สุวรรณภูมิในอาเซียน : ‘แมนฮัตตัน’ ทหารเรือกบฏ
สุวรรณภูมิในอาเซียน : ‘แมนฮัตตัน’ ทหารเรือกบฏ
โดย นิยม สุขรองแพ่ง
[ปรับปรุงใหม่บางตอนจากคำนำผู้เขียน เมื่อพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2529]
29 มิถุนายน พ.ศ.2494 รับเงินเดือนแล้ว คนที่ไม่ต้องอยู่เวรยามกลับบ้านหมด ผมกลับด้วยเมื่อมาถึงเฉลิมกรุง คนขับรถเมล์บอกว่า “ทหารเรือปฏิวัติ” เขาขอให้ผมลงจากรถ เพราะรถจะไม่ผ่านท่าราชวรดิฐอย่างเคย
ปรากฏว่าบนท้องถนนในเวลานั้นมีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นทหารเรือ ผมจึงตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนจนรู้สึกเขิน อยากจะไปเสียให้พ้นจากที่นั้นโดยเร็วที่สุด
ที่ตั้งของทหารเรือที่ใกล้ที่สุดคือ ท่าราชวรดิฐ ผมรีบเดินโดยเร็ว บังเอิญรถจี๊ปเล็กของทหารเรือคันหนึ่งมาจากไหนไม่ทราบจอดรับ ผมเผ่นขึ้นรถทันที เมื่อใกล้จะถึงท่าช้างวังหลวง ร.ล. ศรีอยุธยาเคลื่อนลำผ่านลงไปทางใต้อย่างช้าๆ ปืนป้อมหัวเรือทั้งสองกระบอกหันมาทางฝั่งพระนคร ดูเด่นเป็นสง่าน่าเกรงขาม ผมขนลุกซู่และอุ่นใจอย่างประหลาด
ผมรีบเข้าไปในท่าราชวรดิฐ ซึ่งขณะนั้นเพื่อนๆ ของผมที่เข้ายามหมู่รบแต่งเครื่องแบบสนาม สะพายปืนกลมือเมดเสนเดินกันขวักไขว่ ทุกคนดูภาคภูมิ กระปรี้กระเปร่าอยู่ในสภาพพร้อมรบ
ผมได้รับทราบด้วยความเสียดายว่า ทหารเรือ 13 คนถูกส่งออกไปยึดโรงไฟฟ้าวัดเลียบเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง
จนในที่สุด นายทหารคนหนึ่งได้ให้ผมทำหน้าที่อารักขาท่านไปพระราชวังเดิม—-
คืนวันที่ 29 (มิ.ย.2464) ผมอยู่ในพระราชวังเดิมตลอดคืน ทหารเรือทุกคนรอคำสั่ง ผบ.ทร. อย่างกระวนกระวายและด้วยความไม่แน่ใจ
รุ่งเช้า (วันที่ 30) จนถึงเวลาประมาณ 10.00 น. การรบอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นทุกจุด เช่น ที่ท่าราชวรดิฐ ป้อมวิชัยประสิทธิ์ สะพานพุทธฯ และในลำน้ำเจ้าพระยา
สำหรับป้อมวิชัยประสิทธิ์ ซึ่งอยู่ใกล้พระราชวังเดิม ถูกโจมตีด้วยปืน ค. อย่างหนักหน่วงจน ทหารนาวิกโยธินซึ่งประจำอยู่ที่นั่นตายและบาดเจ็บไปหลายคน กระสุนปืนจำนวนมากเข้ามาตกในพระราชวังเดิม
ทหารนาวิกโยธิน ทำการรบอย่างเข้มแข็ง คงจะเป็นเพราะมีการบังคับบัญชา ต่างกับทหารประจำเรืออย่างผมซึ่งขาดผู้บังคับบัญชา
เมื่อนาวิกโยธินที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทหารประจำเรือจึงชักชวนกันจะไปช่วย โดยคิดว่าจะวิ่งออกประตูใหญ่ไปทีละคนเพราะขณะนั้นกระสุนปืนนานาชนิดจากฝั่งพระนครระดมยิงไปที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ ส่วนที่เข้ามาในพระราชวังเดิมก็มีจำนวนไม่น้อย เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะความตายอยู่ใกล้ๆ ตัวนี่เอง คนที่ 1 วิ่งออกไปได้ คนที่ 2 ตามออกไปติดๆ ช่างบังเอิญ ลูกปืน ค. ลูกหนึ่งตกลงมาแล้วลื่นไถลไปบนพื้นถนนคอนกรีต พวกเราล้มตัวราบกับพื้น ก้มหน้า กระสุนด้าน! มิฉะนั้นคงตายกันบ้างเพราะกระสุนตกห่างออกไปเพียง 5-6 เมตร มีความรู้สึกว่าเส้นผมบนศีรษะตั้งชันและปวดปัสสาวะขึ้นมาทันที ผมทำแข็งใจเดินเข้าไปเก็บ เป็นหัวกระสุนปืน ค. ขนาดเกือบเท่ากำปั้น มีรอยสึกเพราะลื่นไถลไปบนพื้นคอนกรีต…ยังอุ่นๆ อยู่เลย…
สักพักใหญ่ รถพยาบาลก็มาถึง จ่าพยาบาล 2 คนพร้อมทั้งเปลหามวิ่งออกประตูไปทางป้อมฯแกคงไม่รู้ว่าลูกปืน ค. เพิ่งตกลงมาเมื่อกี้นี้เอง นาวิกโยธินที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามออกจากป้อมฯ นึกชมจ่าพยาบาลอยู่ในใจว่า แกไม่ยักกลัว วิ่งหามเปลออกมาทั้งๆ ที่ทหารบกกับตำรวจกำลังระดมยิงมาจะหลบก็ไม่ถนัดอย่างพวกเราซึ่งถือปืนกระบอกเดียว จะวิ่ง จะหลบ จะล้มตัวนอนราบมันคล่องกว่าเป็นไหนๆ
ผมถือโอกาสติดรถพยาบาลออกไปดูเหตุการณ์ที่กรมแพทย์ฯด้วย กรมแพทย์ฯ ซึ่งตามปกติเล็กและคับแคบอยู่แล้ว ยิ่งแคบลงไปอีกแทบไม่มีทางเดิน เพราะทหารที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ตามทางเดิน…ใบหน้าอันซีดเซียว ดวงตาที่แสดงความเจ็บปวดและตื่นตระหนก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง…จ่าพยาบาลหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ภายในโรงพยาบาลเงียบสงบ แม้เสียงปืนจากภายนอกจะเข้ามาทำลายความสงบลงไปบ้าง
บางร่างมีผ้าขาวคลุมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า!
นายแพทย์ยศนาวาเอกคนหนึ่งรูปร่างค่อนข้างอ้วนผิวดำ ซึ่งตามปกติเป็นคนดุเสียงดัง ทหารที่อู้หาเรื่องหลบงานมากลัวท่านนัก ท่านเอ็ดตะโรไม่เลือกหน้า วันนี้กลับยิ้มแย้มแจ่มใส เข้ามาทักทาย “เข้าไปกินข้าวเสียก่อนซิ เขาจัดเตรียมไว้แล้ว เข้าไปกินได้เลย”
เป็นน้ำเสียงของพ่อที่พูดกับลูก มากกว่าจะเป็นเสียงของนายทหารชั้นผู้ใหญ่พูดกับจ่าโทตัวเล็กๆ อย่างผม ผมเจ็บใจตัวเองจนบัดนี้ที่ลืมชื่อเสียงเรียงนามของท่านไปเสีย
และนี่คือ ลักษณะนิสัยของทหารเรือ เมื่อถึงคราวตกทุกข์ได้ยากก็จะเข้ามาร่วมชะตากรรมเดียวกัน ไม่ทอดทิ้งซึ่งกันและกัน
ออกจากกรมแพทย์ฯ ผมเดินไปที่วัดแจ้ง แล้วกลับเข้าไปในพระราชวังเดิม
กองเรือรบแตก! ทหารจากกองเรือรบจำนวนมากเข้าไปในพระราชวังเดิม คงจะเข้าไปรอรับคำสั่งให้แก้มือ? นายทหารชั้นผู้ใหญ่หายหน้าไปหมดทราบว่าไปชุมนุมอยู่ที่บ้าน น.อ.สกล ช่างประดับ ในซอยวัดใหม่พิเรนทร์ โพธิ์สามต้น ห่างจากพระราชวังเดิมไม่กี่ร้อยเมตร
การรบเบาบางลง ผมถือโอกาสเดินไปดูเหตุการณ์ตามบริเวณใกล้เคียง เช่น วัดแจ้ง วัดท้ายตลาด วัดหงษ์ฯ ทหารทั้งหมดไม่มีสายบังคับบัญชาจึงทำอะไรก็ได้
ตกบ่าย การรบกลับรุนแรงขึ้นมาอีก รัฐบาลสั่งจม ร.ล. ศรีอยุธยา ซึ่งทอดสมอหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์
ผมเฝ้าดูการกลุ้มรุมโจมตี ร.ล. ศรีอยุธยาตั้งแต่นาทีแรกจนถึงนาทีสุดท้าย และเป็นคนหนึ่งในจำนวน 3-4 คนที่จับตาดูเรือโบตลำที่ น.ต.มนัส จารุภา พร้อมกับคณะผู้ก่อการนั่งออกมาจาก ร.ล. ศรีอยุธยาจน น.ต.มนัสกับคณะผู้ก่อการเดินเข้าไปในพระราชวังเดิม ต่อจากนั้น ผมและทหารเรืออีก 3-4 คนดังกล่าว ได้ช่วยกันอุ้มศพของพลกระเชียงที่ถูกยิงตายขึ้นจากเรือโบต นำไปขึ้นรถพยาบาลของกรมแพทย์ฯ ที่จอดรออยู่ที่สะพานเจริญพาศน์
บาดแผลที่ศพนั้นเหวอะหวะและน่าหวาดเสียวจนต้องเบือนหน้าหนี
ความอยากเป็นวีรบุรุษหมดไปโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่กลัวตายหรือเกรงจะได้รับบาดแผลอย่างศพที่อยู่เบื้องหน้านั้น ผมยืนยันได้ว่า ผมไม่กลัว ถ้ากลัวผมคงจะกลับเข้าบ้านไปแล้ว เพราะบ้านผมอยู่หลังวัดแจ้งนั่นเอง (บ้านเลขที่ 115/2 หลังวัดอรุณฯ ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่) ความผูกพันห่วงใยที่มีต่อเพื่อนทหารเรือต่างหากที่มีอิทธิพลเหนือจิตใจ และทำลายความรู้สึกอยากเป็นวีรบุรุษสงครามและความกลัวเสียสิ้น ผมจะไม่ทิ้งเขาและจะอยู่กับเขาต่อไป เราจะสูบบุหรี่มวนเดียวกันแต่ผลัดกันดูดคนละที จะจิบน้ำคนละอึกเพื่อกลั้วคอ จะได้ทั่วถึงกันทุกคน อาจจะต้องยอมสละอาหารเอาเก็บไว้ให้คนเจ็บกิน และอาจจะต้องยิง ต้องฆ่าเพื่อความอยู่รอดของพวกเราเอง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของการรบ
คำว่า “วีรบุรุษ” หรือ “ฆาตกร” ไม่มีอิทธิพลเหนือจิตใจผมแม้แต่น้อยนิดหมายความว่าผมพร้อมที่จะยิง จะฆ่าด้วยจิตที่ว่าง เพราะผมไม่หวังผลและไม่แคร์ต่อผลของมัน
เราจะอยู่ด้วยกันต่อไป จนกว่าเหตุการณ์จะสงบ หรือทุกคนยอมวางอาวุธ หรือเราจะตาย (โหง) จากกันไป
คืนนั้น ผมไปรายงานตัวต่อหน่วยยานยนต์ ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ขึ้นตรงต่อ ผบ.ทร. ได้รับมอบหมายให้ไปตั้งรับการบุกของตำรวจที่สามแยกโพธิ์สามต้น โดยมีพันจ่าเอกวัยใกล้ 40 ปีคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา
รุ่งเช้า (วันที่ 1) พวกเราถอนตัวจากโพธิ์สามต้นไปตามถนนอิสรภาพเข้าไปที่ บก.หน่วยยานยนต์ (ปัจจุบันคือ บก.ช.พัน 1 รอ.) ได้พบว่ามีทหารเรือแตกทัพมาจากที่ต่างๆ รวมตัวกันอยู่บนสะพานข้ามคลองมอญ ฐานเจดีย์ปากทางเข้าวัดชิโนรส และในบริเวณวัดชิโนรส, วัดครุฑ เป็นจำนวนมาก จิตใจของพวกเขามั่นคงไม่หวั่นไหว แม้จะทราบดีว่าตำรวจจะเคลื่อนมาตามถนนอิสรภาพ ส่วนทหารบกจากเพชรบุรีเข้ามายึดถนนจรัญสนิทวงศ์ได้ไว้แล้วตลอดสาย พวกเขากลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ทั้งที่โดนปิดล้อมไว้ถึง 3 ด้าน
การตั้งรับดูจะดีกว่าทุกแห่งที่ผมเห็นมา
สำหรับหน่วยยานยนต์ได้รับคำสั่งให้เก็บอาวุธและสลายตัวเมื่อเวลาเกือบ 11.00 น. ผมวางอาวุธนับแต่นาทีนั้น
แต่ทหารแตกทัพกับนาวิกโยธินยังไม่ยอมวางอาวุธ ยังคงปักหลักรอรับการเข้าตีต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
ผมเดินกลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าวนุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อเชิ้ตของเด็กนักเรียน ต่อให้เทวดาก็ไม่มีทางรู้ว่าผมเป็นทหารแตกทัพ ผมเดินไปที่สะพานเจริญพาศน์ เพื่อรอดูขบวนยานเกราะของตำรวจซึ่งกําลังเคลื่อนใกล้เข้ามา
กำลังตำรวจของอัศวิน พันธุ์ศักดิ์ วิเศษภักดี ดูสดชื่นและฮึกเหิม เครื่องแบบยังเรียบและสะอาดเอี่ยม รองเท้าเป็นมันแผล็บ ต่างกับตำรวจของอัศวินพุฒ บูรณสมภพ ซึ่งขะมุกขะมอมและสะบักสะบอมหลังจากการเข้าตีกองสัญญาณทหารเรือเมื่อเย็นวันที่ 29
ใกล้บ่ายโมง ตำรวจของอัศวิน พันธุ์ศักดิ์ ปะทะกับทหารเรือแตกทัพบนสะพานข้ามคลองมอญข้างวัดชิโนรส การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด
สะใจ!
กระสุนนัดสุดท้ายขาดเสียงลงเมื่อ 13.00 น. ตรง (วันที่ 1)
ภายหลังเหตุการณ์กบฏตำรวจ “เหวี่ยงแห” จับทหารเรือทุกคน โดยเฉพาะตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ ได้ชื่อว่าจับได้เก่งและจับทหารเรือได้มากที่สุดเพราะทหารเรือเป็นคนในท้องที่จึงง่ายต่อการจับ
บ้านผมไม่มีรั้ว ไม่มีประตู หลังคามุงจากตั้งอยู่ริมทางเดิน ตำรวจเดินผ่านวันละหลายๆ เที่ยว ผมอยู่บ้านบ้าง ไปนอนคุยกับพระวัดหงษ์ฯบ้าง แต่ตำรวจไม่เคยสนใจผมเลย คงจะคิดว่าผมเป็นเด็กนักเรียน รูปร่างหน้าตาของผมชวนให้ตำรวจคิดเช่นนั้น?
มีประกาศทางวิทยุให้ทหารเรือไปรายงานตัว ที่กลาโหมหรือโรงพัก ธุระอะไรจะไปให้โง่ ขืนไปก็ถูกจับใส่ห้องขังพอเต็ม (ห้องขัง) แล้ว ก็ถูกต้อนขึ้นรถยังกะเชลยศึกพาไปปล่อยในคอกที่สนามกีฬา
ผมเล็ดลอดเข้าไปดูเหตุการณ์ใน สน.บางกอกใหญ่มาก่อนแล้ว จึงไม่ไปรายงานตัวไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น
ผมจึงแคล้วคลาดปราศจาก “ตำรวจภัย” มาได้โดยตลอด
ผมรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งที่อยู่ในจุดที่มีการรบอย่างรุนแรงหลายแห่ง และมีการตายเกิดขึ้นทุกแห่งที่ผมไป นอกจากนี้ผมยังเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว เมื่อมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ผมจึงฉวยโอกาสเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เพื่อจะได้ดูให้ถนัดตา
เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันผ่านพ้นไป 5 เดือนเต็มรัฐบาลของคณะรัฐประหารทำรัฐประหารตัวเองยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2492 และยุบสภามีการกบฏเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น กบฏสันติภาพ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2495 นอกจากนี้ยังมีกบฏน้ำลาย กบฏน้ำหมึก กบฏน้ำท่วม ฯลฯ กบฏอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายหลายครั้ง สุดแต่ตำรวจจะตั้งข้อหาขึ้นมา—–
พฤติกรรมบางอย่างของคนที่รัฐบาลไม่ชอบหรือหวาดระแวงไม่ไว้วางใจจึงถูกมองว่าเป็นกบฏไปเสียทั้งหมด กบฏตามทัศนะของผู้มีอำนาจในสมัยนั้นจึงเกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนกับกรณีตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กทีเดียว
เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผม โดยไม่สูญสลายไปตามกาลเวลาที่ล่วงไปนับสิบๆ ปีเหตุการณ์ต่างๆ ยังเด่นชัดอยู่ในมโนภาพ…เสียงปืน เสียงระเบิด เปลวเพลิง ควันไฟ สีแดงสดของเลือดที่ทะลักออกจากบาดแผลไหลชุ่มเสื้อกางเกง ส่งกลิ่นคาวคลุ้ง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอวัยวะ บางชิ้นที่หลุดออกจากร่างกาย บาดแผลเหวอะหวะ เศษเนื้อที่ขาดกะรุ่งกะริ่งคลุกด้วยเลือดและเศษกระดูก ใบหน้าซีดจนขึ้นเขียวบวมอลึ่งฉึ่งของศพที่ถูกทิ้งไว้ในที่ลับตาบางศพ…ในเครื่องแบบราชนาวี…ลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาวันแล้ววันเล่า โดยไม่มีคนสนใจไยดี เขาเป็นลูกใคร พ่อใคร ผัวใคร จึงต้องมาตายอยู่ในสภาพนี้ เศษซากของอาวุธนานาชนิดที่ถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายทหารเรือก็ได้มาจากภาษีอากรของราษฎร…
ผมเป็นทหารด้วยความบังเอิญ เข้าร่วมการกบฏก็ด้วยความบังเอิญ
ผมไม่อยากให้ความบังเอิญทำนองนี้เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะความบังเอิญที่ทำให้ผมต้องจับปืนยิงใครต่อใครที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และเขาเหล่านั้นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวไทยด้วยกัน ก็ในเมื่อผมไม่ปรารถนาจะเป็นวีรบุรุษสงครามอีกต่อไปแล้ว ตำแหน่งที่เหลืออยู่ก็คือ “ฆาตกร” อาจจะโชคดีสักหน่อยที่เป็นฆาตกรที่มีกฎหมายรองรับ แต่ผมก็ไม่อยากเป็น
ผมออกจากราชการทหาร อีก 1 ปีถัดมา ผมก็เป็นข้าราชการพลเรือน