โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

"ปืน" อาวุธที่นำมาสู่ความรุนแรง โศกนาฏกรรมบนวัฒนธรรมการครอบครอง

THE ROOM 44 CHANNEL

เผยแพร่ 12 ต.ค. 2565 เวลา 02.15 น.

"ปืน" อาวุธที่นำมาสู่ความรุนแรง โศกนาฏกรรมบนวัฒนธรรมการครอบครอง

ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตของคนทุกคน เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุดที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดหนองบัวลำภู ยิ่งทำให้คนไทยและคนทั่วโลกตระหนักถึงการอาวุธปืนที่เกิดมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ปัญหาเรื่องการเข้าถึงและครอบครองอาวุธปืน ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย ทั้งโดยเจ้าหน้าที่-อดีตเจ้าหน้าที่ และโดยประชาชนทั่วไปนั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องนำมาพูดคุยกันอีกครั้ง

ข้อมูลจากองค์กรที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธปืนขนาดเล็ก (Small Arms Survey) หรือ SAS ของสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า หากดูสถิติประเทศที่พลเรือนครอบครองปืนสูงสุด อันดับ 1 คือ สหรัฐอเมริกา ประมาณ 393.3 ล้านกระบอก อันดับ 2 อินเดีย ประมาณ 71.1 ล้านกระบอก อันดับ 3 จีน ประมาณ 49.7 ล้านกระบอก

ขณะที่ประชาชนไทยครอบครองอาวุธปืนขนาดเล็กในปี 2017 เป็นอันดับ 13 ของโลก หากนับประชากรในอาเซียน 647 ล้านคน ประชากรของไทย 68 ล้านคน มีอาวุธปืนที่อยู่ในการครอบครองของพลเรือนมีถึง 10,342,000 กระบอก

ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ครอบครองปืนสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือคิดเป็นอาวุธปืนขนาดเล็ก 15 กระบอก ต่อประชากร 100 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควร ขณะที่ปืน 6.2 ล้านกระบอก จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และปืนที่ไม่มีทะเบียนราว 6 ล้านกระบอก

"พริษฐ์ วัชรสินธุ" สมาชิกพรรคก้าวไล ระบุว่า จากสถิตพบว่า ประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากอาชญากรรมปืนสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของทวีปเอเชีย (3.91 ต่อประชากร 100,000 คน) รองจากแค่ อิรัก (9.94) และ ฟิลิปปินส์ (8.02)

และสูงกว่า มาเลเซีย (0.53) เวียดนาม (0.52) เกาหลีใต้ (0.08) ญี่ปุ่น (0.08) และ สิงคโปร์ (0.05) หลายเท่าตัว

ในส่วนของไทยนั้น เกณฑ์ของการขอใบอนุญาตมีปืนถูกกฎหมาย ไม่ครอบคลุมด้านสุขภาพจิต ไม่มีการสอบวัดความพร้อมหรือไม่ เพราะแม้จะมีหลายเอกสารที่ประชาชนต้องยื่น หากต้องการขอใบอนุญาตครอบครองปืน (แบบ ป.4) หรือใบอนุญาตพกพาปืน (แบบ ป.12) แต่ทั้งสองกระบวนการในปัจจุบัน ไม่มีการขอใบรับรองจากจิตแพทย์ เกี่ยวกับประวัติหรืออาการด้านสุขภาพจิต

ซึ่งทำให้เราไม่รู้ว่าผู้ที่ครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมาย ณ ปัจจุบันมีสุขภาพจิตที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสมที่จะครอบครองปืนหรือไม่

ประเด็นต่อมา ข้าราชการเข้าถึงได้ง่ายกว่า แม้ในตำแหน่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปืนในการทำหน้าที่ โดยที่ผ่านมา รัฐบาลมีโครงการจัดหาปืนเป็นสวัสดิการให้ข้าราชการในหลายสังกัด เข้าถึงและขอใบอนุญาตได้อย่างสะดวกสบายขึ้น

แม้หลายครั้งเป็นการให้สิทธิแก่ข้าราชการในตำแหน่ง ที่อาจตั้งคำถามได้ในปัจจุบันว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องใช้ปืนในการปฏิบัติหน้าที่ (เช่น ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภา) ซึ่งการเข้าถึงปืนได้อย่างแพร่หลาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความรุนแรง หรือความเสี่ยงที่อาวุธปืนจะหลุดสู่ตลาดมืดได้

ประเด็นต่อมาคือ ระบบเส้นสาย และการทุจริตคอร์รัปชันในการขอใบอนุญาต เปิดช่องโหว่ในการครอบครองปืน เอกสารหนึ่งที่ข้าราชการต้องใช้เพื่อยื่นขอใบอนุญาต คือหนังสือรับรองความประพฤติจากผู้บังคับบัญชา

นอกจากถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของวิธีการในการคัดกรองคน ข้อกำหนดดังกล่าวยังมีข้อครหาว่าเปิดช่องให้เกิดการเรียกสินบน หรือการเซ็นอนุมัติโดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการประเมินความเหมาะสมของผู้ขอใบอนุญาตอย่างแท้จริง

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การอนุมัติครั้งเดียวครอบครองได้ตลอดชีวิต เพิ่มความเสี่ยงหากสถานการณ์เปลี่ยน เพราะเมื่ออนุมัติแล้ว ใบอนุญาตครอบครองปืน (แบบ ป.4) เป็นใบอนุญาตที่ไม่มีวันหมดอายุ และไม่มีกำหนดการตรวจสอบ หรือประเมินความเหมาะสมในการครอบครองเป็นระยะๆ

ตรงนี้ทำให้หากคนหนึ่งถูกประเมินว่าอยู่ในสภาวะที่สมควรครอบครองอาวุธปืนได้อย่างปลอดภัย ณ วันที่ขอใบอนุญาต เขาจะสามารถครอบครองปืนไปได้ตลอดชีวิต

แม้ในอนาคตอาจมีเหตุใด ที่ทำให้เขาไม่อยู่ในจุดที่สมควรได้รับอนุญาตอีกต่อไป หรือมีเหตุใดที่ทำให้ใครอยากร้องให้มีการเพิกถอนใบอนุญาต ก็ไม่สามารถริบอาวุธปืนจากคนๆ นั้นได้

ขณะที่ "ตำรวจ" ซื้อปืนในนามบุคคลได้ง่ายด้วยตำแหน่งที่มี เลยไม่ต้องคืนอาวุธแม้ถูกปลด เพราะปืนที่ตำรวจหลายคนมีในครอบครอง (รวมถึงของอดีตตำรวจที่ก่อเหตุในหนองบัวลำภู) ไม่ได้เป็นปืนของรัฐที่ตำรวจเบิกไปใช้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นปืนที่ตำรวจซื้อในนามส่วนตัว

ซึ่งมีส่วนมาจากการที่อาวุธปืนของตำรวจ ซึ่งควรจะเป็นอุปกรณ์ที่รัฐบาลจัดหาให้ มีไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ตำรวจชั้นผู้น้อยจึงต้องเจียดรายได้มาซื้ออาวุธปืนของตัวเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอซื้อในระหว่างที่เป็นตำรวจ จึงทำให้พวกเขาขอใบอนุญาตได้ง่ายขึ้น (และบางครั้งได้รับสวัสดิการตำรวจที่ทำให้ซื้อปืนในราคาที่ถูกกว่าประชาชนทั่วไป)

แต่พอถูกปลดจากตำแหน่งหรือพ้นหน้าที่ องค์กรไม่สามารถเรียกคืนปืนดังกล่าวจากพวกเขาได้ แม้เขาจะไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะนับว่าเป็นปืนส่วนตัว (เช่นในกรณีของอดีตตำรวจที่ก่อเหตุในหนองบัวลำภู)

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นปืนในระบบควบคุมได้ไม่รัดกุมแล้ว ปืนนอกระบบยิ่งควบคุมไม่ได้หนักกว่าอีก แม้จำนวนปืนในระบบที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายในประเทศ จะอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านกระบอก แต่มีการคาดการณ์ว่าปืนนอกระบบที่ไม่ถูกกฎหมาย ยังมีอีกประมาณ 6 ล้านกระบอก จนทำให้สัดส่วนประชากรที่ครอบครองปืนในไทยอาจสูงถึง 10-20% (หากเราคำนวณบนสมมุติฐานว่าคนที่มีปืนจะมีคนละ 1-2 กระบอก)

ด้วยปืนนอกระบบที่สูงถึงเกือบ 50% ของปืนทั้งหมดในประเทศ การเพิ่มความรัดกุมของเกณฑ์ในการขอใบอนุญาตครอบครองปืนในระบบ จึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หากไม่มาควบคู่กับการกำจัดปืนนอกระบบด้วย (ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มักมีข้อครหาว่าถูกหล่อเลี้ยงโดยผู้มีอิทธิพลในหมู่ทหาร-ตำรวจบางกลุ่มเสียเอง)

และ “วัฒนธรรมปืน” ที่ทำให้การเข้าถึงปืน หรือการแก้ปัญหาด้วยปืน กลายเป็นเรื่องปกติ การวัดระดับ หรือประเมินผลกระทบจาก “วัฒนธรรมปืน” เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยเป็นสังคมที่ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ ทำให้คนไทยหลายคนเติบโตมาพร้อมกับภาพของการใช้ปืน อย่างเช่นกิจกรรมในงานวันเด็ก ที่ให้เด็กสัมผัสและเล่นกับอาวุธปืนอย่างใกล้ชิด

แน่นอนว่าการแก้ปัญหา “การเข้าถึงอาวุธปืน” เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการป้องกันเหตุการณ์กราดยิงในอนาคต

อย่าให้เหตุการณ์กราดยิงในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ต้องเป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย ที่ทำให้รัฐบาลและเราทุกคนต้องหันกลับมาร่วมกัน หาแนวทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีก

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...