โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สุวรรณภูมิในอาเซียน : ‘แมนฮัตตัน’ ทหารเรือกบฏ

MATICHON ONLINE

อัพเดต 14 ก.ค. 2565 เวลา 09.41 น. • เผยแพร่ 14 ก.ค. 2565 เวลา 05.02 น.
ภาพประวัติศาสตร์ : จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูก น.ต.มนัส จารุภา และทหารเรือคุมตัวลงจากเรือขุด

สุวรรณภูมิในอาเซียน : ‘แมนฮัตตัน’ ทหารเรือกบฏ

โดย นิยม สุขรองแพ่ง

[ปรับปรุงใหม่บางตอนจากคำนำผู้เขียน เมื่อพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2529]

29 มิถุนายน พ.ศ.2494 รับเงินเดือนแล้ว คนที่ไม่ต้องอยู่เวรยามกลับบ้านหมด ผมกลับด้วยเมื่อมาถึงเฉลิมกรุง คนขับรถเมล์บอกว่า “ทหารเรือปฏิวัติ” เขาขอให้ผมลงจากรถ เพราะรถจะไม่ผ่านท่าราชวรดิฐอย่างเคย

ปรากฏว่าบนท้องถนนในเวลานั้นมีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นทหารเรือ ผมจึงตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนจนรู้สึกเขิน อยากจะไปเสียให้พ้นจากที่นั้นโดยเร็วที่สุด

ที่ตั้งของทหารเรือที่ใกล้ที่สุดคือ ท่าราชวรดิฐ ผมรีบเดินโดยเร็ว บังเอิญรถจี๊ปเล็กของทหารเรือคันหนึ่งมาจากไหนไม่ทราบจอดรับ ผมเผ่นขึ้นรถทันที เมื่อใกล้จะถึงท่าช้างวังหลวง ร.ล. ศรีอยุธยาเคลื่อนลำผ่านลงไปทางใต้อย่างช้าๆ ปืนป้อมหัวเรือทั้งสองกระบอกหันมาทางฝั่งพระนคร ดูเด่นเป็นสง่าน่าเกรงขาม ผมขนลุกซู่และอุ่นใจอย่างประหลาด

ผมรีบเข้าไปในท่าราชวรดิฐ ซึ่งขณะนั้นเพื่อนๆ ของผมที่เข้ายามหมู่รบแต่งเครื่องแบบสนาม สะพายปืนกลมือเมดเสนเดินกันขวักไขว่ ทุกคนดูภาคภูมิ กระปรี้กระเปร่าอยู่ในสภาพพร้อมรบ

ผมได้รับทราบด้วยความเสียดายว่า ทหารเรือ 13 คนถูกส่งออกไปยึดโรงไฟฟ้าวัดเลียบเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง

จนในที่สุด นายทหารคนหนึ่งได้ให้ผมทำหน้าที่อารักขาท่านไปพระราชวังเดิม—-

คืนวันที่ 29 (มิ.ย.2464) ผมอยู่ในพระราชวังเดิมตลอดคืน ทหารเรือทุกคนรอคำสั่ง ผบ.ทร. อย่างกระวนกระวายและด้วยความไม่แน่ใจ

รุ่งเช้า (วันที่ 30) จนถึงเวลาประมาณ 10.00 น. การรบอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นทุกจุด เช่น ที่ท่าราชวรดิฐ ป้อมวิชัยประสิทธิ์ สะพานพุทธฯ และในลำน้ำเจ้าพระยา

สำหรับป้อมวิชัยประสิทธิ์ ซึ่งอยู่ใกล้พระราชวังเดิม ถูกโจมตีด้วยปืน ค. อย่างหนักหน่วงจน ทหารนาวิกโยธินซึ่งประจำอยู่ที่นั่นตายและบาดเจ็บไปหลายคน กระสุนปืนจำนวนมากเข้ามาตกในพระราชวังเดิม

ทหารนาวิกโยธิน ทำการรบอย่างเข้มแข็ง คงจะเป็นเพราะมีการบังคับบัญชา ต่างกับทหารประจำเรืออย่างผมซึ่งขาดผู้บังคับบัญชา

เมื่อนาวิกโยธินที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทหารประจำเรือจึงชักชวนกันจะไปช่วย โดยคิดว่าจะวิ่งออกประตูใหญ่ไปทีละคนเพราะขณะนั้นกระสุนปืนนานาชนิดจากฝั่งพระนครระดมยิงไปที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ ส่วนที่เข้ามาในพระราชวังเดิมก็มีจำนวนไม่น้อย เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะความตายอยู่ใกล้ๆ ตัวนี่เอง คนที่ 1 วิ่งออกไปได้ คนที่ 2 ตามออกไปติดๆ ช่างบังเอิญ ลูกปืน ค. ลูกหนึ่งตกลงมาแล้วลื่นไถลไปบนพื้นถนนคอนกรีต พวกเราล้มตัวราบกับพื้น ก้มหน้า กระสุนด้าน! มิฉะนั้นคงตายกันบ้างเพราะกระสุนตกห่างออกไปเพียง 5-6 เมตร มีความรู้สึกว่าเส้นผมบนศีรษะตั้งชันและปวดปัสสาวะขึ้นมาทันที ผมทำแข็งใจเดินเข้าไปเก็บ เป็นหัวกระสุนปืน ค. ขนาดเกือบเท่ากำปั้น มีรอยสึกเพราะลื่นไถลไปบนพื้นคอนกรีต…ยังอุ่นๆ อยู่เลย…

สักพักใหญ่ รถพยาบาลก็มาถึง จ่าพยาบาล 2 คนพร้อมทั้งเปลหามวิ่งออกประตูไปทางป้อมฯแกคงไม่รู้ว่าลูกปืน ค. เพิ่งตกลงมาเมื่อกี้นี้เอง นาวิกโยธินที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามออกจากป้อมฯ นึกชมจ่าพยาบาลอยู่ในใจว่า แกไม่ยักกลัว วิ่งหามเปลออกมาทั้งๆ ที่ทหารบกกับตำรวจกำลังระดมยิงมาจะหลบก็ไม่ถนัดอย่างพวกเราซึ่งถือปืนกระบอกเดียว จะวิ่ง จะหลบ จะล้มตัวนอนราบมันคล่องกว่าเป็นไหนๆ

ผมถือโอกาสติดรถพยาบาลออกไปดูเหตุการณ์ที่กรมแพทย์ฯด้วย กรมแพทย์ฯ ซึ่งตามปกติเล็กและคับแคบอยู่แล้ว ยิ่งแคบลงไปอีกแทบไม่มีทางเดิน เพราะทหารที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ตามทางเดิน…ใบหน้าอันซีดเซียว ดวงตาที่แสดงความเจ็บปวดและตื่นตระหนก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง…จ่าพยาบาลหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ภายในโรงพยาบาลเงียบสงบ แม้เสียงปืนจากภายนอกจะเข้ามาทำลายความสงบลงไปบ้าง

บางร่างมีผ้าขาวคลุมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า!

นายแพทย์ยศนาวาเอกคนหนึ่งรูปร่างค่อนข้างอ้วนผิวดำ ซึ่งตามปกติเป็นคนดุเสียงดัง ทหารที่อู้หาเรื่องหลบงานมากลัวท่านนัก ท่านเอ็ดตะโรไม่เลือกหน้า วันนี้กลับยิ้มแย้มแจ่มใส เข้ามาทักทาย “เข้าไปกินข้าวเสียก่อนซิ เขาจัดเตรียมไว้แล้ว เข้าไปกินได้เลย”

เป็นน้ำเสียงของพ่อที่พูดกับลูก มากกว่าจะเป็นเสียงของนายทหารชั้นผู้ใหญ่พูดกับจ่าโทตัวเล็กๆ อย่างผม ผมเจ็บใจตัวเองจนบัดนี้ที่ลืมชื่อเสียงเรียงนามของท่านไปเสีย

และนี่คือ ลักษณะนิสัยของทหารเรือ เมื่อถึงคราวตกทุกข์ได้ยากก็จะเข้ามาร่วมชะตากรรมเดียวกัน ไม่ทอดทิ้งซึ่งกันและกัน

ออกจากกรมแพทย์ฯ ผมเดินไปที่วัดแจ้ง แล้วกลับเข้าไปในพระราชวังเดิม

กองเรือรบแตก! ทหารจากกองเรือรบจำนวนมากเข้าไปในพระราชวังเดิม คงจะเข้าไปรอรับคำสั่งให้แก้มือ? นายทหารชั้นผู้ใหญ่หายหน้าไปหมดทราบว่าไปชุมนุมอยู่ที่บ้าน น.อ.สกล ช่างประดับ ในซอยวัดใหม่พิเรนทร์ โพธิ์สามต้น ห่างจากพระราชวังเดิมไม่กี่ร้อยเมตร

การรบเบาบางลง ผมถือโอกาสเดินไปดูเหตุการณ์ตามบริเวณใกล้เคียง เช่น วัดแจ้ง วัดท้ายตลาด วัดหงษ์ฯ ทหารทั้งหมดไม่มีสายบังคับบัญชาจึงทำอะไรก็ได้

ตกบ่าย การรบกลับรุนแรงขึ้นมาอีก รัฐบาลสั่งจม ร.ล. ศรีอยุธยา ซึ่งทอดสมอหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์

ผมเฝ้าดูการกลุ้มรุมโจมตี ร.ล. ศรีอยุธยาตั้งแต่นาทีแรกจนถึงนาทีสุดท้าย และเป็นคนหนึ่งในจำนวน 3-4 คนที่จับตาดูเรือโบตลำที่ น.ต.มนัส จารุภา พร้อมกับคณะผู้ก่อการนั่งออกมาจาก ร.ล. ศรีอยุธยาจน น.ต.มนัสกับคณะผู้ก่อการเดินเข้าไปในพระราชวังเดิม ต่อจากนั้น ผมและทหารเรืออีก 3-4 คนดังกล่าว ได้ช่วยกันอุ้มศพของพลกระเชียงที่ถูกยิงตายขึ้นจากเรือโบต นำไปขึ้นรถพยาบาลของกรมแพทย์ฯ ที่จอดรออยู่ที่สะพานเจริญพาศน์

บาดแผลที่ศพนั้นเหวอะหวะและน่าหวาดเสียวจนต้องเบือนหน้าหนี

ความอยากเป็นวีรบุรุษหมดไปโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่กลัวตายหรือเกรงจะได้รับบาดแผลอย่างศพที่อยู่เบื้องหน้านั้น ผมยืนยันได้ว่า ผมไม่กลัว ถ้ากลัวผมคงจะกลับเข้าบ้านไปแล้ว เพราะบ้านผมอยู่หลังวัดแจ้งนั่นเอง (บ้านเลขที่ 115/2 หลังวัดอรุณฯ ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่) ความผูกพันห่วงใยที่มีต่อเพื่อนทหารเรือต่างหากที่มีอิทธิพลเหนือจิตใจ และทำลายความรู้สึกอยากเป็นวีรบุรุษสงครามและความกลัวเสียสิ้น ผมจะไม่ทิ้งเขาและจะอยู่กับเขาต่อไป เราจะสูบบุหรี่มวนเดียวกันแต่ผลัดกันดูดคนละที จะจิบน้ำคนละอึกเพื่อกลั้วคอ จะได้ทั่วถึงกันทุกคน อาจจะต้องยอมสละอาหารเอาเก็บไว้ให้คนเจ็บกิน และอาจจะต้องยิง ต้องฆ่าเพื่อความอยู่รอดของพวกเราเอง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของการรบ

คำว่า “วีรบุรุษ” หรือ “ฆาตกร” ไม่มีอิทธิพลเหนือจิตใจผมแม้แต่น้อยนิดหมายความว่าผมพร้อมที่จะยิง จะฆ่าด้วยจิตที่ว่าง เพราะผมไม่หวังผลและไม่แคร์ต่อผลของมัน

เราจะอยู่ด้วยกันต่อไป จนกว่าเหตุการณ์จะสงบ หรือทุกคนยอมวางอาวุธ หรือเราจะตาย (โหง) จากกันไป

คืนนั้น ผมไปรายงานตัวต่อหน่วยยานยนต์ ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ขึ้นตรงต่อ ผบ.ทร. ได้รับมอบหมายให้ไปตั้งรับการบุกของตำรวจที่สามแยกโพธิ์สามต้น โดยมีพันจ่าเอกวัยใกล้ 40 ปีคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา

รุ่งเช้า (วันที่ 1) พวกเราถอนตัวจากโพธิ์สามต้นไปตามถนนอิสรภาพเข้าไปที่ บก.หน่วยยานยนต์ (ปัจจุบันคือ บก.ช.พัน 1 รอ.) ได้พบว่ามีทหารเรือแตกทัพมาจากที่ต่างๆ รวมตัวกันอยู่บนสะพานข้ามคลองมอญ ฐานเจดีย์ปากทางเข้าวัดชิโนรส และในบริเวณวัดชิโนรส, วัดครุฑ เป็นจำนวนมาก จิตใจของพวกเขามั่นคงไม่หวั่นไหว แม้จะทราบดีว่าตำรวจจะเคลื่อนมาตามถนนอิสรภาพ ส่วนทหารบกจากเพชรบุรีเข้ามายึดถนนจรัญสนิทวงศ์ได้ไว้แล้วตลอดสาย พวกเขากลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ทั้งที่โดนปิดล้อมไว้ถึง 3 ด้าน

การตั้งรับดูจะดีกว่าทุกแห่งที่ผมเห็นมา

สำหรับหน่วยยานยนต์ได้รับคำสั่งให้เก็บอาวุธและสลายตัวเมื่อเวลาเกือบ 11.00 น. ผมวางอาวุธนับแต่นาทีนั้น

แต่ทหารแตกทัพกับนาวิกโยธินยังไม่ยอมวางอาวุธ ยังคงปักหลักรอรับการเข้าตีต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

ผมเดินกลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าวนุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อเชิ้ตของเด็กนักเรียน ต่อให้เทวดาก็ไม่มีทางรู้ว่าผมเป็นทหารแตกทัพ ผมเดินไปที่สะพานเจริญพาศน์ เพื่อรอดูขบวนยานเกราะของตำรวจซึ่งกําลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

กำลังตำรวจของอัศวิน พันธุ์ศักดิ์ วิเศษภักดี ดูสดชื่นและฮึกเหิม เครื่องแบบยังเรียบและสะอาดเอี่ยม รองเท้าเป็นมันแผล็บ ต่างกับตำรวจของอัศวินพุฒ บูรณสมภพ ซึ่งขะมุกขะมอมและสะบักสะบอมหลังจากการเข้าตีกองสัญญาณทหารเรือเมื่อเย็นวันที่ 29

ใกล้บ่ายโมง ตำรวจของอัศวิน พันธุ์ศักดิ์ ปะทะกับทหารเรือแตกทัพบนสะพานข้ามคลองมอญข้างวัดชิโนรส การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด

สะใจ!

กระสุนนัดสุดท้ายขาดเสียงลงเมื่อ 13.00 น. ตรง (วันที่ 1)

ภายหลังเหตุการณ์กบฏตำรวจ “เหวี่ยงแห” จับทหารเรือทุกคน โดยเฉพาะตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ ได้ชื่อว่าจับได้เก่งและจับทหารเรือได้มากที่สุดเพราะทหารเรือเป็นคนในท้องที่จึงง่ายต่อการจับ

บ้านผมไม่มีรั้ว ไม่มีประตู หลังคามุงจากตั้งอยู่ริมทางเดิน ตำรวจเดินผ่านวันละหลายๆ เที่ยว ผมอยู่บ้านบ้าง ไปนอนคุยกับพระวัดหงษ์ฯบ้าง แต่ตำรวจไม่เคยสนใจผมเลย คงจะคิดว่าผมเป็นเด็กนักเรียน รูปร่างหน้าตาของผมชวนให้ตำรวจคิดเช่นนั้น?

มีประกาศทางวิทยุให้ทหารเรือไปรายงานตัว ที่กลาโหมหรือโรงพัก ธุระอะไรจะไปให้โง่ ขืนไปก็ถูกจับใส่ห้องขังพอเต็ม (ห้องขัง) แล้ว ก็ถูกต้อนขึ้นรถยังกะเชลยศึกพาไปปล่อยในคอกที่สนามกีฬา

ผมเล็ดลอดเข้าไปดูเหตุการณ์ใน สน.บางกอกใหญ่มาก่อนแล้ว จึงไม่ไปรายงานตัวไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น

ผมจึงแคล้วคลาดปราศจาก “ตำรวจภัย” มาได้โดยตลอด

ผมรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งที่อยู่ในจุดที่มีการรบอย่างรุนแรงหลายแห่ง และมีการตายเกิดขึ้นทุกแห่งที่ผมไป นอกจากนี้ผมยังเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว เมื่อมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ผมจึงฉวยโอกาสเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เพื่อจะได้ดูให้ถนัดตา

เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันผ่านพ้นไป 5 เดือนเต็มรัฐบาลของคณะรัฐประหารทำรัฐประหารตัวเองยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2492 และยุบสภามีการกบฏเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น กบฏสันติภาพ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2495 นอกจากนี้ยังมีกบฏน้ำลาย กบฏน้ำหมึก กบฏน้ำท่วม ฯลฯ กบฏอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายหลายครั้ง สุดแต่ตำรวจจะตั้งข้อหาขึ้นมา—–

พฤติกรรมบางอย่างของคนที่รัฐบาลไม่ชอบหรือหวาดระแวงไม่ไว้วางใจจึงถูกมองว่าเป็นกบฏไปเสียทั้งหมด กบฏตามทัศนะของผู้มีอำนาจในสมัยนั้นจึงเกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนกับกรณีตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กทีเดียว

เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผม โดยไม่สูญสลายไปตามกาลเวลาที่ล่วงไปนับสิบๆ ปีเหตุการณ์ต่างๆ ยังเด่นชัดอยู่ในมโนภาพ…เสียงปืน เสียงระเบิด เปลวเพลิง ควันไฟ สีแดงสดของเลือดที่ทะลักออกจากบาดแผลไหลชุ่มเสื้อกางเกง ส่งกลิ่นคาวคลุ้ง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอวัยวะ บางชิ้นที่หลุดออกจากร่างกาย บาดแผลเหวอะหวะ เศษเนื้อที่ขาดกะรุ่งกะริ่งคลุกด้วยเลือดและเศษกระดูก ใบหน้าซีดจนขึ้นเขียวบวมอลึ่งฉึ่งของศพที่ถูกทิ้งไว้ในที่ลับตาบางศพ…ในเครื่องแบบราชนาวี…ลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาวันแล้ววันเล่า โดยไม่มีคนสนใจไยดี เขาเป็นลูกใคร พ่อใคร ผัวใคร จึงต้องมาตายอยู่ในสภาพนี้ เศษซากของอาวุธนานาชนิดที่ถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายทหารเรือก็ได้มาจากภาษีอากรของราษฎร…

ผมเป็นทหารด้วยความบังเอิญ เข้าร่วมการกบฏก็ด้วยความบังเอิญ

ผมไม่อยากให้ความบังเอิญทำนองนี้เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะความบังเอิญที่ทำให้ผมต้องจับปืนยิงใครต่อใครที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และเขาเหล่านั้นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวไทยด้วยกัน ก็ในเมื่อผมไม่ปรารถนาจะเป็นวีรบุรุษสงครามอีกต่อไปแล้ว ตำแหน่งที่เหลืออยู่ก็คือ “ฆาตกร” อาจจะโชคดีสักหน่อยที่เป็นฆาตกรที่มีกฎหมายรองรับ แต่ผมก็ไม่อยากเป็น

ผมออกจากราชการทหาร อีก 1 ปีถัดมา ผมก็เป็นข้าราชการพลเรือน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...