โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ข่าวลือ "รัฐประหาร" และการแบ่งขั้วอำนาจในกองทัพ สมัยรัฐบาล "จอมพลสฤษดิ์"

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 28 เม.ย. 2565 เวลา 03.16 น. • เผยแพร่ 28 เม.ย. 2565 เวลา 03.16 น.
จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพล ผิณ ชุณหวัน เมื่อปี 2496 (ภาพจาก Thailand Illustrate ฉบับตุลาคม ปี 1953)

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ขึ้นมามีบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และได้มาเป็นตัวแสดงหลักทางการเมืองไทยนับแต่นั้น โดยเขาได้รัฐประหารล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีข้อครหาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2500 ว่าเป็นการเลือกตั้งสกปรกในที่สุดวันที่16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ก็ได้รัฐประหารล้มรัฐบาลจอมพล ป. ทำให้จอมพล ป. ต้องลี้ภัยไปญี่ปุ่น ทางด้าน พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เพื่อนรักเพื่อนร้ายของจอมพลสฤษดิ์ก็ลี้ภัยไปสวิตเซอร์แลนด์

หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์มีภาพลักษณ์เป็นวีรบุรุษที่จะนำประชาธิปไตยมาให้กับประชาชน หลังจากผ่านยุคสมัยที่ยาวนานและการโกงเลือกตั้งของจอมพล ป. มา ทั้งยังไม่รับอำนาจไว้เอง โดยแต่งตั้งให้นายพจน์สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรี สาเหตุที่จอมพลสฤษดิ์ไม่รับตำแหน่งเอง อิทธิเดช พระเพ็ชร มองว่ามาจากเหตุผลสำคัญ 2 ประการ คือ 1. จอมพลสฤษดิ์ มีภาพลักษณ์เป็นทหารผู้ขับไล่เผด็จการทหาร หากเข้าไปรับตำแหน่งเองอาจเกิดข้อครหา 2. รัฐบาลพลเรือนจะสามารถได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากกว่ารัฐบาลทหารด้วยภาพลักษณ์ของประชาธิปไตย

อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้จอมพลสฤษดิ์ไม่ได้รับตำแหน่งนายกฯ ด้วยตนเอง น่าจะเป็นเพราะปัญหาสุขภาพ ซึ่งเขามีปัญหาเกี่ยวกับตับและม้ามทำให้อาจเป็นปัญหาในการทำงานบางอย่างได้ แต่ในข้อเท็จจริงแล้วการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ผลักดันให้กองทัพเข้ามาเป็น“หุ้นส่วนใหญ่ทางอำนาจ” และมีบทบาทในการจัดสรรอำนาจให้กับกลุ่มการเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการและทหาร จอมพลสฤษดิ์พยายามเข้าสู่วงการการเมืองที่ชอบธรรม โดยมีการตั้งพรรคชาติสังคม (National Socialist Party) ซึ่งเป็นการรวมสมาชิกพรรคสหภูมิและพรรคเสรีมนังคศิลา (พรรคเก่าของจอมพล ป.)ทว่าสมาชิกจากทั้งสองพรรคกลับไม่ลงรอยกันนัก เพราะพรรคมนังคศิลาเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับจอมพล ป.

หลังการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2500 นายพจน์สารสินพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ขึ้นมาเป็นนายกฯ ในวันที่1 มกราคม พ.ศ. 2501 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งภายในพรรคชาติสังคม และอาการป่วยของจอมพลสฤษดิ์ยังหนักอยู่ จนต้องไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลวอลเตอร์ รีด (Walter Reed) ในสหรัฐฯ ดังนั้น ในวันที่23 มกราคม พ.ศ. 2501 สิ่งที่จอมพลถนอมต้องพบเจอหลังจากการไปรักษาตัวของจอมพลสฤษดิ์ คือ รัฐบาลที่มีความอ่อนแอจากทั้งความขัดแย้งภายในพรรค โดยมีการลาออกของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และการลาออกของสมาชิกพรรคสหภูมิ26 คน ส่งผลให้การออกเสียงในสภาฯ มีปัญหา ทั้งยังโดนโจมตีจากฝ่ายค้านอีก

แม้ว่าจอมพลสฤษดิ์จะมีอำนาจในกองทัพมากจนสามารถขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองได้ในฐานะหุ้นส่วนทางอำนาจใหญ่ แต่ภายในกองทัพเองก็ไม่ได้เป็นเอกภาพมากนัก จากความอ่อนแอของรัฐบาลจอมพลถนอมและอาการป่วยของจอมพลสฤษดิ์ จนทำให้เกิดข่าวลือว่าคนในกองทัพจะก่อรัฐประหารอยู่บ่อยครั้งจากทหารหลายกลุ่ม

กลุ่ม พล.ท. ประภาส จารุสเถียร

กลุ่มที่จอมพลสฤษดิ์หวาดระแวงมากที่สุดคือ พล.ท. ประภาส จารุเสถียร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังจากจอมพลสฤษดิ์เดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐฯ พล.ท. ประภาส ก็มีอำนาจมากขึ้นท่ามกลางความสั่นคลอนของรัฐบาลจอมพลถนอม ซีไอเอ. ยังวิเคราะห์ว่า จอมพลสฤษดิ์มีความกังวลเกี่ยวกับข่าวลือการรัฐประหารท่ามกลางความแตกแยกของรัฐบาลจอมพลถนอมและกองทัพ เช่น ฝ่ายค้าน, ผู้ที่สับสนุนจอมพล ป., นายทหารชั้นผู้ใหญ่อื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล แต่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เข้มแข็งพอที่จะก่อการรัฐประหารได้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะต้องร่วมกับกลุ่ม พล.ท. ประภาส

หากพิจารณาการรวมกลุ่มของฝ่ายค้านและกลุ่ม พล.ท. ประภาส (หากเป็นจริง) จะไม่เพียงเป็นการบรรลุความต้องการของฝ่ายต่อต้านจอมพลสฤษดิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มอำนาจทางกองทัพและการเมืองให้กับ พล.ท. ประภาส ด้วย จากข่าวลือที่หนาหูดังกล่าวทำให้จอมพลสฤษดิ์เดินทางกลับไทยในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2501 และเรียกจอมพลประภาสเข้าพบทันที

จากความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลจอมพลถนอม จอมพลสฤษดิ์จึงทำการรัฐประหารที่เรียกว่าปฏิวัติ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 และพาไทยเข้าสู่ระบอบเผด็จการอย่างชัดเจน แม้ว่าหลังการรัฐประหารครั้งนี้จอมพลสฤษดิ์จะสามารถรวมอำนาจได้มากขึ้น มีการลดบทบาท พล.ท. ประภาส ลงได้ แต่กระแสข่าวรัฐประหารก็ยังไม่หมดไป

กลุ่ม พล.ต. กฤษณ์ สีวะรา

ในช่วง พ.ศ. 2502 ทหารหลายกลุ่มเริ่มไม่พอใจการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ ที่ตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหม เพื่อไปเพิ่มงบให้กับหน่วยงานพลเรือนในการทำแผนพัฒนาต่าง ๆ โดยกลุ่มหนึ่งที่มีข่าวว่าอาจมีท่าทีที่จะรัฐประหารจอมพลสฤษดิ์คือ พล.ต. กฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ผู้คุมกำลังหลักในกรุงเทพฯ พล.ต. กฤษณ์ ได้แจ้งกับทูตทหารของสหรัฐฯ ในกรุงเทพว่าสถานการณ์ทางการเมืองย่ำแย่ลงตั้งแต่ต้นสิงหาคม สมาชิกภายในกองทัพบางคนกำลังปรึกษากันอย่างจริงจังเกี่ยวกับการยับยั้งจอมพลสฤษดิ์ พล.ต. กฤษณ์ บอกว่าจะทำการ‘บางอย่าง’ใน ‘อนาคตอันใกล้’ เพื่อพาประเทศไทยจาก ‘การปฏิบัติการของจอมพลสฤษดิ์'”ซึ่งมีการคาดกันว่าหากเกิดรัฐประหารล้มรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ก็มีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มทหารอาจนำจอมพล ป. กลับมาปกครอง

จอมพลสฤษดิ์ไม่ไว้วางใจ พล.ต. กฤษณ์ นัก เพราะมีข้อมูลบางกระแสว่า พล.ต. กฤษณ์ มีความโน้มเอียงไปทาง พล.ต.อ. เผ่า มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าการที่ พล.ต. กฤษณ์ ดำรงตำแหน่งนี้ เป็นเพราะจอมพลสฤษดิ์เองต้องการจัดให้ พล.ต. กฤษณ์ อยู่ในฐานะที่ถูกจอมพลสฤษดิ์ควบคุมได้ เพื่อป้องกันการรัฐประหาร หลังจากเหตุการณ์เริ่มคลี่คลายลง พล.ต. กฤษณ์ ก็ได้ถูกแต่งตั้งและเลื่อนยศให้เป็นให้เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ประจำภาคอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ปัญหาและการจัดสรรอำนาจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อการสร้างความพอใจและความไว้วางใจ เพื่อรักษาฐานอำนาจหลักของตัวจอมพลสฤษดิ์เอง

นอกจากนี้ยังมีแผนการรัฐประหารอื่น ๆ อีก เช่น แผนการของหลวงวิจิตรวาทการ, พล.อ.อ. บุญชู จันทรุเษกษา, พล.อ.อ. เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร, สงวน จันทรสาขา, พงษ์สวัสดิ์ สุริโยทัย, นายสุนทร หงส์ลดารมย์ และถนัด คอมันตร์ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร เดือนตุลาคม พ.ศ. 2501

ข่าวลือและแผนการรัฐประหารเหล่านี้เป็นสิ่งสะท้อนความมีอำนาจมากของกองทัพในช่วง พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา แต่อำนาจที่มีมากก็แลกมากับความแตกแยกจากการแย่งชิงอำนาจภายในกองทัพ ซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจในการปกครอง แม้จะมีข่าวลือมากมาย สุดท้ายรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ก็มีความแข็งแกร่งและดำรงฐานะอย่างมั่นคงจนกระทั่งจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506

การที่รัฐบาลนี้มีอายุเกือบ 5 ปี ท่ามกลางกระแสการรัฐประหารและการแย่งชิงอำนาจในกองทัพมากมาย ยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถของจอมพลสฤษดิ์ในการแก้ปัญหาการแย่งชิงอำนาจในกองทัพ เช่น มีการเก็บ พล.ต. กฤษณ์ ไว้ในสายตายเพื่อควบคุม เช่นเดียวกับ พล.ท. ประภาส ที่แม้ว่าจะโดนลดอำนาจไปบ้าง แต่ทั้งสองรายก็ไม่ได้ตัดหางให้หมดอนาคต

ภายหลังจากยุคจอมพลสฤษดิ์ ทั้ง พล.ท. ประภาส (ภายหลังได้ยศจอมพล) และ พล.ต. กฤษณ์ (ภายหลังได้ยศพลเอก) จะมีบทบาทมาเป็นตัวแสดงหลักทางการเมืองไทย โดยจอมพลประภาสจะมีบทบาทมากช่วงก่อน 14 ตุลาฯ และ พล.อ.กฤษณ์ จะมีบทบาทมากหลัง 14 ตุลาฯ

อ่านเพิ่มเติม :

อ้างอิง :

CIA. Freedom of Information act. Central Intelligence bulletin. “Thai Political Situation.” CIA- RDP79T00975A003800050001-4. June 25, 1958.

CIA. Freedom of Information act. Central Intelligence bulletin. “Discontent Reported Increasing ruling Thai Military Group.,” C02989917. August 31, 1959.

กุลดา เกษบุญชู มี้ด. “การเมืองไทยในยุคสฤษดิ์-ถนอม ภายใต้โครงสร้างอำนาจโลก.” ม.ป.ท.: รายงานการ วิจัย, 2550.

ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองพ่อขุนอุปถัมป์แบบเผด็จการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: มูลนิธิตำราสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์, 2561.

พระเพชร อิทธิเดช. “ปฏิมากรรมน้ำแข็ง: จาก “ขวัญใจ” สู่ “ตัวร้าย” ภาพสัญลักษณ์ทางการเมืองของจอม พล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อนการปฏิวัติ 20 ตุลาฯ.” ศิลปวัฒนธรรมที่ 43. ฉบับที่ 1. พฤศจิกายน , 2564.

อาสา คำภา. “ความเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายชนชั้นนำไทย.” วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียใหม่, 2562.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 เมษายน 2565

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...