ปักธงดาวรุ่ง "เวลเนสทัวริซึ่ม" ชี้โอกาสทองไทย แซงหน้า "หมอ"
“พิชชาพร ธนาพงศธร” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิค และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เผยในงาน SPLASH-Soft Power Forum 2025 ชี้ ททท.มองเกมขาด ชู “เวลเนสทัวริซึ่ม” เป็นขุมทรัพย์ใหม่ เล็งดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เน้นย้ำจุดแข็งไทยรอบด้าน พร้อมเตือน “ทัวร์ปริมาณ” ไม่ยั่งยืน หวั่นเสียโอกาสทอง หากไม่เร่งเครื่องพัฒนา
แพทย์หญิงพิชชาพร ธนาพงศธร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิค และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าวในงาน SPLASH-Soft Power Forum 2025 ในช่วง Wellness Tourism เตรียมพร้อมประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลกว่า ท่ามกลางการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เล็งเห็นศักยภาพอันมหาศาลของ “เวลเนสทัวริซึ่ม” (Wellness Tourism) หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงกว่าการท่องเที่ยวเพื่อการรักษาพยาบาล (Medical Tourism) ถึง 3-4 เท่า ชี้เป็นโอกาสทองของประเทศไทยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง สร้างรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของ Soft Power ในการสร้างจุดขายที่แตกต่างระดับโลก
เวลเนสทัวริซึ่ม : นิยามใหม่ของการเดินทางที่มีจุดประสงค์
สำหรับคำนิยามของ “เวลเนสทัวริซึ่ม” ว่าเป็นการเดินทางที่มีจุดประสงค์เพื่อ “ยกระดับสุขภาพให้ดีขึ้น” (Enhance) แตกต่างจากการท่องเที่ยวแบบพักผ่อนหย่อนใจ (Leisure Tourism) ที่เน้นความสนุกสนาน และ Medical Tourism ที่มุ่งเน้นการ “ซ่อมแซมร่างกาย” เมื่อเจ็บป่วย เวลเนสทัวริซึ่ม คือการลงทุนเพื่อดูแลสุขภาพเชิงรุก ทั้งร่างกายและจิตใจ ให้กลับไปมีความสุขกว่าเดิม ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่เราคุ้นเคยกับ “ทัวร์ 678” (ตื่น 6 โมง กิน 7 โมง ออกเดินทาง 8 โมง) ที่เน้นการเที่ยวแบบเร่งรีบ ช็อปปิ้ง และมักละเลยการดูแลสุขภาพในระหว่างเดินทาง ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและไม่ยั่งยืน
ทำไม “เวลเนสทัวริซึ่ม” จึงเป็นโอกาสที่ต้องคว้าไว้ ?
- เมกะเทรนด์โลก : การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) ที่ประชากรกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงและต้องการดูแลสุขภาพให้ยืนยาว รวมถึงปัญหาความเครียดและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ที่เพิ่มขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ผู้คนมองหาบริการด้านเวลเนส
- ไทยติด Top 15 โลก : ผลวิจัยจาก Global Wellness Institute (GWI) ระบุว่า “เวลเนสทัวริซึ่ม” เป็นสิ่งเดียวของประเทศไทยที่ติด 1 ใน 15 ของโลก และเป็นสาขาที่มีการเติบโตสูงมาก ปัจจุบันมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเกือบ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราการเติบโตสูงถึง 20% เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ทั่วโลก ก่อนโควิด-19 ไทยเคยติดอันดับ 7 และเชื่อมั่นว่าหากร่วมมือกัน จะกลับไปติด Top 5 ของโลกได้ไม่ยาก
- เหนือกว่า Medical Tourism : แม้ไทยจะเป็น Medical Hub ที่มีชื่อเสียง แต่ “เวลเนสทัวริซึ่ม” มีมูลค่าสูงกว่า Medical Tourism ถึง 3-4 เท่า บ่งชี้ถึงโอกาส “น้ำขึ้น” ที่ต้องเร่งคว้า
- ป้องกัน “ตกขบวน” : หากไม่เร่งพัฒนา อาจพลาดโอกาสครั้งสำคัญ การท่องเที่ยวเชิงปริมาณ (Volume Tourism) ที่เน้นคนมาเยอะ ๆ อาจไม่ยั่งยืน ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างรายได้กระจุกตัวแค่บางกลุ่ม “เวลเนสทัวริซึ่ม” จะช่วยกระจายรายได้สู่ทั้งระบบ ตั้งแต่ฟาร์ม ผู้ผลิต ไปจนถึงบริการต่าง ๆ ในแต่ละจังหวัด
จุดแข็งของประเทศไทยกับการพัฒนาเวลเนสทัวริซึ่ม : ประเทศไทยมีต้นทุนที่ดีเยี่ยมที่สามารถนำมาต่อยอดสู่การเป็นจุดหมายปลายทางเวลเนสระดับโลก
- ธรรมชาติที่สวยงาม : ภูเขา แม่น้ำ บ่อน้ำพุร้อน และทะเลอันดามันที่ขึ้นชื่อ
- อาหารไทย : รสชาติเป็นเอกลักษณ์และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- การบริการ (Thai Hospitality) : ความอ่อนโยน ใส่ใจ และรอยยิ้มที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัว
- ภูมิปัญญาไทยดั้งเดิม : การนวดแผนไทย สมุนไพรไทย และศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สามารถนำมาผสมผสานได้อย่างลงตัว
- การแพทย์ที่ได้มาตรฐาน : ความเป็น Medical Hub ในภูมิภาคเอเชีย สร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยและการดูแลสุขภาพ
มิติของ Wellness Spectrum : ผสานความแตกต่าง สร้างจุดขาย
การพัฒนาเวลเนสทัวริซึ่ม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสร้างโรงแรมใหม่ แต่คือการปรับมุมมองและการ “เบลนด์” หรือบูรณาการบริการด้านเวลเนสต่าง ๆ เข้ากับธุรกิจที่มีอยู่ เพื่อสร้าง Unique Selling Point (USP) เช่น โรงแรมที่มีอยู่แล้วสามารถเพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกาย กลิ่นที่เหมาะสม หรือการจัดห้องนอนเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นได้
BDMS แบ่ง Wellness ออกเป็น 3 รูปแบบ :
- Medical Wellness : การดูแลสุขภาพโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ มีการตรวจประเมินก่อนและหลัง เพื่อวัดผลการดูแลสุขภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม
- Lifestyle Wellness : การดูแลสุขภาพที่ผสมผสานผลการตรวจสุขภาพเข้ากับการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การฝึกกล้ามเนื้อเพื่อการวิ่ง การเลือกรับประทานอาหาร
- Leisure Wellness : การดูแลสุขภาพในระหว่างการพักผ่อน เช่น การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการนอนหลับที่ดี กิจกรรมผ่อนคลายที่ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ
ตลาดเวลเนสทัวริซึ่มแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก :
- Primary Wellness (ประมาณ 10% ของตลาด) : กลุ่มที่มาเที่ยวโดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพเฉพาะเจาะจง เช่น ต้องการนอนหลับดีขึ้น ลดน้ำหนัก หรือดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน กลุ่มนี้พร้อมลงทุนเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง และมี Spending Per Head สูงกว่า Secondary Wellness ถึง 3 เท่า
- Secondary Wellness (ประมาณ 90% ของตลาด) : กลุ่มที่มาเพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นหลัก และมีการเพิ่มกิจกรรมด้านเวลเนสเข้าไปบางส่วน เช่น แวะนวด หรือเข้าคลาสทำอาหารสุขภาพ
แม้ปัจจุบันกลุ่ม Secondary Wellness จะมีขนาดใหญ่กว่า แต่กลุ่ม Primary Wellness คือเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ที่จะช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เพราะกลุ่มนี้มักจะกลับมาซ้ำ และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจาก Secondary เป็น Primary ในการเดินทางครั้งต่อไป
การพัฒนา “เวลเนสทัวริซึ่ม” จึงไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของการท่องเที่ยวไทย ที่จะช่วยสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และตอกย้ำตำแหน่งของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพระดับโลกอย่างแท้จริง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปักธงดาวรุ่ง “เวลเนสทัวริซึ่ม” ชี้โอกาสทองไทย แซงหน้า “หมอ”
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net