NEO ถัวหรือถอย? จากต้นปีดิ่งแล้ว 24% โบรกฯ แนะทั้ง “ถือ” และ “Neutral” มองต้นทุนวัตถุดิบกดดันผลประกอบการ
ราคาหุ้น บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน โดยวันที่ 11 ก.ค. 68 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 24.60 บาท ลดลง 5.38% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 39.52 ล้านบาm อย่างไรก็ตาม หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 23.72% จากระดับ 32.25 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68
โดยคาดว่าปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น มาจากต้นทุนวัตถุดิบปาล์มน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกดดันอัตรากำไรขั้นต้น พร้อมกับผลประกอบการที่ปรับตัวลดลงเกินคาด ส่งผลให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านนักวิเคราะห์มีมุมมองที่คล้ายคลึงกัน คือแนะนำ “ถือ” โดยมองการเติบโตของรายได้จากทั้งในและต่างประเทศ ช่วยชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แม้ราคาน้ำมันเมล็ดปาล์มสูงขึ้นเป็นอุปสรรคหลัก แต่หุ้นยังมีมูลค่าที่สมเหตุสมผล และ “Neutral” จากการปรับลดกำไรสุทธิปี 2568-2569 โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 2/68 จะหดตัว ขณะที่กำไรทั้งปี 2568 ลดลง 19% จากต้นทุนวัตถุดิบและค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้น แม้ PER ต่ำกว่า 10 เท่า แต่แนวโน้มราคาหุ้นยังถูกจำกัดจากผลประกอบการที่กดดัน
โดย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ถือ” NEO ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 34.61 บาท โดยยังคงรอการเติบโตของรายได้ในอัตราหลักสองหลักจากช่องทางในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสามารถช่วยชดเชยต้นทุนคงที่ที่เพิ่มขึ้น และเสริมอัตรากำไรสุทธิได้
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเมล็ดในปาล์มที่ปรับตัวสูงขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยราคาน้ำมันเมล็ดในปาล์มของมาเลเซียในเดือนเมษายนอยู่ที่ 2,090 ดอลลาร์สหรัฐฯ/เมตริกตัน เทียบกับราคาเฉลี่ยที่ 1,954 ดอลลาร์ฯ/เมตริกตัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568
ขณะที่ในช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นปรับตัวลง 12% และต่ำกว่าราคา IPO อยู่ 26% แต่การประเมินมูลค่ายังคงอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล ด้วย PER ปี 2568-69 ที่ 9.7 เท่า และ 8.4 เท่า เทียบกับประมาณการอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของกำไรสุทธิในช่วง 4 ปี ที่ 9.2%
ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “Neutral” หุ้น NEO พร้อมให้ราคาเป้าหมายที่ 27.00 บาท (จากเดิมที่ 35.00 บาท) หลังปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-2569 ลง 4-7% โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/68 จะลดลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รวมทั้งคาดว่ากำไรสุทธิปี 2568 จะหดตัว 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงปี 2567- 2570 จะทรงตัว
ทั้งนี้ การปรับลดประมาณการสะท้อนถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนแอกว่าคาด เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้นจากโรงงานใหม่ แม้ว่าหุ้นจะซื้อขายด้วย PER ปี 2568 ที่ระดับต่ำกว่า 10 เท่า แต่มองว่าแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นยังคงถูกจำกัดจากผลประกอบการที่ยังมีแรงกดดันอยู่