โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

ฉีกหน้ากาก 'มณฑลไท่กั๋ว' เมื่อประชาชนคิดว่าเมืองไทยถูกขายให้จีน(เทา)แล้ว

The Better

อัพเดต 28 ก.ค. 2567 เวลา 08.57 น. • เผยแพร่ 26 ก.ค. 2567 เวลา 05.00 น. • THE BETTER

สำหรับคนที่ยังไม่ทราบ คำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' เป็นคำที่คนไทยคิดกันขึ้นมาเองเพื่อแดกดัน (หรือเบาๆ ก็คือล้อเลียน) ประเทศของตัวเองว่าเป็นเหมือนมณฑลหนึ่งของจีนไทยแล้ว

คำๆ นี้ใช้กันบ่อยและนานระยะหนึ่งแล้ว แต่ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังมีคนอ่านผิด ใช้ผิด และเข้าใจผิด เช่นพิธีกรของรายการทีวีช่องรายหนึ่งมั่วเอาเองว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' เป็นคำที่คนจีนเอาไว้เรียกประเทศไทยในฐานะเป็นแค่มณฑลหนึ่งของจีน

โปรดทราบว่าไม่มีคนจีนคนไหนที่ใช้ไทยคำจีนคำแบบนี้ (มณฑลคือคำไทย และไท่กั๋วคือคำจีน) และควรรู้ไว้ด้วยว่า รัฐบาลจีนเปราะบางในเรื่องรักษาสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่น หากชาวเน็ตจีนโจมตีประเทศอื่นแบบล้ำเส้น เช่น อ้างว่าไทยเป็นมณฑลหนึ่งของจีน ยูสเซอร์นั้นจะโดนเล่นงานแน่นอน

ความเข้าใจผิดของบางคนเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ภาษาจีน คำว่า 'มณฑล' ในภาษาไทยใช้เรียกเขตการปกครองที่ใหญ่ทื่สุดของจีนที่เรียกว่า 'เสิ่ง' (省 หรือบางคนออกเสียงว่า เฌิ่ง) คำๆ นี้แปลเป็นอังกฤษว่า Province แต่ไทยเราไม่แปลตามว่า 'จังหวัด' ทั้งๆ ที่คำเดียวกันนี้ไทยใช้ในความหมายนั้น สาเหตุเพราะ 'เสิ่ง' มีขนาดใหญ่กว่าจังหวัดมาก แต่ละเสิ่งก็มีเขตปกครองยิบย่อยที่ใหญ่กว่าจังหวัดต่างๆ ของไทยด้วยซ้ำ

'เสิ่ง' จึงคล้ายกับ 'ภาค' ต่างของไทย และภาคต่างๆ ของไทยนั้นแต่เดิมไม่มี สมัยที่ไทยปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาลนั้นภาคเรียกว่า 'มณฑล' และในแต่มณฑลปรพกอบด้วย 'เมือง' ก็คือจังหวัดในปัจจุบันของไทย

ส่วนคำว่า 'ไท่กั๋ว' (泰国) เป็นคำจีนหมายถึงประเทศไทย ประกอบด้วยคำว่า ไท่ (泰) หมายถึง "ความมั่นคง ความมั่งคั่ง สันติสุข ฯลฯ" ล้วนแต่มีความหมายที่ดี แต่คำนี้ยังเป็นคำพ้องเสียงที่กำหนดความหมายถึงประเทศไทยด้วย ส่วนคำว่า กั๋ว (国) แปลว่าประเทศ

จบความรู้รอบตัวเรื่องการปกครองระบอบมณฑลและเมืองไทยในภาษาจีนแต่เพียงเท่านั้น

ดังนั้น หากคนที่อ้างว่าคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' มาจากหัวคิดของคนจีนเอาไว้ดูถูกประเทศไทย โปรดทราบว่า ถ้าเขาจะเรียกไทยว่าเป็นมณฑลหนึ่งของจีน ควรจะเรียกว่า ไท่เสิ่ง (泰省) หรือมณฑลไทย เรียกแบบนี้มันสะใจกว่าอีก

มีแต่คนไทยเท่านั้นที่ชอบเล่นคำจำพวก 'มณฑลไท่กั๋ว' เพื่อเอาไว้ยั่วล้อประเทศตัวเอง

'มณฑลไท่กั๋ว' สะท้อนถึงความไม่พอใจของคนไทยต่อการเข้ามาลงหลักปักฐานทั้งถาวรและชั่วคราวของคนจีนในไทย เช่น แถวๆ เขตห้วยขวางตรงถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ มีย่าน 'ไชน่าทาวน์ใหม่' ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า และที่อยู่ของพวก 'จีนใหม่' อยู่เต็มไปหมด

'จีนใหม่' พวกนี้ผมหมายถึงพวกที่มาจากแผ่นดินใหญ่เป็นหลัก พูดผู่ทงฮั่วหรือภาษาจีนกลาง และไม่มีขนบประเพณีอะไรซับซ้อนเพราะโตมาในระบอบสังคมนิยม ไม่เหมือนกับพวก 'จีนเก่า' ที่พูดหมิ่นหนานและเยว่ (ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง แต้จิ๋ว ฯลฯ) และถือธรรมเนียมเคร่งครัดกว่าเพราะอยู่ในสังคมจารีตโบราณ

'จีนเก่า' ก็คือจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยตั้งสองสามร้อยปีก่อน แต่เพิ่งจะถูกกลืนเป็นคนไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่เอง แต่ก่อนนั้นพวก 'จีนเก่า' ก็เจอปัญหาการต่อต้านจากเจ้าถิ่นเดิมเหมือนกับ 'จีนใหม่' นี่แหละ

ประเทศไทยมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ มักจะมีประชากรไม่พอที่จะขับเคลื่อนประเทศ จึงต้องรับผู้อพยพเข้ามาไม่ขาดสาย ในยุคศักดินา เราใช้วิธีการไปตีบ้านเมืองอื่นแล้วกวาดต้อนผู้คนมาเป็นแรงงานสร้างประเทศ เช่น ใช้แรงงานลาวเวียงเพื่อขุดคลองแสนแสบ

ต่อมาในช่วงต้นยุคทุนนิยม เราต้องเริ่งผลิตข้าวป้อนตลาดโลกจึงต้องการแรงงานมากเพื่อทำการขยายที่น่า นำไปสู่การขุดคลองรังสิต เราก็ใช้แรงงานจีนที่สั่งเข้ามากมายมหาศาลช่วยขุดคลอง และทำการผลิตทางการเกษตรขนาดใหญ่ ในเวลาเดียวกัน พวกจีนรุ่นเดิมที่อยู่ในไทยมานานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำไปแล้ว ก็ถูกราชสำนัก/รัฐบาลใช้งานเป็นผู้เก็บภาษีกุลีจีน ส่วนหนึ่งเป็นไปเจ้าของโรงสี เป็นเจ้าของการคมนคมขนส่งต่างๆ

ด้วยเหตุนี้ 'จีนเก่า' จึงเต็มประเทศไทยไปหมด ทั้งที่เป็นแรงงานและที่เป็นเถ้าแก่ และมีทั้งนายทุนสีขาวที่รับใช้รัฐบาล และนายทุนสีเทาที่กินกินกับอบายมุขและส่งเงินสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดิน

นี่คือสถานการณ์ยุคของ 'จีนเก่า' ซึ่งประชากรคนจีนในสยามตอนนั้นมีกว่า 2 ล้าน เทียบกับประชากรคนไทย 6 ล้านกว่าคน เรียกได้ว่าพวกจีนมีมากถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว จะเห็นได้ว่า หากคนที่แซะประเทศไทยว่าเป็น 'มณฑลไท่กั๋ว' ไปอยู่ในยุคนั้น คงจะต้องอกแตกตายเป็นแน่

สถานการณ์แบบนี้อย่าว่าจะเป็น 'มณฑลไท่กั๋ว' เลย นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น 'มณฑลกวางตุ้งน้อย' ก็ยังได้ เพราะแรงงงานและทุนจีนในสยามมักจะมาจากมณฑลนั้น

แน่นอนว่า รัฐบาลสยาม/ไทย กังวลเหมือนกันว่าไทยจะกลายเป็นจีนสาขาสอง จึงใช้มาตรการต่างๆ เพื่อ 'หลอมรวม' คนจีนเก่าให้กลายเป็นคนไทยเสีย หากคนพวกนี้ไม่ยอมทำตัวให้เป็นคนไทย ก็ใช้กฎหมายบีบให้ออกไปจากประเทศเสีย ปรากฏว่าคนจีนเก่าที่อยากจะอยู่ไทยมีมากกว่า และทำให้ปัจจุบันไทยมีคนเชื้อสายจีนมากที่สุดในโลก และทำให้ไทยรอดจากการเป็น 'มณฑลกวางตุ้งน้อย' มาได้

การหลอมละลายคนจีนให้เป็นไทยประสบความสำเร็จยอดเยี่ยม จนไม่ไทยไม่มีเขตพิเศษสำหรับคนจีนเหมือนประเทศอื่น ที่เรียกกันว่า 'ไชน่าทาวน์' ซึ่งในโลกตะวันตกมันคือเขตกักคนจีนไม่ให้ปะปนกับฝรั่งนั่นเอง แต่ในไทยไม่เคยมี คำว่า 'ไชน่าทาวน์' ที่ใช้เรียกเยาวราชนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ไม่นานมานี้ เพื่อหากินกับการท่องเที่ยว

กลับไปที่ปัญหาของพวก 'จีนใหม่' ที่ทำให้เกิดคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว'

'มณฑลไท่กั๋ว' ตอนแรกใช้เรียกถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ ในเขตห้วยขวาง ซึ่งตอนแรกๆ ก็เรียกกันน่ารักน่าเอ็นดูว่า 'ไชน่าทาวน์ใหม่' เพราะคนไทยยังไม่ค่อยมีอาการ Sinophobia (เกลียดกลัวจีน) กันมากนัก และหมายความคนไทยยังมีพื้นที่ให้กับการหลอมรวมจีนใหม่อยู่

แต่ความรู้สึกของไคนไทยเปลี่ยนไปหลังการเข้ามาของ 'จีนเทา' คือพวก 'จีนใหม่' ที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น ธุรกิจฉ้อโกงทางอิเล็กทรอนิกส์ การค้ามนุษย์ เข้ามาฟอกเงินผิดกฎหมาย และเข้ามาซื้อที่ดินและธุรกิจของคนไทยโดยอาศัยนอมินี และข้าหน้าที่รัฐจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้เลย

การเข้ามาของจีนเทาเกิดขึ้นพร้อมๆ กับ 'สงครามเย็นครั้งใหม่' ซึ่งจีนกลายเป็นคู่กรณีของชาติตะวันตก ในสงครามนี้มีการทำสงครามย่อยคือ สงครามทางจิตวิทยาที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูน่ากลัวและไม่น่าพิสมัย หรือการทำ Vilification เช่น จีนถูกกล่าวหาว่าเข้าไปลงทุนกอบโกยทรัพยากรประเทศอื่น (ประเทศตะวันตกไม่ทำหรือ?) จีนถูกกล่าวหาว่าปล่อยเงินกู้ให้ประเทศยากจนเพื่อให้ติดกับดักหนี้ (ประเทศตะวันตกใช้วิธีปล่อยหนี้ดอกสูงให้ประเทศต่างๆ ติดกับดักมาก่อน และปัจจุบันยังเป็นเจ้าหนี้ที่ใหญ่กว่าจีนหลายเท่า)

ล่าสุด คือการปล่อยข่าวว่าจีนกำลังปล่อยสินค้าเข้ายึดตลาดประเทศอื่น ในไทยก็เริ่มเกิดความรู้สึกที่ว่านี้มากขึ้น จนกระทั่งอาการ Sinophobia คือการเกลียดจีนเริ่มที่จะฝังจิต จนไม่แยกว่านี่เป็นจีนเทา หรือว่านั่นเป็นทุนจีนที่ควรต้อนรับ

ดังนั้น ในแง่หนึ่งคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' จึงสามารถโยงเข้ากับกระแสต่อต้านจีนได้ด้วย เช่นเดียวกับคำว่า Londonistan (ลอนดอนกลายเป็นเมืองแขก) และ Eurabia (ยุโรปกลายเป็นของพวกอาหรับ) เป็นคำล้อว่าดินแดนของฝรั่งกำลังถูกพวกมุสลิมครองผ่านการอพยพ คำพวกนี้เป็นการ Vilification ผู้อพยพจากประเทศมุสลิม และเป็นการทำให้เกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ซึ่งถูกนำไปปั่นเป็นประเด็นการเมืองโดยฝ่ายการเมืองในยุโรป เช่นเดียวกัน ผมก็สงสัยว่า การทำให้เกลัวคนจีนส่วนหนึ่งก็มาจากการปั่นของ 'ฝ่ายการเมือง' เช่นกัน

ปัญหานี้ผมจะพูดต่อไปในอนาคต แต่วันนี้เราจะพูดถึงตัวการที่ทำให้เกิดคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' กันก่อน

แม้ว่าผมจะเอ่ยถึงพวกจีนเทาว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่า "ประเทศของเราถูกขายให้จีน (เทา) ไปแล้ว" แต่ตัวการจริงๆ คือพวกผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านเมืองนี้ต่างหาก

'ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่' มีทั้งพวกใส่สูทและพวกใส่เครื่องแบบ พวกนี้นี่แหละที่คอยเอื้อให้พวกจีนเทาหาประโยชน์จากไทย เช่น ให้สัญชาติไทยกันง่ายๆ (กรณีตู้หาวและพวก) ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่คอยอุ้มมันจะได้สัญชาติไทยกันหรือ? หรือกรณีที่เจ้าหน้าที่พบสายสัญญาณโทรคมนาคมที่ชายไทย-เมียนมา และชายแดนไทย-กัมพูชา ไปจนถึงสายไฟฟ้า เสาสัญญาณที่หันออกนอกประเทศ ฯลฯ ของพวกนี้เป็นเครื่องมือช่วยหากินให้กับพวกจีนเทาที่อยู่ตามชายแดนไทยทั้งนั้น พอพวกนี้ถูกจีนไล่บี้ทั้งเมียนมาและในกัมพูชาและลาว ก็หนีเข้ามาอยู่ในไทย บางคนไทยจับตัวได้แลวก็ยังกั๊กไว้ไม่ส่งให้รัฐบาลจีน

การที่ 'ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่' ในไทยประเคนให้พวกจีนเทาแบบนี้ ทั้งๆ ที่พวกนี้หากินบนความทุกข์ของคนไทยและย่ำยีศักดิ์ศรีคนไทย ควรหรือไม่ที่เรียกคนพวกนี้ว่า 'คนขายชาติ'?

บางกรณีแม้ว่าท่านจะบอกว่าไม่ผิด เช่น การขึ้นป้ายใหญ่โตที่ห้วยขวางประกาศขายสัญชาติเป็นภาษาจีน จนประชาชนทนภาพบาดตาไม่ไหว แม้จะไม่ผิดกฎหมายแต่มันเป้นเรื่องสีเทา และท่านไม่คิดในแง่การถนอมน้ำใจคนไทยด้วยกันเลยหรือ? ถึงปล่อยให้คนจีนเทาๆ ทำอะไรเทาๆ แบบนี้ใน้บ้านของเราได้

และคนพวกนี้นี่แหละที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่าบ้านเมืองของเราถูกขายให้กับพวกจีน (เทา) ไปแล้ว ที่ดินก็มีพวกคนไทยใจศัตรูเป็นนอมินีขายให้ต่างชาติ สัญชาติไทยก็ซื้อหากันง่ายๆ โดยพวกข้ารัฐการที่ใจเป็นทาสคนนอกรัฐ

ในขณะเดียวกัน จีนขาวๆ ที่อยากจะมาลงทุนในไทยก็พลอยถูกรังเกียจไปด้วย เมื่อกระแส Sinophobia มันแรงขึ้นมา ทุนจีนที่ถูกกฎหมายและเป็นคุณต่อประเทศไทยก็จะถอนตัวไป เช่น อุตวาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึนักท่องเที่ยวจากจีน ที่ไทยเรากำลังต้องการแรงผลักดันส่วนนี้อย่างมาก เพราะเศรษฐกิจไทยนั้น "ฉิบหายเสียแล้ว"

ดังนั้น ถ้ากระแส Sinophobia มันไม่แยกแยะขึ้นมา (ปกติความกลัวแบบนี้มักจะไม่ค่อยแยกแยะอยู่แล้ว) มันจะกระทบประเทศในอีกแง่มุมหนึ่ง เช่น การพยายามดึงทุนจีนเข้ามาหนุนเศรษฐกิจเริ่มถูกมองว่าเป็นการขายชาติ

ความรู้สึกของคนไทยต่อประเทศตัวเองตอนนี้จึงอารมณ์แบบ 'มณฑลไท่กั๋ว' คือประเทศไทยกำลังถูกขายเป็นมณฑลหนึ่งให้กับพวกจีน (เทา) และใครล่ะที่ขายให้พวกนั้น ก็คือคนไทยด้วยกันเองทั้งสิ้น

บอกตามตรงว่า ผมไม่ชอบคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' สักเท่าไร มันให้ความรู้สึกเหมือนด้อยค่าประเทศตัวเอง

แต่ถ้ามองให้ลึกๆ เราจะพบว่าคำๆ นี้สะท้อนความไม่พอใจของคนไทยต่อผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่นอกจากจะไม่กำหนดอนาคตประเทศชาติแล้ว ยังขายอนาคตชาติให้กับพวกนอกรัฐเสียอีก

ย้ำอีกครั้งว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีคนไทยขายชาติคอยช่วยให้มันเกิดขึ้นมา

เหมือนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก ก็เพราะพระยาจักรีทรยศบ้านเมืองคอยเปิดประตูให้ศัตรูเข้ามาชิงกรุงนั่นเอง

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ และบรรณาธิการ The Better

Photo - คนขับรถตุ๊กตุ๊กดูขณะที่ผู้หญิงถ่ายรูปที่ล้ง 1919 คฤหาสน์จีนสมัยศตวรรษที่ 19 ที่ได้รับการบูรณะใหม่ ในวันแรกของเทศกาลตรุษจีนที่กรุงเทพฯ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 Photo by AFP / Lillian SUWANRUMPHA

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...