ลงไป และมีจำนวนช่องเก็บเท่ากับจำนวนพลังเวท ทั้งนี้ในแต่ล่ะช่องเก็บได้สูงสุดถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าหน่วย! โรเอลนำเสนอสกิลคู่บ้านคู่เมืองที่มักมอบให้ผู้ต้องเกิดใหม่ หรือคืนชีพในโลกอื่นอย่างภาคภูมิใจสุดๆ

“ขอบคุณมากๆ ครับ…!”ไม่นึกว่านอกจากจะตอบรับคำขอของเขาแล้ว ยังมอบอะไรหลายอย่างให้เขาขนาดนี้ด้วย! ภาคินถึงกับกล่าวขอบคุณพร้อมก้มหัวลงอย่างซาบซึ้ง
“แค่นี้เอง! จริงด้วย! เพื่อสุนทรีในชีวิต…”เผื่อทำเกษตรแล้วเงินเหลือ ขอมอบพรพิเศษ ‘ระบบกาชา’ ให้เอาไปสุ่มเล่นแก้เหงาไปเลย! แน่นอนว่าคนคอยอัพแพ็กกาชาก็คงเป็นตนเนี่ยแหละ!
“ทะ-ท่านพระเจ้า…”

พอได้ยินว่าจะให้ระบบกาชามาสุ่มเล่นแก้เบื่อแก้เหงา ความซาบซึ้งถึงกับหายเกลี้ยงเลย ภาคินเรียกอีกฝ่ายเสียงสั่น เพราะตัวเองมันมักจะเกลือสุดๆ ขนาดการันตี 5 ดาวที่ 90 โรล ยังหลุดเรทไปออกตัวที่มีอยู่แล้วเลย โรเอลที่ได้ยินความอาภัพนั้นก็ค่อนข้างเห็นใจ

“เอาน่า มันก็แค่กาชาคอสตูมเสื้อผ้า เครื่องประดับ…”

กับเครื่องราง โพชั่นที่เอาไว้สุ่มขำๆ แก้เครียดแก้เหงา ไม่ได้ยัดอาวุธ หรือชุดเซทเสื้อเกราะในตำนานลงตู้กาชาสักหน่อย โรเอลที่เห็นใจจึงอธิบายออกมาแบบนั้น จนเมื่อในที่สุดแล้ว ร่างของเจ้าตัวตรงหน้าเริ่มเปล่งประกายแสงสีทอง

“นี่มัน…!”ภาคินตกใจเมื่อเห็นว่าร่างของตัวเองกำลังปกคลุมด้วยระอองสีทองอร่ามตระการตา
“ได้เวลาแล้วน่ะ ภาคิน เราขออวยพรให้เจ้ามีความสุขในชีวิตใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นนับจากนี้”โรเอลที่รู้ว่าถึงเวลาแล้ว ก็เอ่ยอวยพรออกไป พร้อมกับลุกขึ้น และยิ้มส่งอย่างอ่อนโยน
“ท่านพระเจ้า ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ…!”

ทันทีที่สิ้นคำกล่าว ร่างของชายหนุ่มก็กลายเป็นแสงพุ่งหายไปยังที่ไหนสักแห่ง ขณะที่ห้องสีขาวค่อยๆ แตกสลายลง ปรากฎเป็นเหมือนห้องทำงานธรรมดา บุรุษผู้เป็นพระเจ้าสูงสุดนั้น รู้สึกว่าสิ่งที่มอบให้กับเจ้านั่นยังไม่พอ จึงได้กระทำการบางอย่างเป็นของขวัญพิเศษแก่อีกฝ่าย
ในเวลาเดียวกันนั้น บนโลกใหม่ที่ภาคินต้องมาเกิดนั้น ณ ชายแดนของดินแดนดยุกเรสเนอร์ และนครรัฐอิสระเบอกันโน๋ซึ่งติดกันนั้น ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้น ได้มีสมรภูมิขนาดย่อมเกิดขึ้น ทว่าสมรภูมินั้น ไม่ใช่ระหว่างคน หรือผู้เป็นมนุษย์ด้วยกัน

“<>!”

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งสวมเกราะ และสวมผ้าคลุมสีแดงปกปิดแผ่นหลังราวกับอัศวินนั้น ได้ใช้ดาบใหญ่ซึ่งปกคลุมไปด้วยออร่าสีขาวทองฟันผ่าครึ่งสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่สูงราวสองเมตรได้อย่างง่ายดาย และมันนั้นเป็นสัตว์ร้ายตัวสุดท้ายในบริเวณนี้

“ฝ่าบาท! พวกเราจัดการอสูรในบริเวณนี้ถูกจัดการหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ผู้เป็นทั้งผู้ใต้บังคับบัญชา และสหายเข้ามารายงานด้วยท่าทางที่ยินดีไม่น้อย
“…พวกเรามาช้าเกินไป”

ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ กล่าวกับสหาย ขณะกวาดสายตามองดูความพินาศที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านทางการเกษตรแห่งนี้ ซึ่งเวลานี้เหลือเพียงแค่เศษซากของความพินาศ และศพชาวบ้านกระจายเกลื่อน ซึ่งล้วนต่างถูกสังหารโดยฝูงสัตว์ร้าย
ท้องฟ้ามืดมัวหมองเต็มไปด้วยหมู่เมฆสีเทาดำ สถานการณ์ในเวลานี้ ช่างราวกับต้องการไว้ทุกข์ให้แก่ผู้คนในหมู่บ้าน ผู้เป็นสหายซึ่งเข้ามารายงาน เช่นเดียวกับทหาร และอัศวินทุกคนต่างก็จ้องมองความพินาศนี้อย่างเจ็บปวด แต่ทว่าในเวลานั้นเอง เสียงร้องอันแผ่วเบาของอะไรบางอย่างก็ดังมากับสายลม

“เจ้าได้ยินเหมือนเรามั้ย?”ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาล ซึ่งครอบครองนัตย์ตาสีแดงเพลิงกล่าวขึ้น และพยายามหันมองหาที่มาของเสียงนั้น
“ได้ยิน…ตรงนั้น!”

ขณะที่ตอบเสียงนั้นก็ชัดขึ้นเช่นเดียวกับทิศทาง ชายผู้ถูกเรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ ซึ่งได้ยินก็ทิ้งดาบของตน และวิ่งไปยังจุดที่สหายได้ยินเสียง ซึ่งตรงนั้นมีบ้านเผิงอยู่ที่พังถล่มไปครึ่งหลังมา เมื่อพยายามลองยกเศษซากต่างๆ ที่ทับถมกันอยู่ทิ้ง และมองเข้าไปในที่ที่ๆ เคยเต็มไปด้วยเศษซากนั้น

“อุแว้! อุแว้! อุแว้!”ในนั้นมีทารกน้อยซึ่งนอนอยู่บนตะกร้ากำลังร้องออกมาอยู่ เมื่อได้มองดูก็พบเด็กน้อยคนนี้ไม่มีบาดแผลบนตัวเลยอย่างปาฏิหาริย์
“ขอบคุณองค์เทพ ขอบคุณ…”ชายหนุ่มผมสีน้ำตาล ซึ่งมีนัตย์ตาสีแดงเพลิงนั้นแทบหลั่งน้ำตาออกมา ขณะกล่าวขอบคุณออกแด่ตัวตนอันสูงส่ง ขณะย่อตัวลงไปอุ้มเด็กทารกน้อยขึ้นมาอุ้มเอาไว้
“ไปตามหมอมาเร็ว!”เขาตะโกนออกมาเสียงดัง ขณะหันหลังก้าวกลับไปหาทุกคนที่ต่างยืนมองแข็งทื่อ
“““พ่ะย่ะค่ะ / เพคะ ฝ่าบาท!!!”””เหล่าทหาร อัศวิน และจอมเวทที่ได้เห็นทารกน้อยถูกอุ้มออกมา ก็ขานรับตามคำสั่งนั้น และรีบทำตามอย่างกระตือรือร้น
“เด็กน้อย เจ้าปลอดภัยแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวนะ…”

ชายหนุ่มก้มลงกล่าวกับเด็กทารกน้อยอย่างอ่อนโยนราวกับคนเป็นพ่อพูดกับลูก มันอาจเป็นโชคชะตาก็ได้ หลังจากช่วยเหลือเด็กทารกน้อยคนนี้มาแล้ว ชายหนุ่มผู้แท้จริงเป็น ‘ดยุกแห่งเรสเนอร์’ ก็ได้ตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กทารกน้อยคนนี้ ในฐานะบุตรชายบุญธรรม…

ตอนที่ 2 ครอบครัวเรสเนอร์

ตอนที่ 2 ครอบครัวเรสเนอร์

ผ่านมา 3 ปีแล้ว นับตั้งแต่ตัวเขานั้นมาเกิดใหม่ ยังโลกใบนี้ที่มีชื่อ ‘ทรีเชีย’ โลกนี้มีจำนวนวัน และเดือนเท่ากับโลกที่จากมา แต่แตกต่างตรงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปตามภูมิประเทศที่เขาอยู่ ซึ่งจากที่ได้เฝ้าฟังบทสนทนามาตลอดสามปี ที่นี่เหมือนจะเกือบเหนือสุดของโลก

ตอนนี้เขาอายุได้ 3 ขวบเศษ มีฐานะเป็นบุตรชายบุญธรรมของดยุกแห่งเรสเนอร์ น่าเศร้าใจนักที่เขาไม่มีโอกาสได้รู้จักพ่อแม่ที่แท้จริง พวกท่านได้เสียไปแล้วหลังจากเขาเกิดไม่นาน และตัวของเขาถูกช่วยไว้ก่อนจะต้องพบเจอกับชะตากรรมเดียวกัน

ผู้ที่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากท่านพ่อบุญธรรม ซึ่งท่านมีชื่อว่า ‘อลันซิล ฟอน เรสเนอร์’ ผู้ครอบครองอาชีพระดับสูงอย่าง ‘อัศวินดาบศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งจากที่เขารู้จากความรู้พื้นฐานที่ท่านพระเจ้ามอบมาให้นั้น นั่นเป็นอาชีพที่เป็นรองเพียง ‘ผู้กล้า’ กับ ‘จอมมาร’ เท่านั้น

“อเล็กซ์~!!!”

ขณะที่เด็กชายกำลังนั่งจ้องมองโลกภายนอกภายทางหน้าต่างห้องนั่งเล่นนั้น เสียงหนึ่งก็ดังแว่วมาแต่ไกล เมื่อก้มลงมอง เขาก็ได้เห็นใบหน้าสุดแสนจะน่ารักชวนหัวใจสั่นไหวของเด็กผู้หญิงผู้มีเส้นผมสีขาวพราวเงินปอยผมออกสีฟ้าบริสุทธิ์ ซึ่งกำลังเรียกชื่อเล่นของเขาจากด้านนอกลานฝึกข้างคฤหาสน์

เธอผู้จ้องมองเขาด้วยนัตย์ตาสีฟ้า และโบกมือทักทายเขาจากข้างนอกอย่างร่าเริง เธอนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากพี่สาวที่แก่กว่าเขาถึงสี่ปี เธอมีชื่อว่า ‘อลิเชีย ฟอน เรสเนอร์’ พี่สาวผู้แสนร่าเริงสดใส และครอบครองความงามที่สามารถสะกดหัวใจได้แม้จะยังเป็นเด็ก

เมื่อได้ลองจ้องมองสังเกตดูดีๆ แล้ว จะเห็นว่าเธอมีหูที่ชี้แหลมยาว ซึ่งไม่ใช่ของมนุษย์อย่างแน่นอน ถูกต้อง พี่สาวคนนี้ของเขานั้น เธอเป็นเกิดมาโดยมีสายเลือด ‘ไฮเอลฟ์(High Elf)’ ที่เป็นเผ่าพันธุ์เอลฟ์ชั้นสูง ใช่แล้ว อย่างที่เข้าใจ ท่านแม่บุญธรรมของเขาเป็นไฮเอลฟ์นั่นเอง!

“พี่สาวของเราช่างน่ารักนัก…”

เขาอดไม่ได้จริงๆ ที่จะพึมพำออกมาแบบนั้น เด็กชายยิ้มบางๆ ขณะยกมือขึ้นโบกทักทายการเรียกหาของพี่สาวบุญธรรมคนนี้ของตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปหยิบหนังสือนิทานเรื่องเล่ามาอ่านต่อ เพื่อทำตัวให้สมกับเป็นเด็กสามขวบเท่าที่เป็นไปได้

ตอนนี้ เขาคือ ‘อเล็กซิส ฟอน เรสเนอร์’ ไม่ใช่ ภาคิน วิโรจน์ โชติกัญญา อีกต่อไป สำหรับชีวิตใหม่นี้ เขาตั้งใจที่จะทำตามฝัน และสนับสนุนพี่สาว ครอบครัวทุกคน! อย่างที่ชีวิตก่อนหน้าไม่มีโอกาสได้ทำให้สำเร็จ! ในขณะที่เปลวไฟลุกโชนในใจนั้น…ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ครับ!”

อเล็กซิสขานรับเสียงเคาะประตูจากด้านนอกออกไปด้วยน้ำเสียงใสไร้เดียงสาสมช่วงวัย แม้จะรู้สึกจั๊กจี้ในระดับจิตวิญญาณเพราะถ้ารวมอายุหลังจากมาเกิดใหม่ก็เกือบจะสามสิบได้แล้ว แต่ต้องมาแอ๊บเสียงใสไร้เดียงสา ถ้ามีเพื่อนเก่ามาได้ยินคงโดนล้อยันลูกบวชแหง ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดเข้ามา…

ผู้หญิงในเครื่องแบบสาวใช้สีดำแบบยุควิคตอเรีย ก้าวเข้ามาในห้องกับรถเข็นเหล็ก เธอมีเส้นผมสีดำ นัตย์ตาสีดำ สีหน้าท่าทางอันเคร่งขรึมดูเป็นมืออาชีพอย่างสุดๆ ไม่ว่าจะมองดูอีกกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ! นั่นคือ สิ่งที่อเล็กซิสคิดขณะปิดหนังสือภาพ

“ของว่างยามสายวันนี้ เป็นคุกกี้ และนมอุ่นๆ นะคะ”

เธอหยุดรถเข็น และกล่าวออกมาด้วยท่าทางอันสง่างาม ขณะนำโต๊ะสำหรับเด็กมาวางคร่อมหน้าตักของเขาเอาไว้ ก่อนจะนำผ้ารองกันเปื้อนมาผูกเอาไว้ที่รอบคอของเขาอย่างหลวมๆ พร้อมกับนำจานคุกกี้แผ่นเล็กๆ วางเสิร์ฟเคียงคู่กับนมอุ่นๆ หนึ่งแก้ว

“ขอบคุณครับ!”เขาเอ่ยขอบคุณออกไปด้วยเสียงใส

“…ด้วยความยินดีค่ะ”เธอตอบรับอย่างนอบน้อม ขณะที่แก้มนั้นแต่งแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขอตัวนำรถเข็นหลบออกไปเพื่อความปลอดภัย เมื่อเธอออกจากห้องไป

“อืม น่าหนักใจจริง…”อเล็กซิสกล่าวอย่างเคร่งขรึม และมืดมน ขณะมองดูคุกกี้ที่แสนแห้งแล้งแข็งมาก เขาหยิบขึ้นมาก่อนจะเอาไปจุ่มนมเพื่อให้มันอ่อนลง และกินง่ายขึ้น

อีกเรื่องที่น่าเศร้าไม่น้อยไปกว่าการที่เขาไม่มีโอกาสได้รู้จักพ่อแม่ที่แท้จริงอีกแล้ว เห็นทีจะเป็นเรื่องอาหารการกิน และขนมหวานของโลกทรีเชียใบนี้ ที่ค่อนข้างขาดความหลากหลาย ยืดหยุ่น และการพัฒนาอย่างมาก สมกับที่ท่านพระเจ้าเคยพูดไว้ว่า ยุคกลางตอนต้นๆ เลย

รสชาติอาหารอาจเพราะยังเด็กอยู่ เลยได้กินแต่รสชาติอ่อนมาก อ่อนไปทางจืดเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่ขนมอย่างคุกกี้นี่ค่อนข้างจะเป็นของพื้นฐานแต่แข็งมาก แข็งขนาดกัดทีกลัวฟันน้ำนมจะแตกเลย จนต้องเอาไปจิ้มนมเพื่อกิน ไม่ใช่เพื่อดื่ม!

พ่อแม่บุญธรรมพี่สาวที่เคารพ พวกท่านช่างแข็งแกร่งนักที่กินของรสชาติแบบนี้ได้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ลูกชายคนนี้ขอนับถือจริงๆ ถึงมันจะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง! แต่มันไม่ดีต่อสุขภาพช่องปาก และฟันเลยสักกะนิด!

ก่อนจะไปถึงขั้นเป็นเกษตรกรชั้นหนึ่งเพื่อสนับสนุนพ่อแม่พี่สาวที่เคารพได้! เห็นทีต้องแก้ไขปฏิรูปด้านวงการอาหารการกินเสียก่อน! ไม่งั้นไม่ทันไรได้มีปัญหาปวดฟัน ฟันร่วงกันก่อนวัยอันควรแน่! อเล็กซิสนั้นตั้งมั่นตั้งใจในเรื่องนี้ พลางเริ่มวางแผนหาสิ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพึงเครื่องมือทันสมัย!

“ขอโทษนะครับ…”

อเล็กซิสยกมือขึ้นไหว้คุกกี้หนึ่งครั้งอย่างรู้สึก ก่อนจะใช้สกิล ‘กล่องเก็บของมิติ’ เก็บมันลงไปทั้งหมด จะให้กินทั้งหมดก็คงไม่ไหว มันช่างหยาบแข็งกระด้างเกินทานทานจริงๆ หลังจากเก็บคุกกี้ และยกแก้วนมซดหมดแก้วแล้ว เขาก็สั่นกระดิ่งที่ถูกเตรียมเอาไว้ สาวใช้คนเดิมก็กลับเข้ามา…

“อร่อยมั้ยคะนายน้อย?”เธอมองจานเปล่าเล็กน้อย ก่อนจะไถ่ถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน

“อื้อ! อร่อยสุดๆ เลย!”แน่นอนว่านั่นโกหก แต่จะไม่โกหกก็ไม่ได้จริงมั้ย? อเล็กซิสตอบออกไปอย่างร่าเริง โดยที่จงใจให้อีกฝ่ายเห็นคุกกี้ที่เปื้อนริมฝีปากเล็กน้อย

“ขออนุญาตนะคะนายน้อย”พอเธอเห็นคราบคุกกี้ที่เปื้อนอยู่ เธอก็โน้วตัวลงอย่างขออนุญาต พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้า เช็ดริมฝีปากให้กับเด็กชาย

“ขอบคุณนะคราริส!”เขาเอ่ยขอบคุณออกไปสำหรับความเอาใจใส่ พร้อมกับเรียกชื่อของเธอออกมาด้วย เมดสาวที่ได้ยินก็ยิ้มบางๆ

“ด้วยความยินดีค่ะนายน้อยอเล็กซิส”ก่อนจะกล่าวรับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วมีความสุข

หลังจากของว่างในมื้อสายจบลง แม้จะกินไปเพียงเล็กน้อย ความง่วงเหงาหาวนอนก็เข้ามาเล่นงานเขาในทันที หนังตาทั้งสองข้างตกลงราวกับจะหลับ ในเวลาเดียวกัน คราริสที่เห็นนายน้อยดูง่วงแล้ว ก็จัดการขออนุญาตอุ้มพาไปนอนที่โซฟาเช่นทุกครั้ง

“อื้อ…”

ท่ามกลางความง่วงจู่โจม อเล็กซิสสัมผัสได้ถึงตักนุ่มๆ ของคราริส และกลิ่นหอมพิเศษที่ชวนให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาของเด็กชายก็ได้ปิดลงอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับสติสัมปชัญญะที่ตกสู่ห้วงนิทรา ขณะที่นอนหนุนตักของเด็กสาวผู้เป็นเมดประจำตัวเอง

“หุหุหุ~หลับให้สบายนะคะนายน้อย…”

คราริสหัวเราะออกมาขณะกล่าวเสียงแผ่ว ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน และแสดงสีหน้าอันแสนดูลุ่มหลงผิดกับตอนที่เด็กชายนั้นตื่น ซึ่งดูสง่างาม และเป็นมืออาชีพ มือของเธอวางลงบนหัวของเด็กชาย บนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่แสนนุ่ม และเมื่อสัมผัสก็ยังชวนให้รู้สึกเพลินมือ…

“พี่มา-ไม่ยุติธรรมอ่า~!!!”

ประตูห้องนั่งเล่นเปิดเข้ามา แต่พอไฮเอลฟ์น้อยได้เห็นน้องชายตัวเองที่นอนไปแล้ว แถมนอนหนุนตักคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง เธอก็ได้ตะโกนออกมาอย่างเจ็บใจถึงความยุติธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า! เธอชี้ไปที่น้องชายที่นอนหนุนตักอยู่อย่างต้องการประท้วง…

“คุณหนูอลิเชีย นายน้อยนอนกลางวันอยู่นะคะ”เหมือนทุกครั้ง คราริสหลับตาขวา และเอียงคอเล็กน้อย ขณะยกมือซ้ายขึ้นมา พร้อมกับชูนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปาก

“งื้อ…ไม่ยุติธรรมเลย”อลิเชียมุ้ยหน้าลง ก่อนจะเดินวนมานั่งลงข้างน้องชาย และยกขาน้องขึ้นวางพานบนตักตัวเองแทน คราริสที่เห็นแบบนั้น ก็อยากจะหัวเราะอย่างเอ็นดู…

มันเป็นภาพที่หาดูได้ทุกวัน พี่สาวที่อยากให้น้องชายอ้อนนอนหนุนตัก แต่มักจะโดนเมดประจำตัวของน้องชายตัดหน้าไปได้ก่อนเสมอ คนเป็นพี่สาวที่คิดว่าอย่างน้อยให้ขาน้องหนุนตักตัวเองก็ยังดี ก็ทำแบบนั้นตลอด มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ชวนอบอุ่น และน่าเอ็นดูจริงๆ

“ฟุฟุฟุ…”

ไฮเอลฟ์สาวผู้มีเส้นผมสีขาวพราวเงินปอยผมออกสีฟ้าบริสุทธิ์ซึ่งแอบมองจากข้างนอกห้อง จ้องมองดูลูกสาวตัวเองก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนจะพอใจเฉกเช่นทุกวัน ก่อนจะแอบปิดประตูห้องลงอย่างเงียบๆ

ลูกสาวของเธอมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนมากนัก นับตั้งแต่วันที่สามีที่รักพาทารกน้อยผู้เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของหมู่บ้านบุกเบิกแห่งนั้นกลับมาด้วยในฐานะลูกบุญธรรม แม้ตอนแรกจะตกใจไม่น้อย แต่เด็กคนนี้ ‘อเล็กซิส’ น่ารักเรียบร้อยดีจริงๆ นั่นแหละ

กลางคืนไม่ร้องไห้ นอนก็เป็นเวลา ว่านอนก็แสนจะสอนง่ายต่างกับตอนลูกสาวเธอเกิดใหม่ๆ ลิบลับ ทำเอาช่วงแรกคิดว่าเด็กคนนี้ไม่สบายรึเปล่าจนต้องตามหมอจากเมืองหลวงมาตรวจวินิจฉัยดู ซึ่งก็ปรากฎว่าแข็งแรงดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

ถึงจะดูสงบเหมือนผู้ใหญ่ไปหน่อยก็เถอะในบางที แต่พอถูกเรียก ก็มักจะขานรับด้วยน้ำเสียงอันสดใส และรอยยิ้มอันสุดแสนไร้เดียงสาที่สามารถพัดเอาความเหนื่อยล้าจากเรื่องเจอมาทั้งวันปลิวหายไปได้เป็นปลิวลดทิ้งเสมอดีจริงๆ ที่สามีที่รักพาเด็กคนนี้กลับมาด้วย…

“เรติเชีย?”

จากทางด้านหลัง ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาล ซึ่งครอบครองนัตย์ตาสีแดงเพลิงซึ่งสวมเสื้อโค้ทยาวที่ดูราวกับเพิ่งกลับมาจากที่ไหนสักแห่ง ก็ได้เอ่ยเรียกชื่อของไฮเอลฟ์สาวตรงหน้าออกไปด้วยความคิดถึง คนถูกเรียกมีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะรีบกลับหลังหัน…

“อ๊ะ! ยินดีต้อนรับกลับ! ประชุมเป็นอย่างไรบ้าง? เหนื่อยรึเปล่า?”เรติเชียเอ่ยถามผู้เป็นสามีอย่างห่วงใย ขณะเข้าไปถอดเสื้อโค้ทที่เขาสวมอยู่ออก

“ประชุมก็เหมือนเดิม พอเห็นหน้าเธอก็ไม่เหนื่อยแล้วล่ะ…”อลันซิลตอบไฮเอลฟ์สาวผู้เป็นภรรยา ก่อนโน้วตัวลงไปหาจุ๊บริมฝีปากของเธอเบาๆ ทำเอาเจ้าตัวคนโดนจุ๊บแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย

“ปากหวานจริงนะสามีของฉัน~”หลังจากสามีถอนริมฝีปากถอยกลับไปแล้ว เธอก็อดไม่ที่จะหยิกแก้มสามีสุดที่รักอย่างหมั่นเขี้ยว

“อเล็กซ์เพิ่งนอนกลางวัน อลิเชียก็อยู่ด้วย แน่นอนคราริสเองก็ด้วย”

“ฮ่ะฮ่าฮ่า สงบสุขดีสินะ…”พอได้ยินแบบนั้น ก็รู้ในทันทีว่าทุกอย่างยังสงบสุขดี แต่ในเวลานั้นเอง สีหน้าของอลันซิลก็ฉายแววเคร่งเครียดออกมาเล็กน้อย

“…ที่ประชุมไม่เหมือนเดิมสินะคะ”เรติเชียเธอรู้ได้ทันทีจากสีหน้าของสามีที่แสดงออกมา

“เมืองรูเพิร์ลที่อยู่ทางตะวันออกของราสทาเรียถูกฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่…”

ที่มีเลเวลเฉลี่ย 100~120 เข้าโจมตีอย่างกะทันหัน แม้จะขับไล่ไปได้ แต่ความเสียหายนั้นหนักมากจนเจ้าเมืองนั้น จำเป็นต้องทิ้งเมือง และให้ความสำคัญที่สุดในการอพยพผู้คนของตน ทางราสทาเรียร้องขอ ให้นำทัพอัศวินของตระกูลเรสเนอร์เข้าช่วยกวาดล้าง เพื่อให้เมืองรูเพิร์ลกลับมาอยู่อาศัยได้

“พวกนั้นต้องการให้…กองทัพราชอาณาจักรทำอะไรอยู่กัน?”

แต่เดิมเขตปกครองเรสเนอร์ได้รับอนุญาตให้ปกครองตนอย่างอิสระเปรียบเสมือนอาณาจักรเอกราชประเทศหนึ่ง แต่จู่ๆ มาร้องขอให้สามีเธอไปเสี่ยงตายรบสู้กับสัตว์อสูรพวกนั้นที่ดูแล้วต้องเป็นอสูรที่มีความอันตรายไม่ต่ำกว่าแรงค์ A เป็นแน่

“เราปฎิเสธไปแล้วน่ะ…”

จากวันนั้น เมื่อ 3 ปีก่อน วันที่ได้พบ และได้ข่วยอเล็กซิสเอาไว้ กองทัพตระกูลเรสเนอร์ได้รับความเสียหายอย่างหลวงต่อการโจมตีในครั้งนั้น ไม่ว่าจะภาคฝ่ายทหาร อัศวิน จอมเวท นักผจญภัย หรือทหารอาสา การแตกรังในวันนั้นสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อภูมิภาคฝั่งตะวันออกของดินแดน

ถ้าไม่ได้ข้อตกลงทางการค้าแลกกับการช่วยเหลือในการปกป้องดินแดนที่ทำไว้กับจักรวรรดิปิศาจเอสตราเชีย ป่านนี้ ดินแดนเรสเนอร์คงเสียหายหนักกว่านี้ ไม่สิ อาจถึงคราวล่มสลายเลยก็เป็นได้ เพราะสัตว์อสูร มอนสเตอร์ที่แตกรังในวันนั้น มีแต่แรงค์ AA ขึ้นไปทั้งนั้น…

“พูดถึง พวกเรายังไม่ได้ตรวจอาชีพของอเล็กซ์เลย…”อลันซิลพูดขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้ หลังจากผ่านมาสามปีแล้ว นับตั้งแต่เด็กคนนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

“ลืมไปเสียสนิทเลย…”ตอนนั้นมันก็มีแต่เรื่องวุ่นๆ เธอก็ลืมเรื่องสำคัญนี้ไปเสียสนิทเลย

“แทนที่จะตรวจ ขอให้ลูกเปิดให้ดูดีกว่ามั้ย?”

แม่นยำกว่าใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ในการตรวจสอบเยอะเลย อีกอย่าง ถ้าเกิดเป็นอาชีพที่สามารถแนะนำการฝึกเบาๆ สำหรับเด็กได้ เธอก็ยินดีไม่น้อย เรติเชียแสดงความเห็นออกมาแบบนั้น ถ้าคุณลูกชายยอมน่ะนะ อลันซิลเห็นด้วยกับความคิดนั้นอย่างไม่ขัดข้อง และในระหว่างมื้อเที่ยงวันนี้นั้น

“อเล็กซ์ หลังจากนี้พ่อกับแม่ขอดูอาชีพ…สเตตัสของลูกหน่อยนะ”เพื่อเป็นแนววางแผนการศึกษาในอนาคตน่ะนะ อลันซิลซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะหันไปเอ่ยกับลูกชายเช่นนั้น พร้อมยกเหตุผลประกอบ

“ครับ! ด้วยความยินดี!”อเล็กซิสที่รู้ว่าอาชีพตัวเอง คือ ‘เกษตรกร' จึงไม่มีความคิด หรือความรู้สึกที่ว่าต้องปิดบังพ่อแม่ของตนแม้แต่น้อย ตอบออกไปอย่างเต็มใจสุดๆ

“ขอดูด้วยยย~!!!”อลิเชียที่อยากรู้เรื่องทุกอย่างของน้องชายสุดที่รัก ก็รีบกล่าวเสริมขอดูด้วยอย่างกระตือรือร้นอย่างสุดๆ

อลันซิล และเรติเชียที่ได้รู้ว่าลูกชายตัวเองยินดีที่จะให้ตรวจสอบดูสเตตัส ก็ต่างรู้สึกโล่งใจไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่เท่าที่เคยรู้เด็กส่วนใหญ่มักจะต่อต้าน ถึงจะยกเว้นลูกสาวพวกตนไว้ด้วยก็เถอะนะ เมื่อตกลงคุยกันเรียบร้อย มื้อเที่ยงวันนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอันรื่นรมย์

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 5

  • Dr.K
    ชื่อเรื่องน่าอ่านครับ:-)
    13 ก.ย 2566 เวลา 04.10 น.
  • สหายพัน
    6 /15 tab เป็นนิยาย เราต้องตั้งค่าไลน์อย่างไร ไม่ให้เจอนิยาย
    27 พ.ค. เวลา 02.35 น.
  • NUN🤔
    面白い
    20 มี.ค. เวลา 06.22 น.
  • พิพัฒน์
    大好きです
    20 มี.ค. เวลา 06.15 น.
  • 富樫 律子
    滞りなくアニメが大好きです。
    20 มี.ค. เวลา 06.14 น.
ดูทั้งหมด